Chapter 8
กรุ๊บเลือดเปลี่ยนไป!
หมอเห็นสายน้ำเกลือสายเลือดหลุด ทั้งน้ำเกลือทั้งเลือดไหลหยดเปียกเตียงก็รีบเข้าไปปรับปุ่มปิดน้ำเกลือปิดขวดเลือด
“เดี๋ยวครับ! คุณนอนก่อนนะครับ คุณต้องนอนให้เลือดให้น้ำเกลือก่อนครับมิสบุญดี” หมอบอกแล้วก็รีบเดินไปดักหน้าคนไข้
เจ้าหญิงจันทราจ้องหน้าหมอแล้วก็บอกว่า “อย่ามาขวางข้า ถอยไปนะ”
หมอส่ายหน้า “คุณไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นครับมิสบุญดี” แล้วหมอก็จับไหล่ทั้งสองข้างของคนไข้
“ข้าบอกว่าให้ถอยไป!” เจ้าหญิงจันทราระเบิดพลังใส่ ที่นางสามารถใช้พลังออกมาได้เป็นเพราะเทพีจันทราช่วยตัดเชือกสะกดพลังออกไปแล้ว
พลั่ก! “โอ๊ย!” หมอกระเด็นเซล้มลง นั่งจุกเจ็บลุกไม่ขึ้นอยู่อย่างนั้น
“เฮ้ย! ยัยวา แกผลักหมออย่างงี้ได้ไง” อารยะดุแล้วก็รีบเข้าไปพยุงหมอให้ลุกขึ้น “ผมต้องขอโทษแทนน้องสาวผมด้วยนะครับคุณหมอ ขอโทษจริงๆครับ”
ตะวันถลันเข้าไปจับตัวทิวา “หยุดนะทิวา!” เขาตวาดดุ
เจ้าหญิงจันทราสะบัดแขนแล้วก็จะระเบิดพลังใส่ แต่แล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็ดับวูบไป… นางเป็นลม
ตะวันตกใจ! “ทิวา!” เขารีบประคองร่างอรชรไว้ในอ้อมแขนแล้วก็อุ้มไปวางบนเตียง
“เฮ้ย! ยัยวา!” อารยะพุ่งไปดูน้องทันที
หมอหายจุกแล้วก็รีบเดินเข้าไปดูคนไข้ เขาเปิดเปลือกตาคนไข้ตรวจดู ตรวจวัดหัวใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็บอกว่า “เธอเป็นลมน่ะครับ”
แล้วเขาก็กดออดเรียกพยาบาลให้เอาน้ำเกลือมาให้ใหม่
ครู่ต่อมาพยาบาลก็รีบเอาน้ำเกลือมาให้ หมอก็จัดการจิ้มเข็มให้น้ำเกลือกับคนไข้ พอเสร็จแล้วเขาก็หันไปมองถุงเลือดอย่างกังวลแล้วก็บอกว่า “แต่ที่ผมเป็นห่วงก็คือ นี่คือเลือดถุงสุดท้ายที่เรามีอยู่ครับ เลือดถุงนี้ปนเปื้อนเชื้อซะแล้ว ใช้ไม่ได้แล้วครับ แต่คนไข้จำเป็นจะต้องได้รับเลือดซะด้วยซิครับ”
“ถ้างั้นก็เอาเลือดผมไปครับคุณหมอ” อารยะบอก
“เลือดคุณกรุ๊ปอะไรครับ?” หมอถาม
“กรุ๊ปบีครับ” อารยะตอบแล้วก็จัดแจงถลกแขนเสื้อขึ้น
หมอส่ายหน้า “ใช้ไม่ได้ครับ เราต้องการเลือดกรุ๊ปเอบีเนกกะทิปเท่านั้นครับ น้องสาวของคุณเลือดกรุ๊บเอบีเนกฯครับ กรุ๊ปนี้หายากมากด้วยครับ”
อารยะทำหน้างง “น้องผมเลือดกรุ๊ปบีนะครับคุณหมอ คุณหมอตรวจผิดรึเปล่าครับ?”
