Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 632

№ 632 งามดุจเทพจุติ

วันรับสมัครนักเรียนของสำนักศึกษาหมอกดาราจัดสามปีครั้ง ลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์จากแต่ละแคว้นและผู้ลากมากดีจากแต่ละถิ่นต่างมารวมตัวกันหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาหมอกดารา รถลากสัตว์วิญญาณแต่ละคันเรียงรายเต็มสองฝั่ง เหล่าคนหนุ่มสาวที่รวมกลุ่มกันสามถึงห้าคนรวมตัวกันพูดคุยพลางรอประตูสำนักศึกษาเปิด สายตามองไปล้วนแน่นขนัดไปด้วยเหล่าคนหนุ่มสาวที่สวมชุดผ้าแพรหรูหรา

เมื่อเฟิ่งจิ่วกับเซียวอี้หานมาถึง ด้านหน้ามีรถลากสัตว์วิญญาณมากเกินไป แทรกเข้าไปไม่ได้ พวกเขาจึงจำใจต้องลงรถเดินไป แล้วส่งเหล่าไป๋ให้คนที่คุมรถลากสัตว์วิญญาณเฝ้าไว้

ยามมาถึงด้านหน้า เห็นว่าทั้งหน้าประตูใหญ่สำนักศึกษาหมอกดาราหนาแน่นไปด้วยคน ความคึกคักและฝูงชนที่คับคั่งทำให้เฟิ่งจิ่วพูดไม่ออกทันที

“ไม่นึกเลยว่าคนจะมากมายเพียงนี้”

“ที่นี่มีอย่างน้อยหลายพันคน แต่ตามสถิติ ผู้ผ่านการประเมินในอดีตที่ผ่านมาจะมีแค่หนึ่งในร้อยคน ด้วยเหตุนี้สุดท้ายอย่างมากหลายร้อยคนถึงจะมีโอกาสเข้าเรียนในสำนักศึกษา และกลายเป็นนักเรียนสำนักศึกษาหมอกดารา” เขาคลายความสงสัย สายตาหยุดลงบนประตูใหญ่สำนักศึกษาที่ยังไม่เปิดออก

“ภายในชั่วยามประตูสำนักศึกษาถึงจะเปิด ถึงเวลานั้นจะมีผู้เล่าเรียนด้านในคอยจัดการต้อนรับ แต่ละจุดลงชื่อกับสถานที่ประเมินล้วนแตกต่างกัน รอเดี๋ยวพวกเราคงไม่ได้เจอกัน เจ้าต้องตั้งใจให้มากหน่อย ตอนที่ประเมินก็อย่าเครียด พยายามให้ถึงที่สุดพอ” เขากำชับ อันที่จริงในใจคิดว่าเฟิ่งจิ่วคงไม่ได้เข้าเรียน ถึงอย่างไรสำนักกลั่นยาเซียนเทียบกับสำนักอื่นๆ แล้ว ความยากก็ยิ่งสูงกว่า มิเช่นนั้นคงไม่ไม่เป็นที่นิยมเช่นนั้น

“อืม ข้ารู้แล้ว” เธอยิ้มน้อยๆ สายตามองไปรอบๆ อยากดูเสียหน่อยว่าพี่ชายเธอหรือไม่

เสียงพูดคุยของผู้คนรอบๆ ปะปนเข้าด้วยกัน วุ่นวายอยู่บ้างอย่างชัดเจน ขณะที่เดินไปยังประตูเบื้องหน้าสองคนก็ถูกคนพวกนั้นที่พุ่งไปข้างหน้าเบียดเสียกจนแยกจากกัน เซียวอี้หานมองร่างสีแดงนั้นที่โดนฝูงชนผลักออกไปไกลเรื่อยๆ คิดจะดึงเขาไว้ กลับเห็นว่าแค่ชั่วพริบตาก็ไม่รู้ว่าถูกผลักไปถึงไหนแล้ว

“ช่างเถอะ หากเขาเข้าสำนักศึกษาได้ อยู่ด้านในสุดท้ายเดี๋ยวก็เจอกัน” เขาพึมพำเสียงเบา ไม่ตามหาเฟิ่งจิ่วอีก ก่อนจะถูกผู้คนด้านหลังผลักดันไปยังประตูใหญ่เบื้องหน้า

ขอแค่ยิ่งเข้าใกล้จะยิ่งได้อยู่แถวด้านหน้าและเข้าประเมินก่อน ไม่ต้องแออัดอยู่ท่ามกลางผู้คน ด้วยเหตุนี้ทุกคนที่เข้ามาประเมินจึงต่างพุ่งไปข้างหน้า โดยเฉพาะตอนที่ประตูยังไม่เปิด หากปรี่ไปข้างหน้าก่อน รอแค่ประตูเปิดออก แต่ละคนก็จะวิ่งไปยังสำนักที่เลือกสมัคร

ทว่าแตกต่างกับคนพวกนั้นที่พุ่งไปข้างหน้า ขณะที่โดนผลักเบียดเสียด ในที่สุดเฟิ่งจิ่วก็วิ่งถอยออกไปด้วยทนไม่ไหว เดินมาถอนหายใจเบาๆ ใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างๆ

“ฮู่! คนเบียดเสียดกันเสียจนบีบคนตายได้จริงๆ ประตูสำนักศึกษายังไม่เปิด รีบไปเกิดใหม่ยังไม่ต้องรีบร้อนถึงเพียงนี้เลย!”

สิ้นเสียงก็เงยหน้ามองไปโดยไม่ตั้งใจ ทว่ากลับทำให้เธอสะดุ้งตกใจเสียดื้อๆ ร่างกายถอยไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณพลางจ้องมองร่างสีขาวที่นั่งพิงอยู่เหนือต้นไม้ เมื่อเห็นหน้าตาคนคนนั้น เธอก็อึ้งไปทันที

ชายรูปงาม…

เดิมทีไม่ควรใช้คำว่างามมาพรรณนาบุรุษ แต่ตอนนี้นอกจากคำว่างาม เธอก็หาคำอื่นมาบรรยายชายชุดขาวที่นั่งพิงบนต้นไม้คนนั้นไม่ได้

ขณะที่เขานั่งพิงบนกิ่งไม้เงียบๆ ใบไม้เขียวเป็นเช่นพื้นหลัง ดวงตาคู่นั้นทั้งสงบนิ่งและอ่อนโยน ทว่าในความอ่อนโยนนั้นยังมีความเฉยชาและห่างเหินที่ผลักไสผู้คนออกไปไกลพันลี้ เขานั่งมองเธออยู่บนต้นไม้เงียบๆ เช่นนั้น เสื้อคลุมสีขาวลู่ลงกลางอากาศสะบัดไหวเบาๆ อย่างเป็นธรรมชาติ แถบผ้าสีขาวที่ผูกเส้นผมสีหมึกไว้ด้านหลังยังพลิ้วไปตามสายลม ราวกับเทพจุติที่หลุดมายังโลกมนุษย์ ไม่แปดเปื้อนด้วยเรื่องทางโลกแม้แต่น้อย งามเสียจนทำให้คนแทบลืมหายใจ…

……………………………………………

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!