NO 353 หายไปทันใด!
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองเขา บอกว่า “เรือเหาะลำนี้ขยายใหญ่และย่อส่วนได้ แน่นอนว่าข้าวของบนเรือจะใช้ได้เมื่อขยายใหญ่ขึ้น” สิ้นสุดเสียงเธอก็กำชับ “เรื่องเรือเหาะออกจากที่นี่ก็ลืมๆ ไปซะจะได้ไม่เกิดปัญหา”
“ขอรับ ข้าน้อยเข้าใจ” เขาขานรับ หากคนอย่างผู้ครองแคว้นรู้ว่านางมีเรือเหาะจะต้องมาแย่งไปแน่ ถึงอย่างไรพาหนะเหาะเหินที่น่าอัศจรรย์เช่นนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ได้จะมีไว้ครอบครอง นางไม่พูดเขาก็ไม่ถามอะไรอีก ทั้งสองกินอาหารไปเงียบๆ จนกระทั่งถึงเวลาฟ้าสว่าง หลัวอวี่ลุกขึ้นยืนมองไปรอบๆ เอ่ยด้วยความสงสัยอยู่บ้าง “นายท่าน แม้ป่าเก้าหมอบนี้เป็นสถานที่อันตรายแต่ก็ไม่ได้บอกว่าไม่มีคนมา พวกเรานั่งอยู่ตรงนี้ตั้งนานทำไมยังไม่เห็นใครเข้าไปสักคนล่ะขอรับ?”
“ข้าก็ไม่ได้มาบ่อยไหนเลยจะรู้” เธอกรอกดวงตาแล้วสาวเท้าก้าวเดินไปด้านใน พลันได้ยินเสียงอะไรบางอย่างจึงเงยหน้ามองไปกลางอากาศ เพียงเห็นพวกผู้ฝึกเซียนที่ร่อนกระบี่ลอยฟ้ากำลังเดินทางไปยังป่าเก้าหมอบ ความเร็วที่ว่องไวทำให้พวกเขาได้ยินแค่เสียงลมวาดผ่านเหนือศีรษะไปชั่วขณะและกลับคืนสู่ความสงบในเวลาต่อมา
“พวกผู้ฝึกเซียน! ไม่รู้ว่ามาจากแคว้นไหนกันนะขอรับ” หลัวอวี่พูดขึ้นด้วยความอิจฉานิดหน่อย “หากพวกเราเหาะกระบี่ได้บ้างคงดี”
ลองนึกถึงความรู้สึกที่ได้ยืนอยู่บนตัวกระบี่เหาะเหินไป ร่างกายก็รู้สึกมีชีวิตชีวา
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่งจิ่วก็หัวเราะเบาๆ “ระดับบรรพชนนักรบก็เหาะกระบี่ได้แล้วไม่ใช่หรือ เจ้าเร่งฝึกบำเพ็ญซะ ผ่านถึงระดับบรรพชนนักรบก็สามารถเหาะกระบี่บินอย่างพวกเขาได้ตลอด”
“ต่อให้ถึงระดับบรรพชนนักรบก็ต้องมีคาถาเหาะกระบี่ขอรับ! อีกอย่างตอนนี้ข้าน้อยเพิ่งอยู่ระดับยอดปรมาจารย์นักรบพลังเร้นลับขั้นกลาง จะบรรลุถึงขั้นสูงสุดเดาว่าอย่างเร็วสุดต้องใช้เวลาสองสามปี”
อันที่จริงความเร็วในการฝึกบำเพ็ญของพวกเขาเร็วมาก ถึงอย่างไรพวกผู้นำตระกูลเองก็เพิ่งถึงระดับบรรพชนนักรบ พวกเขามีความสามารถเช่นนี้ได้ถือว่ายอดเยี่ยมแล้วในหมู่คนรุ่นเดียวกัน
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเห็นสีหน้าเขามีความพอใจในตนเอง จึงยิ้มๆ โดยไม่พูดอะไร แค่เร่งฝีเท้าเดินพุ่งไปด้านหน้า หลัวอวี่ด้านหลังเห็นท่าทางก็เร่งฝีเท้าตามไป สองร่างปรี่ตรงไปยังส่วนลึกของป่าเก้าหมอบตามๆ กันเพื่อไม่ให้เสียเวลาอยู่รอบนอก…
ตอนพลบค่ำทั้งสองเดินเข้ามารอบด้านใน เพราะท้องฟ้ามืดลงจึงพักผ่อนอยู่บริเวณใต้ต้นไม้
“นายท่าน ท่านพักอยู่ตรงนี้เถอะ ข้าน้อยจะไปหาพวกอาหารป่ามาทำมื้อค่ำ” หลัวอวี่กล่าวจบก็ลุกขึ้นเดินไปบริเวณรอบๆ
“ระวังตัวหน่อย อย่างไปไกลเกินล่ะ” เฟิ่งจิ่วบอกพร้อมเงยหน้ามองไปตามทิศทางที่เขาจากไป ก่อนจะหยิบพวกสมุนไพรที่เก็บมาตลอดทางออกมาจัดการแยกประเภทเพื่อถือโอกาสทำยาไว้ป้องกันตัว
ทว่าเมื่อท้องฟ้ามืดลง หลังจากใช้พวกสมุนไพรทำยาเสร็จเพิ่งนึกได้ว่าไม่เห็นหลัวอวี่กลับมาตั้งนานแล้ว ตอนนี้ถึงจะรู้สึกผิดปกติ หลังเก็บยาสองสามขวดนั้นก็ลุกขึ้นมามองไปรอบข้าง เดิมทีเธอไม่ค่อยสนใจนักเพราะนี่เป็นเพียงสถานที่รอบด้านในที่เข้ามาครั้งแรก ต่อให้มีอันตรายด้วยฝีมือหลัวอวี่คงไม่มีปัญหาแน่ แล้วตอนนี้เกิดอะไรขึ้น? ไม่นึกเลยว่าจะหายไปอย่างเงียบเชียบไร้เสียง
เธอหลับตาลงปล่อยดวงจิตออกมานำพา เป็นดังคาดทุกสถานที่ที่ดวงจิตสัมผัสถึงล้วนไม่เห็นกลิ่นอายหลัวอวี่
ลืมตาขึ้นท่าทีหวั่นๆ เล็กน้อยพร้อมขมวดคิ้วเบาๆ เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เฟิ่งจิ่วสงสัยอยู่ในใจ กระซิบเสียงเบาว่า “โชคดีที่ข้ายังมีสติอยู่”
จากนั้นจึงเคลื่อนก้าวไปตามหายังทิศทางที่หลัวอวี่ออกไป
…………………………..