“ไม่ผิดครับ คุณจำผิดมั้งครับมิสเตอร์บุญดี ผลเทสออกมาว่าน้องคุณเลือดกรุ๊ปเอบีเนกฯนะครับ” หมอบอกแล้วก็เดินไปหยิบชาร์ทประวัติคนไข้ที่ตกบนพื้นขึ้นมาส่งให้ญาติคนไข้ดู
อารยะรับไปดูอย่างงงๆ เลือดยัยวาจะเป็นเอบีเนกฯได้ไง เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด หมอต้องตรวจผิดแน่ๆ แต่พอก้มอ่านประวัติเขาก็ยิ่งงงหนัก เพราะในนั้นผลเลือดระบุว่าเป็นเอบีเนกฯ
“คุณหมอเจาะเลือดน้องผมไปตรวจใหม่เลยครับ ยังไงผมก็ยืนยันว่าน้องผมกรุ๊ปบีครับ” เขาบอกหมอแล้วก็ส่งชาร์ทคืนให้
หมอมองหน้าญาติคนไข้แล้วก็รับชาร์ทคืนไป จากนั้นก็หันไปสั่งพยาบาลว่า “เจาะเลือดไปตรวจใหม่ด้วยนะ แล้วก็สั่งห้องแล๊บด้วยว่าขอผลด่วน”
“เยส” พยาบาลรับคำสั่งแล้วก็เดินไปหยิบอุปกรณ์เจาะเลือดมา
อารยะถอยไปยืนข้างตะวันแล้วก็พูดกันเป็นภาษาไทยว่า “ไอ้ะโรงบาลนี้ตรวจยัยวาผิดแน่ๆว่ะ จะเป็นเอบีเนกฯได้ไง มันต้องตรวจสับกับของคนอื่นแน่ๆเลยไอ้วัน”
ตะวันพยักหน้ารับ “นั่นซิ ก็ทิวาเลือดกรุ๊ปบีชัดๆ จะเป็นเอบีเนกฯได้ไง”
“ฉันว่าฉันพายัยวากลับไปรักษาที่กรุงเทพฯดีกว่าว่ะ” อารยะบอกแล้วก็มองหน้าน้องอย่างเป็นห่วง
ตะวันพยักหน้าเห็นด้วย แล้วก็ถามว่า “แล้วรอยที่หลังนั่นล่ะไอ้ยะ มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?”
อารยะส่ายหน้า “ไม่รู้ว่ะ” แล้วเขาก็นึกโกรธตัวเองที่ไม่ดูแลน้องให้ดี นึกโกรธคนที่ทำกับน้องตัวเองแบบนี้ “โธ่โว้ย!” แล้วเขาก็หันไปชกกำแพงเปรี้ยง!
ตะวันรีบห้าม “เฮ้ย! ใจเย็นๆไอ้ยะ”
หมอก็รีบเข้าไปห้าม “ใจเย็นๆก่อนครับมิสเตอร์บุญดี”
พยาบาลตกใจ พอเจาะเลือดเสร็จก็รีบเอาเลือดไปส่งให้ห้องแล๊บ
อารยะหันไปตวาดเพื่อน “เอ็งจะให้ข้าใจเย็นอีกเหรอวะไอ้วัน! ยัยวาถูกทารุนถึงขนาดนี้น่ะ แม่งเอ้ย! อย่าให้กูรู้นะว่ามันเป็นใครกูจะยิงแม่งให้ดิ้นเหมือนหมาเลยมึง!”
