№ 362 ทำไมไม่ร่วมมือ?
หลัวอวี่เพียงรู้สึกว่าร่างกายกระเด็นออกไปอย่างไร้การควบคุมคล้ายมีแรงหนึ่งผลักอยู่ด้านหลัง หลังจากโดนผลักออกไปเกือบร้อยเมตรแรงกดดันที่กดไว้บนร่างเสียจนแม้แต่หายใจยังรู้สึกลำบากก็จางหายไป เรี่ยวแรงทั่วร่างเหมือนกลับมา
“นายท่านขอรับ!”
เขาหันกลับไปมองอุทานเสียงหลง เพียงเห็นตรงที่นางอยู่มีค่ายกลสีเลือดอันซับซ้อนปรากฏขึ้น สายบางแต่ละเส้นนั้นซึมจากผืนดินราวกับมีกระแสที่ก่อตัวจากเลือดวิ่งแล่นในค่ายกลนั้น กลางค่ายกลเลือดใหญ่โตมีประกายสีเลือดและกลิ่นอายแห่งความตายมากล้นกระจายอยู่ เห็นแล้วหัวใจสั่นไหวโดยไม่รู้ตัว
เขาเป็นองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งมานานเพียงนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่พบเห็นภาพน่าตะลึงและหวาดกลัวเช่นนี้…
เดิมควรจะออกไปแต่เห็นนายท่านยังอยู่ในนั้นเขาจึงวิ่งกลับไปโดยไม่คิดเลยสักนิด กลับได้ยินเสียงนางลอยมาอย่างมีความดุดัน
“ไปรอตรงที่ข้าบอกซะ! นี่เป็นคำสั่ง!”
เฟิ่งจิ่งตะโกนเสียงดัง น้ำเสียงรวบรัดกลับมีแรงกดดันและความดุดันที่ไร้ข้อกังขา ทำให้เขาไม่หยุดฝีเท้าลงไม่ได้เสียดื้อๆ
“นายท่าน…”
ดวงตาสีแดงเลือดเขามีความแข็งขืนและเจ็บปวด ในใจอึดอัดอย่างยิ่ง หากไม่ใช่เพราะเขานายท่านคงไม่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเช่นนี้ หากไม่ใช่เพราะเขานายคงหนีออกไปได้ หากไม่ใช่เพราะเขา…
สติบอกเขาว่าต้องฟังคำสั่งนายท่านและออกไปโดยเร็ว เพราะกำลังอ่อนแอเกินไปจึงรับแรงกดดันของหัวหน้าระดับหลอมแก่นพลังไม่ไหว หากอยู่ต่อไม่เพียงช่วยนายท่านไม่ได้ ซ้ำยังทำให้นางลำบาก ทว่าฝีเท้าที่ย่างลงกลับหนักอึ้งเสียจนไม่มีทางก้าวออก
นั่นนายท่านเขานะ! นายท่านที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเพื่อช่วยเขา! จะให้ออกไปทั้งแบบนี้ได้เช่นไร?
“รีบไปซะ!”
เฟิ่งจิ่วแผดเสียงลั่น ไม่มีเวลาไปสนใจเขาแล้ว หันหน้ากลับมามองค่ายกลเลือดแปลกประหลาดที่ยืนอยู่ จึงเห็นว่าสิ่งที่ไหลพล่านอยู่บนลายเส้นซับซ้อนภายในค่ายกลคือเลือดที่กำลังไหลเวียน และไม่รู้ว่าเป็นเลือดที่ผุดออกมาจากตรงไหน ยังไงก็ตามกลิ่นอายแห่งความตายนั้นรุนแรงยิ่งนัก ช่างทำให้ใจคนขนพองสยองเกล้าเสียจริง
หลังเฟิ่งจิ่วตะโกนลั่นหลัวอวี่ก็กัดฟันหันตัวออกไปอย่างรวดเร็ว…
“หงส์ไฟน้อย ข้าเหยียบอยู่ตรงนี้ขยับไม่ได้แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะทำลายค่ายกลได้ยังไง?”
เธอใช้ดวงจิตเอ่ยถามหงส์ไฟน้อยในห้วงมิติ สายตาจับจ้องบนร่างชายชราร่างผอมที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางนั้นตลอดไม่ขยับเขยื้อน “หัวหน้าคนนั้นยังไม่เคยเห็นเขากระดุกกระดิกเลย คงไม่ใช่ว่านั่งอยู่ตรงนั้นแล้วขยับไม่ได้หรอกกระมัง?”
“ค่ายกลวิญญาณโลหิตนี้เป็นค่ายกลวิชามาร ต้องใช้เลือดคนมารวมกันสร้าง ตรงที่ตาแก่นั่นนั่งคงเป็นจุดทำลายค่ายกลนี้ หนำซ้ำยังเป็นดวงตาค่ายกล พลังเลือดตรงนั้นแข็งแกร่งที่สุด เขาคงคิดจะพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา หากเจ้าไม่ทำเขาเสียเรื่องถึงเวลาเที่ยงคืนตรงนี้ก็จะไม่มีใครเหลือรอดสักคน”
น้ำเสียงเด็กน้อยของหงส์ไฟน้อยเปล่งออกมาด้วยความเคารพและเคร่งขรึม หลังชะงักไปพักหนึ่งก็กำชับอีกว่า “เจ้าเองก็ระวังหน่อย อย่าไปเหยียบลายเลือดในค่ายกลจะได้ไม่ติดกับ แต่ตาแก่นี่ตั้งใจจะฆ่าเจ้า ข้าคิดว่าร่วมมือกับผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนนั้นจะดีที่สุด โต้กลับด้วยการฆ่าเขาจะได้เลี่ยงปัญหาในภายหลัง!”
ได้ยินเช่นนี้ เธอคิดว่าตอนนี้มีแค่วิธีนี้แล้วจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงใช้สายตาจับจ้องบนร่างผู้ฝึกตนสี่คนนั้น
พวกเขาเห็นนางมองมาดวงตาก็เป็นประกายทันใด พลันเอ่ยปากตะโกนว่า “เจ้าหนู! กำลังเจ้าคนเดียวฆ่าเขาไม่ได้หรอก แต่หากรวมกับพวกเราสี่คนสถานการณ์กลับจะแตกต่างไปมากนัก ใยจึงไม่ยื่นมือให้เราแล้วร่วมกันกำจัดศัตรูเล่า?”
………………………..