№ 688 ข้าอายเกินไปที่จะบอก
“เจ้าคือเฟิ่งจิ่วสินะ?”
เขาถามพลางมองหนุ่มน้อย หลังจากจำได้ว่าเขาคือหนุ่มน้อยคนนั้นที่รองเจ้าสำนักพูดถึง สายตาก็กวาดมองบนร่างเขากลับแปลกใจนิดหน่อย บนร่างเด็กหนุ่มไม่เห็นกลิ่นอายพลังวิญญาณแม้แต่น้อย
เก็บซ่อนไว้หรือ? ในใจนึกสงสัยจึงใช้ดวงจิตไปสำรวจกำลังของเด็กหนุ่ม แต่สิ่งที่ทำให้เขานึกไม่ถึงคือใช้ดวงจิตสำรวจแล้วก็ยังไม่เห็นวรยุทธ์พลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม ทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะสนใจ
“คารวะท่านอาจารย์ ข้าคือเฟิ่งจิ่วขอรับ” เฟิ่งจิ่วก้าวเข้าไปคารวะด้วยความเคารพ
อาจารย์หลี่ว์เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้า ถามว่า “พลังวิญญาณเจ้าธาตุอะไร?” กล่าวจบยังบอกอีกว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นนักเรียนสำนักยาเซียนด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ต้องมีธาตุไฟแน่ แค่รากฐานวิญญาณธาตุไฟ? หรือว่ามีอย่างอื่นอีก?”
“เรื่องนี้…” เธอคิดๆ แล้วบอกว่า “คล้ายว่าข้าจะยังไม่เคยวัด ลืมไปแล้วขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้อาจารย์หลี่ว์ตกใจ “ตอนที่เจ้าฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณก่อนหน้านี้ไม่ได้ลองวัดหรือ? แม้เป็นตระกูลทั่วไปก็ควรมีกระมัง? หรือว่าอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าไม่ได้บอก?”
เฟิ่งจิ่วยิ้มเจื่อนๆ “ข้าฝึกบำเพ็ญแค่พลังวิญญาณมาตลอด ก่อนหน้านี้ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ข้าแค่… ฝึกบำเพ็ญด้วยตนเองขอรับ”
ได้ยินคำพูดเฟิ่งจิ่วเหล่านักเรียนด้านหลังแต่ละคนต่างตะลึง แม้แต่อาจารย์หลี่ว์ยังเบิกตาโตด้วยความตกใจ
“มะ ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ? แล้วระดับของเจ้า…”
ไม่มีอาจารย์ชี้แนะ ทำไมเขาถึงไม่มีอาการธาตุไฟเข้าแทรก? หรือเด็กหนุ่มคนนี้มีโชคอะไรน่าเหลือเชื่อ?
เฟิ่งจิ่วเห็นอาจารย์เบิกตาจ้องมองเธอก็เกาๆ หัว “ใช่ขอรับ! ข้าฝึกบำเพ็ญด้วยตนเองตามตำราดูดซับพลัง ฝึกไปฝึกไปก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณแล้ว”
เธอไม่รู้จริงๆ ธาตุพลังวิญญาณควบคุมอย่างไร ปกติสู้กับคนอื่นส่วนมากจะใช้พลังเร้นลับ พลังวิญญาณใช้มากสุดแค่ย้ายกลิ่นอายพลังวิญญาณธาตุไฟในร่างมาใช้กลั่นยาเซียน
แต่ร่างแท้จริงของหงส์ไฟน้อยที่ทำสัญญากับเธอก็มีไฟเทวะโบราณ เธอไม่เข้าใจ อย่างไรเสียการไหลเวียนพลังวิญญาณเธอก็ทำตามหัวใจมาตลอด และไม่เห็นว่าจะเกิดปัญหาอะไร
ยิ่งไปกว่านั้นเธอฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณมาไม่นานเท่าไร เพียงแต่เพราะเดิมเป็นร่างเทพประทับ ระดับพลังวิญญาณจึงพุ่งขึ้นค่อนข้างเร็วเท่านั้นเอง
เหล่านักเรียนด้านหลังได้ยินคำพูดเขาแต่ละคนต่างหน้าแดงก่ำ เบิกตาแดงฉาน ผ่านไปสักพักถึงจะสบถออกมา “บ้าไปแล้ว!”
อะไรคือฝึกไปฝึกไปก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ?
พวกเขานักเรียนระดับสวรรค์คนไหนบ้างในตระกูลไม่มีอาจารย์ชี้แนะและต้องฝึกอบรบอย่างพิถีพิถัน? เจ้าหนูนี่… นึกไม่ถึงว่าเจ้าหนูนี่จะบอกว่าเขาแค่ฝึกไปฝึกไปด้วยตนเองก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณแล้ว นี่มาชกหน้าพวกเขาหรือไร?
ยามนี้อาจารย์หลี่ว์ยังมีสีหน้าตะลึงและพูดอะไรไม่ออก สอนนักเรียนผู้มีพรสวรรค์โดดเด่นมามากมายเพียงนั้น ยังไม่เคยเจอใครเหมือนหนุ่มน้อยคนนี้เลย ไม่มีใครชี้แนะก็กลายเป็นยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณได้
ขณะบรรลุขั้นเขายังไม่ธาตุไฟแตก ไม่นอกลู่นอกทาง ทำให้คนเหงื่อเย็นไปทั้งฝ่ามือจริงๆ!
เยี่ยจิงแปลกใจเล็กน้อย นึกว่าเฟิ่งจิ่วอย่างมากก็เป็นแค่ปรมาจารย์พลังวิญญาณ ถึงอย่างไรครั้งนั้นบนถนนใหญ่นางยังถูกตนเองไล่ตีเสียจนไม่มีโอกาสโต้กลับ ทว่าหลังจากได้ยินคำพูดต่อมา แม้แต่สีหน้านางยังเปลี่ยนไปเป็นแปลกประหลาด
“เช่นนั้นเฟิ่งจิ่ว เจ้าเพิ่งบรรลุระดับยอดปรมาจารย์ได้ไม่นานใช่หรือไม่? แล้วขั้นของระดับปรมาจารย์เล่า?” อาจารย์หลี่ว์เอ่ยถามอีกครั้งพลางจ้องมองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาฉายประกายเฝ้ารอ หนุ่มน้อยคนนี้เขามองไม่ออกเลยจริงๆ
“เรื่องนี้…”
เธอมองอาจารย์ แล้วหันไปเล็กน้อยเหลือบมองนักเรียนระดับสวรรค์แต่ละคนที่กลั้นหายใจจนหน้าแดงและถลึงตาจ้องมองมา บอกว่า “ข้าอายเกินกว่าจะบอกขอรับ” เธอกลัวจะตอกหน้าพวกเขาเกินไป
……………………