№ 612 ขอองค์หญิงโปรดชี้แนะให้มาก
สายตาผู้ครองแคว้นทุกคนพินิจมองบนร่างนางสักพัก รอยยิ้มบนหน้ายิ่งลึกล้ำขึ้น แม้แต่น้ำเสียงยังผ่อนคลายลงบางส่วน ไม่น่าเกรงขามแข็งกร้าวเช่นที่สั่งสอนโอรสพวกตนก่อนหน้านี้
“เหอะๆ ได้ยินมานานว่าองค์หญิงลักษณะท่าทางโดดเด่น วันนี้ได้เห็นถึงจะรู้ว่าข่าวลือยังเล่าไม่ถึงหนึ่งในสิบด้วยซ้ำ!”
“ถูกต้อง อายุสิบหกก็บรรลุถึงระดับบรรพชนนักรบ พรสวรรค์เช่นนี้หายากจริงๆ”
“เทียบกับองค์หญิงแล้ว องค์ชายพวกเรานี้ไม่อยู่ในสายตาเท่าไรเลยจริงๆ”
ผู้ครองแคว้นทุกท่านกล่าวยิ้มๆ ในเวลานี้ที่เห็นเฟิ่งจิ่ว พวกเขาตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าอย่างไรจะต้องสานสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์เฟิ่งหวง มีสาวน้อยมากพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นนี้อยู่ อีกทั้งตัวเฟิ่งเซียวเอง ผู้เฒ่าเฟิ่ง และคนตระกูลหลินจากแคว้นรุ่งเรืองระดับสาม แล้วจะมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับราชวงศ์เฟิ่งหวงได้อย่างไร?
เมื่อเสด็จพ่อพวกเขากล่าวว่าเฟิ่งจิ่วมีวรยุทธ์ระดับบรรพชนนักรบ องค์ชายแปดคนนั้นที่ก้มหน้าไม่กล้าให้เฟิ่งจิ่วเห็นมาตลอดก็เงยหน้าขึ้นทันที แววตาโกรธเกรี้ยวจ้องเขม็งไปทางสาวน้อยผู้งดงามผ่าเผยอย่างตกตะลึง ในใจขุ่นเคืองไม่สิ้นสุด
นึกไม่ถึงว่านางจะเป็นบรรพชนนักรบ! นางเป็นบรรพชนนักรบได้อย่างไรกัน?
บรรพชนนักรบคนหนึ่งฝึกซ้อมวิชากับคนที่อยู่แค่ระดับยอดปรมาจารย์นักรบเช่นพวกเขาอย่างไม่เกรงใจ? จะหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปแล้ว!
พวกเขาแต่ละคนถลึงตามองสาวน้อยที่ยิ้มแย้มพูดคุยกับเสด็จพ่อพวกเขาด้วยความโกรธเคือง นางในยามนี้ท่าทางงามสง่าไม่ธรรมดา ไหนเลยจะมีท่าทีบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นยามที่ล่อลวงพวกเขาตกหลุมพรางแม้สักนิด?
แค่กระต่ายขาวน้อยที่ภายนอกไร้พิษสง แท้จริงกลับเป็นนางจิ้งจอกหน้ากากหยกแสนเจ้าเล่ห์!
ขณะที่พวกเขากำลังถลึงมองนางอย่างเดือดดาล ก็ได้ยินน้ำเสียงของเสด็จพ่อพวกเขาที่เจือยิ้มเยาะดังขึ้น พวกเขาตกใจจนรีบร้อนเก็บความโกรธบนใบหน้าไป นั่งเป็นระเบียบเรียบร้อย และหลุบตาเล็กน้อยพร้อมฟังความ
“ลูกข้า ยากนักที่จะมาถึงราชวงศ์เฟิ่งหวง องค์หญิงที่โดดเด่นเช่นนี้ พวกเจ้าต้องคว้าโอกาสครั้งนี้ไว้ และขอองค์หญิงชี้แนะพวกเจ้าให้มากๆ หน่อย”
ได้ยินคำพูดนี้ เหล่าองค์ชายแปดคนนั้นที่หลุบตาลงแต่ละคนแอบกัดฟันกรอดอย่างขุ่นเคือง พวกเขาโดนชี้แนะไปตั้งแต่แรกแล้ว หน้าบวมช้ำเช่นนี้ต้องขอบคุณนางไม่ใช่หรือ?
ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าไม่เชื่อฟัง จึงจำใจขานรับว่า “พ่ะย่ะค่ะ พวกเราจะจำคำแนะนำเสด็จพ่อไว้ และจะให้องค์หญิงคอยชี้แนะแน่นอน”
เฟิ่งจิ่วฟังแล้วกลับยิ้ม บอกว่า “ข้าไม่กล้าชี้แนะ หากองค์ชายทั้งหลายไม่ยอมแพ้ ข้าก็เต็มใจอย่างยิ่งที่จะฝึกซ้อมกับพวกท่านให้มากๆ เพคะ”
ครั้นเอ่ยถึงคำว่าฝึกซ้อม แววตาเธอที่ยิ้มแย้มก็หยุดลงบนร่างคนพวกนั้น นัยน์ตายังมีรอยยิ้มซึ่งมีเพียงพวกเขาที่เข้าใจ
“ฮ่าๆๆ ดีๆๆ องค์หญิงเอ่ยเช่นนี้พวกเราก็วางใจ” ผู้ครองแคว้นทุกท่านหัวเราะเสียงดัง สำหรับพวกเขา การฝึกซ้อมกับเฟิ่งจิ่ว หนึ่งคือได้รับการชี้แนะจากนาง สองคือได้กระชับความสัมพันธ์ มีแต่ประโยชน์ไม่มีผลเสีย
หลังจากได้ยินคำพูดนาง มีเพียงองค์ชายแปดคนนั้นที่จับใบหน้าตนเองโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าบาดแผลบนหน้าเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง…
ผ่านไปอีกสักพัก หลังจากทุกคนแยกย้ายกันไป ภายในท้องพระโรงก็เหลือแค่พ่อลูกสองคน เฟิ่งเซียวยิ้มมองนาง เอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “คนพวกนั้นขัดใจอะไรเจ้าหรือ? โดนเจ้าซ้อมไปทั้งหน้า จะให้คนไม่สังเกตเห็นพวกเขายังยากเลยจริงๆ!”
เฟิ่งจิ่วยิ้มแย้ม มานั่งลงข้างกายพร้อมเกาะแขนเขา “ตอนข้าเข้าวังพวกเขามาขวางข้าไว้ จะให้ข้าไปดื่มเหล้าชมดอกไม้กับพวกเขา ข้าบอกว่าดื่มเหล้าชมดอกไม้ไม่สนุก พาพวกเขาไปเล่นกันยังสนุกกว่า”
“เช่นนั้นทำไมพวกเขาถึงไม่กล้าแม้แต่จะฟ้องเล่า? เจ้าทำอะไรอีก?” ใครจะรู้จักลูกสาวได้ดีเท่าพ่อ แค่นางเอ่ยออกมา เฟิ่งเซียวก็รู้แล้วว่าคงไม่ธรรมดาเช่นนั้นแน่
…………………………….



