№ 661 ทำไมเป็นเจ้า!
“เจ้าเป็นอะไรไป?” ด้วยความตกใจและความสงสัยในใจ โม่เฉินจึงเอ่ยถามไป
เฟิ่งจิ่วสงบสติอารมณ์ มองไปยังคนตรงหน้าพร้อมถอนหายใจ แล้วโบกๆ มือ “ไม่มีอะไรๆ” เรื่องนี้ใครก็ช่วยเธอไม่ได้ ลองคิดหาวิธีด้วยตนเองดีกว่า!
เธอเดินไปข้างๆ แล้วโยนอสรพิษวิญญาณสีน้ำเงินออกไปนอกเขตอาคม ส่วนกวางคู่ทรัพย์หลังจากพันแผลให้แล้วก็ปล่อยไป พวกนี้ล้วนเป็นสัตว์วิญญาณสำหรับปรุงยาจะฆ่าไม่ได้ ภายหลังถึงเวลาต้องใช้จะได้ไม่หาไม่เจอ
โม่เฉินไม่ได้พูดอะไร แค่มองหนุ่มน้อยคนนั้นไปเงียบๆ เห็นเขาปล่อยสัตว์พวกนั้นไป แล้วจ้องมองเหล่าสัตว์ด้านนอกเขตอาคม ทันใดนั้นก็หันกลับมามองเขา
“พวกเราแยกกันตรงนี้! ยาเซียนเจ้ากลั่นสำเร็จแล้ว ข้ายังไม่คิดจะกลับไป เป็นเช่นนี้ก็แล้วกัน!” เฟิ่งจิ่วพูดจบ หลังจากเขย่งปลายเท้ากระโดดขึ้นกิ่งไม้ก็มุ่งหน้าไปยังป่าลึก
เห็นหนุ่มน้อยคนนั้นจากไปทันทีอย่างโดดเดี่ยว เขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตามไป ด้วยพละกำลังที่สังหารราชาอสูรพิภพระดับเจ็ดได้ อยู่ในนี้ขอแค่ระวังเสียหน่อยคงไม่มีปัญหาอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นคือกลั่นยาเซียนสำเร็จแล้ว เขายังต้องกลับไปสั่งคนส่งยานี้กลับ
ดังนั้นขณะสะบัดแขนเสื้อถอนเขตอาคมออก เขาก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ และเหยียบขลุ่ยบินโผกลับไป…
เฟิ่งจิ่วพุ่งไปท่ามกลางป่าไม้ ตามร่องรอยอสูรเพลิงสองตนก่อนหน้านี้ไป จนหาที่ปักหลักของอสูรเพลิงพบ จากนั้นวางค่ายกลไว้รอบๆ ทำให้อสูรเพลิงพวกนั้นเดินออกไปไม่ได้ ถึงค่อยโยนเม็ดยาออกไปและเริ่มเก็บสะสมมณีเพลิง
ผ่านไปครึ่งเดือน นอกจากอสูรเพลิงเขาเดียว มณีเพลิงของพวกสัตว์วิญญาณธาตุไฟโดยรอบยังถูกเธอเก็บไปไม่น้อย สัตว์วิญญาณพวกนั้นที่เดิมทีสง่างามสูงส่งและน่าเกรงขามในทุกด้าน หลังจากกลั่นมณีเพลิงไปหลายสิบเม็ดต่างก็ซูบผอมลงไปรอบใหญ่ แต่ละตนแค่เห็นเฟิ่งจิ่วก็วิ่งเลี้ยวหนีแล้ว
ช่วงเย็นวันนี้ พลังงานธาตุไฟบนร่างสัตว์วิญญาณระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งถูกเค้นจนแทบแห้ง จึงนอนหายใจรวยรินอยู่บนพื้น
“เอาละ ข้าจะเมตตาเจ้าเสียหน่อย พักผ่อนดีๆ กินให้อ้วนๆ ประเดี๋ยวข้าจะกลับมาอีก” เฟิ่งจิ่วตบๆ หัวอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนนั้นด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยัดยารวมพลังให้มันไปเม็ดหนึ่ง ยามจะเตรียมตัวจากไปอย่างพอใจยิ่ง ก็ได้ยินเสียงคำรามสะเทือนหูลอยมาพร้อมกับเสียงตะโกนแจ่มชัดของหญิงสาว
เธอผงะไปเล็กน้อยและไล่ตามเสียงไป เมื่อเห็นเยี่ยจิงที่เคยมีวาสนาได้พบหน้ากันกำลังถูกหมีดำระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ตนหนึ่งไล่ต้อนอย่างน่าอับอาย ก็อดไม่ได้แปลกใจเล็กน้อย นางหายใจผิดจังหวะเล็กน้อย พลังวิญญาณถูกใช้ไปเสียจนเหลือไม่มาก ซ้ำยังได้รับผลจากกระแสลมที่กรงเล็บหมีดำตัวนั้นตวัดออกมาโดยไม่ทันหลบหลีก จนโซซัดโซเซล้มลงพื้นในสถานการณ์วิกฤต เฟิ่งจิ่วตะโกนเสียงดังพลางพุ่งออกไปทันที
“หยุดนะเสี่ยวเฮย!”
เสียงตะโกนรุนแรงดังขึ้น เมื่อหมีดำตัวนั้นได้ยินก็หดตัวลง อุ้งมือที่กำลังเตรียมจะตบลงไปค้างอยู่กลางอากาศเสียดื้อๆ มันหันกลับไปมองตามเสียง เห็นว่าเป็นมนุษย์คนนั้นดังคาดจึงห่อเหี่ยวลงทันใด จากนั้นเปล่งเสียงคำรามและนั่งหมอบลงบนพื้น
เยี่ยจิงตกใจ นึกว่าตัวเองจะโดนตบจนแบนแล้ว กลับนึกไม่ถึงว่าหลังจากได้ยินเสียงตะโกนลั่น หมีดำตัวนั้นจะไม่ตบอุ้งมือลงมา ในวินาทีเป็นตายนางตกใจเสียจนเหงื่อออกทั่วร่าง รีบร้อนลุกยืนขึ้นจากพื้น ขณะที่กำลังจะบอกขอบคุณคนคนนั้นที่ช่วยชีวิตนาง…
“ทำไมเป็นเจ้า!”
นางอุทานเสียงหลงอย่างตกตะลึง มองหนุ่มน้อยที่หยีตายิ้มเดินมาทางนาง ครั้นนึกถึงการกระทำหื่นกามของคนคนนี้สีหน้าก็ขาวซีดโดยฉับพลัน ก่อนจะก้าวถอยหลังไปตามสัญชาตญาณพลางจ้องมองเขาอย่างเตรียมรับมือ
………………