“เออๆ ข้าเข้าใจแกนะไอ้ยะ แต่โวยวายไปตอนนี้มันจะมีประโยชน์อะไรวะ เอาไว้ให้เจอตัวก่อนซิวะ ข้ารับรองว่ามันต้องได้รับโทษสาสมกับที่มันทำกับทิวาแน่” ตะวันปลอบ
อารยะฮึดฮัดข่มความโกรธแล้วก็ไปนั่งสงบสติอารมณ์ที่โซฟา
หมอถอยไปยืนมองอย่างเงียบๆ
ตะวันยืนมองเพื่อนแล้วก็หันไปขอโทษแทนเพื่อนที่ส่งเสียงดัง
หมอพยักหน้าอย่างเข้าใจ
สักพักใหญ่พยาบาลก็ถือผลตรวจเลือดมาให้ “ได้แล้วค่ะคุณหมอ”
หมอรับไปดูแล้วก็พูดกับญาติคนไข้ว่า “ผลตรวจมาแล้วครับ มิสบุญดีเลือดกรุ๊ปเอบีเนกกะทิปครับ”
ตะวันยื่นมือไปรับผลตรวจมาดู “จะเป็นไปได้ยังไงครับ!?”
อารยะลุกพรวดไปดึงผลตรวจมาดู “เอบีเนกกะทิปได้ไงวะ ต้องเป็นบีซิ ก็ยัยวากรุ๊ปบีจริงๆนะ”
เขามองหน้าหมออย่างอึ้งๆ จะบอกว่าหมอตรวจผิดอีกก็ไม่น่าจะใช่ จากกรุ๊ปบีเป็นเอบีเนกฯได้ยังไงกัน มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง…
แล้วพยาบาลก็บอกกับหมอว่า “เลือดกรุ๊ปนี้หาไม่ได้เลยค่ะคุณหมอ ไม่มีโรงพยาบาลไหนมีสำรองไว้เลยค่ะ”
หมอหน้าเครียด
ตะวันจ้องหมอแล้วก็ถามว่า “โทรเช็คหมดทุกโรงพยาบาลแล้วเหรอครับ”
“เยสเซอร์” พยาบาลตอบ
ตะวันหันไปพูดกับเพื่อนว่า “ไอ้ยะถ้างั้นฉันว่าพาทิวากลับไปรักษาที่กรุงเทพฯดีกว่าว่ะ”
“เออ” อารยะพยักหน้าเห็นด้วยแล้วก็บอกว่า “แกจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินเลยไอ้วัน”
“ได้” ตะวันพยักหน้าแล้วก็บอกว่า “แต่ฉันว่าเหมาเครื่องกลับเลยคงจะเร็วกว่านะ”
อารยะเห็นด้วย “เออ…จะยังไงก็ได้ว่ะ ขอแค่ส่งยัยวาไปถึงมือหมอที่กรุงเทพให้เร็วที่สุด”
ตะวันพยักหน้าแล้วก็โทรสั่งเลขาให้จัดการเรื่องเหมาเครื่องกลับ
อารยะหันไปพูดกับหมอว่า “ถ้างั้นคุณหมอช่วยจัดการเรื่องออกจากโรงพยาบาลด้วยครับ ผมจะย้ายน้องผมไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯครับ”
“เยสเซอร์” หมอรับคำแล้วก็หันไปสั่งพยาบาล
“ไอ้วัน ถ้างั้นฉันไปจัดการเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมก่อนนะ แกเอาคีย์การ์ดมาให้ฉันด้วย” อารยะบอกเพื่อนแล้วก็แบมือ
ตะวันล้วงคีย์การ์ดส่งให้ ปากก็สั่งงานเลขาเป็นชุด
อารยะรับคีย์การ์ดไปแล้วก็รีบเดินไปเรียกแท็กซี่กลับโรงแรม
ครั้นพอไปถึงโรงแรม เขาก็จัดการเก็บกระเป๋าของทุกคนแล้วก็ไปจัดการเช็คเอ้าท์ จากนั้นก็กลับไปโรงพยาบาล
