№ 719 ได้ประมาณหนึ่ง
เจ้าสำนักได้ยินคำพูดรองเจ้าสำนักก็ถอนหายใจช้าๆ แววตาเฉียบแหลมหยุดลงบนอาศรมนั้น เอ่ยเสียงเนิบว่า “ข้าจะรอตรงนี้”
“รอ?”
รองเจ้าสำนักตกใจ บอกว่า “พวกเรารอได้ แต่อาจารย์หลูรอไม่ได้นะขอรับ! เช่นนี้แล้วกัน! ข้าจะไปเรียกเขาเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตคน หากเป็นเมื่อก่อนก็ไม่เป็นไร แต่ยามนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตอาจารย์คนหนึ่ง รอไม่ได้จริงๆ”
เขากล่าวจบก็ทำท่าจะเดินไป ขณะที่ย่างฝีเท้ากลับถูกเจ้าสำนักตะโกนปรามไว้ “ข้าบอกว่ารอ เช่นนั้นก็รอ! จะมีชีวิตรอดหรือไม่ ต้องดูที่วาสนาอาจารย์หลูแล้ว”
“แต่…”
รองเจ้าสำนักหันกลับมามองเจ้าสำนักที่มีสีหน้าจริงจัง รวมถึงกวนสีหลิ่นที่หลุบตาลงด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ไม่รู้จริงๆ ว่าทำไมต้องรอ?
เจ้าสำนักเห็นเช่นนี้จึงถอนหายใจ “เหล่ากวน! เจ้าเพิ่งบอกว่าเขาเป็นใคร?”
“ภูตหมอขอรับ! เฟิ่งจิ่วคือภูตหมอ!”
เอ่ยถึงตรงนี้ ดวงตาเขาเป็นประกายขึ้นมา ทว่าสิ้นเสียงถึงเหมือนนึกอะไรได้ ท่าทางค่อยๆ เปลี่ยนไปทันใด จากตื่นเต้นเป็นสงบเงียบ ยามนี้เขารู้ความหมายของเจ้าสำนักแล้ว
ใช่ เฟิ่งจิ่วคือภูตหมอ ภูตหมอไม่ใช่คนที่พวกเขาอยากให้ทำอะไรเขาก็ทำ ต่อให้อยู่สำนักศึกษาของพวกเขาแล้วอย่างไร? ตามที่เขารู้มา ภูตหมอมีนิสัยแปลกๆ ทำอะไรตามแต่ใจทุกอย่าง หากเขาไม่ตอบรับและไม่ยอมช่วย เช่นนั้นพวกเขาร้อนใจอยู่ที่นี่ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร
อยากขอให้เขาช่วยคน เช่นนั้นจะมองเขาเป็นนักเรียนของสำนักศึกษาไม่ได้ ต้องมองเป็นภูตหมอ และให้ความเคารพตามที่ภูตหมอสมควรมี มิเช่นนั้นเกรงว่าเรื่องนี้คงได้ผลตรงกันข้าม
ยังมีอีกอย่าง ในเมื่อฝ่ายนั้นเข้าสำนักศึกษาของพวกเขา เช่นนั้นก็ย่อมไม่อยากให้ตัวตนภูตหมอถูกเปิดเผย หากพวกเขาเปิดโปงตัวตนนี้ไป น่ากลัวว่า…
คิดถึงตรงนี้ และนึกถึงเสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นตลอดทางเมื่อครู่ ยามนี้เขาเลยอดปาดเหงื่อไม่ได้
เขาเคยเจอนิสัยแปลกๆ ของเฟิ่งจิ่วมาแล้ว เสี่ยงจริงๆ เสี่ยงมาก…
ยามนี้ หลังจากสงบความคิดที่ว้าวุ่นลง เขามองเจ้าสำนักแล้วหยุดสายตาลงบนร่างกวนสีหลิ่นข้างๆ ที่ไม่พูดไม่จา จากนั้นถามด้วยใบหน้าเผยรอยยิ้ม “สีหลิ่นเอ๋ย! เฟิ่งจิ่วนอนอยู่ข้างในหรือ?”
กวนสีหลิ่นได้ยินก็มองเขา พยักหน้ารับ “ขอรับ”
“โอ้ เป็นเช่นนี้เอง! ปกติเขาหลับนานแค่ไหนถึงจะตื่น?” อาจารย์หลูมีเวลาแค่ไม่กี่ชั่วยาม หากปล่อยเฟิ่งจิ่วนอนไปเช่นนี้คง…
“พูดยากขอรับ” เขาส่ายหน้าและไม่เอ่ยปากอีก
“เช่นนั้นก็รอเถอะ!” รองเจ้าสำนักถอนหายใจเบาๆ ยืนอยู่ข้างกายเจ้าสำนัก สายตามองที่อาศรมนั้น
ทุกคนรอบๆ เห็นรองเจ้าสำนักยืนรอตรงนั้นเช่นกัน แต่ละคนก็ตะลึงไปบ้าง มาตามเฟิ่งจิ่วไม่ใช่หรือ? ทำไมเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักถึงไม่ทำลายเขตอาคมเข้าไปเรียกออกมา?
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?
เยี่ยจิงมาถึงที่นี่แล้วเช่นกัน แต่เมื่อเห็นภาพแปลกๆ นั้น ใจก็สั่นไหวเล็กน้อย สายตาหยุดลงบนอาศรม
ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักทางนั้นยังคงไม่มีความเคลื่อนไหว ผ่านไปสองชั่วยามก็ยังคงไม่ไหวติง ทุกคนเริ่มสับสนวุ่นวาย ต่างพากันพูดคุยเสียงเบา
หักลบเวลาก่อนหน้านี้ไป ตอนนี้เหลือไม่ถึงสองชั่วยามแล้ว แม้แต่รองเจ้าสำนักเอง ยามนี้ในใจยังกังวลอย่างอดไม่ได้ แต่กลับทำอะไรไม่ได้เลย ได้แต่หวังว่าเฟิ่งจิ่วจะตื่นมาและออกจากอาศรมโดยเร็ว
กวนสีหลิ่นที่ไม่พูดอะไรมาตลอดเห็นว่าได้ประมาณหนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ถึงมองไปยังรองเจ้าสำนัก กล่าวเสียงเนิบว่า “ท่านรองเจ้าสำนัก ข้ามีเรื่องต้องการให้ท่านช่วย”
……………………