№ 636 ยกเว้นค่าเล่าเรียนทั้งหมด
“ท่านอาจารย์ ยังต้องสอบหรือไม่ขอรับ?” เฟิ่งจิ่วถามอย่างสงสัย ทำไมสอบได้ครึ่งทางก็ให้เธอมาคุยเล่นเสียแล้ว?
“ไม่รีบๆ ที่นี่คนลงชื่อประเมินน้อยมาแต่ไหนแต่ไร พวกเราคุยกันก่อนเถอะ” สองคนเผยรอยยิ้มสนิทสนมอ่อนโยนพลางมองเฟิ่งจิ่ว หนึ่งคนในนั้นยิ้มถามว่า “เจ้าจำสารานุกรมยาทิพย์ได้ขึ้นใจ และแยกแยะพวกยาทิพย์ที่คล้ายคลึงกันได้หรือ?”
“ขอรับ ข้าแยกได้อย่างชัดเจน” เธอขานรับ เห็นอีกคนหนึ่งล้วงหยิบยาทิพย์สองอย่างออกจากในแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะ
“เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาซิ ยาทิพย์สองอย่างนี้เรียกว่าอะไรและต่างกันอย่างไร”
เฟิ่งจิ่วมองยาทิพย์ระดับหนึ่งสองอย่างบนโต๊ะ บอกว่า “ทางซ้ายนี้คือเก้าพลิกชีวิต ยาทิพย์ระดับหนึ่ง หรืออีกชื่อว่าไก่อ่อนเหล็กกล้า รากแข็งแรงก้านสั้นตั้งตรง ส่วนยอดมีเกล็ดทรงใบหอกสีแดงสดงอกชิดติดกัน สรรพคุณยามีความเย็น รักษาบาดแผลและกระดูกหักได้”
นักเล่นแร่แปรธาตุทั้งสองมองหน้ากันและพยักหน้า
“ทางขวานี้คือหญ้าบึงแดง ยาทิพย์ระดับสอง รูปร่างคล้ายคลึงกับเก้าพลิกชีวิตมาก แต่ความแตกต่างอยู่ที่รากหญ้าบึงแดงจะมีขนเล็กๆ ยาจะมีพิษเล็กน้อย หากจะใช้ต้องผ่านการจัดการ เป็นยาบรรเทาอาการปวดได้”
ได้ยินเช่นนี้ ทั้งสองคนต่างยินดียิ่ง กล่าวชมไม่ขาดปาก “ดีๆๆ! ไม่เลวจริงๆ ไม่เลวเลย ฮ่าๆๆๆ…”
เห็นทั้งสองมีความสุขเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วยังเขินๆ นิดหน่อย แกล้งซื่อแสร้งโง่หลอกคนแก่ จึงอายที่จะสู้สายตาที่เต็มไปด้วยความยินดีของทั้งสอง
ทว่าท่าทางเขินอายกลับมีความหมายไม่เหมือนกันในสายตาอาจารย์ทั้งสอง คิดว่าเด็กคนนี้แค่ซื่อตรง หากเปลี่ยนเป็นคนอื่นโดนเขาชมเช่นนี้ คงยกหางทั้งสีหน้าภาคภูมิใจเป็นแน่ เด็กคนนี้กลับมีสีหน้าเขินอาย ช่างน่ารักสงบเสงี่ยมเสียจริง
“เอาละๆ ไม่ต้องสอบประเมินแล้ว พวกเราให้เจ้าเป็นผู้เล่าเรียนอันดับหนึ่งทันที ผู้เล่าเรียนอันดับหนึ่งไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียน เจ้าจะประหยัดเงินไปได้ก้อนใหญ่” อาจารย์ทั้งสองต่างยิ้ม สะบัดพู่กันลงชื่อกรอกลงบนใบข้อมูลเฟิ่งจิ่วว่าผ่านเกณฑ์ และระบุว่าเป็นผู้เล่าเรียนอันดับหนึ่งไว้โดยเฉพาะ
เฟิ่งจิ่วฟังแล้วกะพริบตา สีหน้านิ่งอึ้ง “แค่นี้ก็เสร็จแล้ว? ค่าเล่าเรียนยังยกเว้นด้วย?”
“อืม เสร็จแล้ว เริ่มจากวันนี้ไป เจ้าคือผู้เล่าเรียนของสำนักยาเซียนแห่งสำนักศึกษาหมอกดาราเรา ค่าเล่าเรียนเราจะยกเว้นให้เจ้า เฟิ่งจิ่ว! เจ้าอย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ! จงทำให้สำนักยาเซียนเรายิ่งเจริญรุ่งเรือง และทำให้สำนักอื่นรู้ว่าสำนักยาเซียนเราจะไม่เงียบเชียบไร้ชื่อไปตลอดด้วย” สองคนตบๆ ไหล่เขา มองด้วยสีหน้าเฝ้ารอ
“เอ่อ… ขอรับ”
ได้ยินคำพูดทั้งสองและเห็นสีหน้าวาดหวังเช่นนั้น ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ถึงมีลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีเท่าไร สำนักยาเซียนนี้… เป็นสถานที่เช่นไรกันแน่? ทำไมพวกเขาถึงมีท่าทางเช่นนี้?
“มาๆ นี่คือป้ายหยกแสดงตัวตนเจ้า หลังจากหยดเลือดลงไปก็ใช้ป้ายหยกแทนตัวเดินเข้าออกภายในสำนักศึกษาได้” อาจารย์คนหนึ่งในนั้นหยิบป้ายหยกแทนตัวยื่นให้
เฟิ่งจิ่วรับมาอย่างแปลกใจ รับรองตัวตนท่ามกลางสายตารอคอยของทั้งสอง สุดท้ายยังเดินออกไปอย่างสับสนงุนงงท่ามกลางสายตาส่งศิษย์จากสองอาจารย์
เมื่อมาถึงด้านนอก เธอกะพริบตา ตกใจเล็กน้อย ใบหน้ามีอาการแปลกๆ แค่นี้ก็เสร็จแล้ว? ไหนว่าการประเมินสำนักยาเซียนเข้มงวดมากไม่ใช่หรือ?
“เหอะๆ เป็นอย่างไร? ล้มเหลวล่ะสิ? ข้าก็บอกว่าเจ้าไม่ผ่านยังไม่เชื่อ คนจากแคว้นระดับหกจะสอบเข้าสำนักยาเซียนยังยาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเก้า…”
คำพูดชายชราชะงักลงทันที ตาค้างจ้องมองหนุ่มน้อยคนนั้นที่ถือป้ายหยกส่องสะท้อนภายใต้แสงแดด…
……………………………….