ส่วนตะวันก็จัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกับทางโรงพยาบาลแทนเพื่อน เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอให้อารยะกลับมาจ่าย
พออารยะกลับมาถึงโรงพยาบาล คนไข้ก็พร้อมเดินทางไปสนามบินแล้ว
จากนั้นทุกคนก็ขึ้นรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลไปสนามบิน
พอถึงสนามบิน เครื่องบินก็พร้อมเดินทางรออยู่แล้ว
จากนั้นครึ่งชั่วโมงต่อมาเครื่องบินก็เทคออฟออกจากสนามบินมุ่งหน้ากลับกรุงเทพฯ
แต่พอถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็กลับมีปัญหาที่ด่านตรวจคนขาเข้าเพราะลายนิ้วมือของทิวาไม่ตรงกับในพาสปอร์ต
“มันจะเป็นไปได้ไงครับคุณเจ้าหน้าที่” อารยะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าจะเกิดเรื่องบ้าๆแบบนี้
“นั่นซิครับ” ตะวันถาม
เจ้าหน้าที่ศุลกากรตรวจคนเข้าเมืองก็ชี้แจงว่า “ลายนิ้วมือของคุณทิวาไม่ตรงกับฐานข้อมูลครับ”
อารยะกับตะวันมองหน้ากันเอง
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรวะไอ้วัน!?” อารยะสบถอย่างหงุดหงิด
“นั่นซิวะ” ตะวันพยักหน้า
แล้วเจ้าหน้าที่ก็บอกว่า “ถ้างั้นเชิญพวกคุณทางนี้ก่อนเถอะครับ”
ตะวันพยักหน้ากับเพื่อนแล้วก็เดินตามเจ้าหน้าที่ไป
จากนั้นทุกคนก็ถูกพาไปนั่งรอในห้องรับรอง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงก็เข้าไปคุยกับตะวันและอารยะ เจ้าหน้าที่จับนิ้วมือของทิวาวางบนเครื่องสแกนให้สองหนุ่มได้ดูชัดๆ แล้วก็ถามว่า “คุณเอาพาสปอร์ตมาผิดรึเปล่าครับ ในกรณีนี้อาจจะเป็นไปได้ว่าคุณคงจะรีบกลับมาจนหยิบพาสปอร์ตของคุณฝาแฝดอีกคนมาก็ได้ครับ”
อารยะกับตะวันงงดั่งถูกค้อนทุบ
“ฝาแฝดอะไรกันครับ น้องผมไม่มีฝาแฝดครับ เราไปเที่ยวกันสามคนมีผมมีไอ้วันแล้วก็น้องสาวผมเท่านั้นครับ” อารยะอธิบาย
ตะวันก็ช่วยพูดอีกคนแต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งเขาต้องโทรไปขอร้องผู้ใหญ่ให้ช่วยเหลือ
กว่าจะหลุดจากสนามบินไปได้ก็เสียเวลาไปนาน ตะวันกับอารยะเครียดจนปวดหัว
พอถึงโรงพยาบาล หมอก็จัดแจงตรวจคนไข้อย่างละเอียดแล้วก็ให้เลือดให้น้ำเกลือ
หลังจากคนไข้ถูกส่งเข้าห้องพักแล้ว อารยะก็นั่งมองหน้าน้องเขม็งแล้วก็หันไปพูดกับตะวันว่า “ไอ้วันนี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นวะ?”
ตะวันส่ายหน้า “ไม่รู้ว่ะ รู้แต่ว่าตอนนี้ทิวาที่เคยมีเลือดกรุ๊ปบีกลับกลายเป็นเอบีเนกฯไปแล้ว ลายนิ้วมือก็ไม่ตรงกับพาสปอร์ต”
“แกจะบอกว่าคนนี้ไม่ใช่น้องฉันงั้นเหรอ” อารยะถามพลางชี้ไปที่น้องสาว
“ไม่รู้ซิวะ เพราะฉันก็ยังงงๆอยู่เหมือนกันว่ะ” ตะวันบอกแล้วก็แนะนำว่า “ทิวามีไฝฝ้ามีปานตรงไหนแกก็ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้ว แกก็ตรวจดูซิว่าใช่ทิวามั้ย”
อารยะอึ้ง! แล้วก็นิ่งคิดตามคำแนะนำของเพื่อน เขาหันไปจับมือน้องดูรอยแผลเป็นที่เกิดจากมีดบาดเมื่อตอนเด็กๆ
“ไม่มี” แล้วเขาก็เดินไปดูที่ฝ่าเท้าแล้วก็หันไปพูดกับตะวันว่า “ไม่มีว่ะไอ้วัน ยัยวามีไฝที่ฝ่าเท้าเม็ดนึง แต่นี่ไม่มีเลยว่ะ”
เขามึนงงยิ่งกว่าถูกค้อนทุบ
ตะวันเดินเข้าไปดูบ้าง เพราะเขาจำได้ว่าทิวามีไฝที่ฝ่าเท้าเช่นกัน พอดูแล้วเขาก็หันไปพูดว่า “ไม่มีจริงๆนั้นแหละ”
อารยะนั่งมึน “นี่มันเกิดอะไรขึ้นวะ แล้วยัยวาหายไปไหน แล้วผู้หญิงคนนี้เป็นใครวะทำไมหน้าถึงเหมือนยัยวายังกะฝาแฝดแบบนี้ล่ะ”
ตะวันไม่รู้จะพูดอะไรเพื่อปลอบใจเพื่อน เขาได้แต่เดินเข้าไปนั่งข้างๆโอบบ่าให้กำลังใจ แล้วก็ครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
อารยะเอื้อมมือไปจับมือเพื่อน “ฉันไม่อยากจะคิดหรอกนะว่าเป็นเพราะไอ้ปรากฎการณ์สุริยุปราคากับฟ้าผ่านั่นที่มันทำให้น้องฉันหายไปน่ะ”
เขาหันไปมองหน้าเพื่อนแล้วก็ถามว่า “ถ้าฉันคิดแบบนี้แกจะว่าฉันบ้ามั้ยไอ้วัน”
ตะวันตบบ่าเพื่อนแล้วก็บอกว่า “ฉันก็กำลังคิดแบบนี้เหมือนกัน ถ้าจะบอกว่าบ้าแกกับฉันก็คงจะบ้าด้วยกันทั้งคู่นั้นแหละ”
อารยะยิ้มดีใจที่เพื่อนเข้าใจ “ขอบใจว่ะ”
พอกำลังใจกลับคืนมา เขาก็ถามว่า “แกคิดเหมือนฉันมั้ยวะ ว่ายัยวาต้องยังอยู่ที่นครวัดน่ะ”
“เออ” ตะวันเห็นด้วย
“ถ้างั้นฉันจะกลับไปรับยัยวา” อารยะบอกแล้วก็ลุกขึ้น
ตะวันลุกขึ้นตบบ่าเพื่อน “เออ เดินทางปลอดภัยนะ รีบไปรีบมา ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนี้ฉันจะดูแลเอง แกไม่ต้องห่วง แล้วถ้ามีปัญหาอะไรก็โทรมานะไอ้ยะ”
“เออ ขอบใจ” อารยะตบบ่าตอบแล้วก็ยิ้มให้
จากนั้นเขาก็เดินไปหิ้วกระเป๋าสะพายกับกระเป๋าเดินทาง ก่อนออกไปเขาหันไปโบกมือให้เพื่อน
จากนั้นเขาก็มุ่งหน้าไปสนามบิน ระหว่างทางเขาก็จัดการจองตั๋วไปด้วย ถึงแม้ราคาตั๋วจะแพงแค่ไหนเขาก็ยอมจ่าย ขอแค่ให้ไปถึงเสียมเรียบโดยเร็วที่สุด โชคดีที่เที่ยวบินที่เขาต้องการยังมีตั๋วว่างอยู่หนึ่งที่พอดี
ส่วนตะวันก็นั่งลงข้างเตียงมองดูผู้หญิงที่หน้าตาเหมือนกับทิวา นี่ถ้าไม่มีเรื่องกรุ๊ปเลือดกับลายนิ้วมือเขาคงจะคิดว่าทิวาต้องบ้าไปแล้วที่บอกว่าตัวเองไม่ใช่ทิวา แต่หลักฐานสำคัญสองสิ่งนี้ก็พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่ทิวาแน่ๆ แล้วเธอเป็นใครกันล่ะ? เอ…เธอบอกว่าเธอชื่ออะไรนะ จำไม่ได้แล้วซิ แต่ก็น่าแปลกที่เธอใส่เสื้อผ้าของทิวา รวมทั้งเครื่องประดับด้วย ก็นาฬิกาข้อมือของทิวาที่เขาซื้อให้เธอตอนวันเกิดเขาสั่งทำพิเศษบนหน้าปัดยิงเลเซอร์สลักชื่อทิวาเป็นภาษาอังกฤษ ยืนยันได้ว่าสิ่งของเหล่านี้เป็นของทิวาแน่
เขาจับข้อมือเรียวขึ้นมาดู ไม่มีรอยสวมนาฬิกา สีผิวเรียบเนียนเสมอกันแตกต่างจากข้อมือของคนที่สวมนาฬิกาทุกวัน ยังไงเธอก็ไม่ใช่ทิวา แล้วเธอไปเอาเสื้อผ้ากับของๆทิวามาใส่ตั้งแต่ตอนไหนนะ เพราะตั้งแต่ไปเที่ยวไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ทิวาจะคลาดสายตาจากเขากับอารยะไปได้ นี่พวกเขากำลังเผชิญหน้ากับเรื่องพิลึกพิลั่นอยู่รึไง… ยิ่งคิดก็ยิงปวดหัว มีแต่คำถามที่หาคำตอบไม่ได้
นิ้วเรียวขาวขยับ ทำให้เขาหันไปมองหน้าคนไข้
เจ้าหญิงจันทราลืมตาขึ้น
ตะวันลุกขึ้นยืนชะโงกมอง “คุณรู้สึกเป็นยังไงมั่งครับ?”
เจ้าหญิงจันทราลุกขึ้นนั่ง หันไปเห็นสายระโยงระยางเสียบที่แขนก็จะดึงออก
ตะวันรีบห้าม “อย่าดึงออกนะ คุณต้องให้เลือดให้น้ำเกลือเพราะคุณเสียเลือดไปมาก”
เจ้าหญิงจันทราชะงักมองมือที่จับข้อมือนาง แล้วก็มองหน้าอีกฝ่าย
“คุณนอนก่อนเถอะ ลุกขึ้นมาแบบนี้เดี๋ยวจะเป็นลมอีก” ตะวันบอกด้วยน้ำเสียงอาทร
เจ้าหญิงจันทรารู้สึกได้ถึงความหวังดี นางจึงยอมนอนลง
“คุณชื่ออะไรเหรอครับ?” ตะวันถามพลางยิ้มให้
เจ้าหญิงจันทรามองหน้าเขาแล้วก็บอกว่า “จันทรา”
“จันทรา…ชื่อเพราะดี” แล้วตะวันก็บอกว่า “ผมชื่อตะวันครับ เดี๋ยวผมตามหมอมาตรวจคุณก่อนนะ” แล้วเขาก็หันไปกดเรียกหมอ “คุณพยาบาลครับช่วยตามหมอให้ด้วยครับ คนไข้ฟื้นแล้วครับ”
“ค่ะ รอสักครู่นะคะ” เสียงพยาบาลตอบกลับมา
เจ้าหญิงจันทรามองอย่างงุนงงสงสัย
“รอแป๊บนึงนะครับ เดี๋ยวหมอก็มาครับ” ตะวันบอกแล้วก็นั่งลง
เจ้าหญิงจันทรามองอย่างงงๆอย่างระวังตัว