Skip to content

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า 80

№ 80 ดอกท้อบานเดือนสาม!

เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ บอกว่า “ทำไมล่ะ? ฝีมือเหลิ่งซวง ท่านก็ไม่ใช่ว่าไม่รู้ นอกจากนี้ อย่าลืมสิ ว่าอีกหนึ่งเดือนให้หลังท่านต้องโค่นกวนสีหร่วนต่อหน้าฝูงชนตระกูลกวน หากไม่ฝึกให้มากๆ จะทำได้เช่นไรเล่า?”

น้ำเสียงเธอชะงักน้อยๆ กล่าวอีกว่า “ยิ่งไปกว่านั้น ได้ยินมาว่าทิวทัศน์ของอารามสวนท้อนั้นไม่เลวเลย ข้ากะจะพักอยู่ที่นั่นสักสองสามวันแล้วค่อยกลับมานะ!”

“พักอยู่สองสามวัน?”

เขานิ่งงันไป เอ่ยว่า “ทว่าที่อารามสวนท้อไม่ให้คนพักค้างแรมมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่!”

เฟิ่งจิ่วยิ้มเจ้าเล่ห์ “ไม่ให้คนพักค้างแรม แต่ว่า… ท่านดูสิว่านี่คืออะไร?” เธอหยิบของจากในห้วงมิติมาชูอยู่เบื้องหน้าเขา

พอกวนสีหลิ่นรับมาดู ก็อุทานพลางเบิกตากว้างอย่างอดไม่ได้ “โฉนดที่ดิน? โฉนดที่ดินของอารามสวนท้อรึ? เจ้า เจ้าได้มาได้ยังไงกัน?”

“เมื่อเดือนก่อนมีคนมาขอพบข้าที่ตลาดมืด เดิมทีข้าไม่อยากสนใจ แต่พอเห็นว่าค่าตอบแทนคืออารามสวนท้อจึงรับมา ดังนั้น จากนี้ไปที่แห่งนี้ล้วนเป็นของพวกเราแล้ว”

เธอยิ้ม ก่อนจะเก็บโฉนดที่ดินไป กล่าวอีกว่า “อาศัยที่ช่วงนี้มีเวลาว่างพอดี ข้าเลยจะไปดูเสียหน่อย หนึ่งเพื่อชมดอกท้อ สองเพื่อลองดูสถานที่ หากรู้สึกว่ามันใช้ได้จริงๆ อีกหน่อยก็ค่อยใช้เป็นที่ปักหลักของภูตหมอ”

กวนสีหลิ่นดวงตาเป็นประกาย เอ่ยว่า “ดอกท้อของอารามสวนท้อเป็นผืนกว้างใหญ่ รอบนอกล้วนปลูกล้อมด้วยดอกท้อหลากสี แต่ชื่อของมัน ถึงจะเรียกว่าอารามสวนท้อ ทว่าที่จริงกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับวัดวาอารามเลย ก่อนหน้านี้ข้าเคยมองจากที่ไกลๆ อยู่ครั้งหนึ่ง เห็นศาลาด้านในงดงามยิ่งนัก หนำซ้ำได้ยินมาว่า ส่วนด้านในที่ไม่ให้คนเข้าไปนั้นเป็นเหล่าดอกท้อที่ย้ายมาปลูกจากต่างถิ่น เบ่งบานตลอดทั้งปี สวยงามเกินบรรยาย”

ได้ฟังเช่นนี้ เฟิ่งจิ่งจึงชำเลืองมองเขาแวบหนึ่ง พูดอย่างหยอกล้อว่า “ท่านพี่ ท่านช่างรู้ดีเสียจริง!”

กวนสีหลิ่นเกาศีรษะ ยิ้มอย่างเขินอาย “เมื่อก่อนข้าเคยไปกับพวกเพื่อนฝูงมาครั้งหนึ่ง ดังนั้นจึงรู้เรื่องอยู่บ้าง”

ขณะที่พูด ก็เห็นว่านางยังยิ้มจ้องเขาอยู่ จึงโบกมือรัวอย่างอดไม่ได้ “พวกเจ้าไปเถอะ! ข้าไม่ตามไปแล้ว รอคราหน้าข้าค่อยไปด้วย”

“อืม รอจัดการด้านนั้นเรียบร้อย ท่านกับเหลิ่งหวาค่อยไปก็ยังไม่สาย” เธอพยักหน้า แล้วมองไปยังเหลิ่งหวาที่ฝึกรำไทเก๊กอยู่ด้านหลัง บอกว่า “เจ้ามานี่สิ”

หลังจากเหลิ่งหวาเก็บมือกลับ ก็ถอนหายใจออกเบาๆ ถึงจะเร่งฝีเท้าก้าวมาข้างกายนาง

“ขอรับ นายท่าน”

ตั้งแต่ฟื้นมา ร่างกายก็ดีขึ้นทุกวันๆ เขาที่เมื่อก่อนแค่เดินไม่กี่ก้าวยังรู้สึกลำบาก ตอนนี้ยังมาฝึกรำไทเก๊กกับนายท่านได้

ถึงแม้จะคิดว่าการรำไทเก๊กที่อ่อนพลิ้วนี้หาได้มีประโยชน์อะไร แต่ในเมื่อนายท่านบอกว่ามันเป็นผลดีต่อร่างกาย ดังนั้น จึงยอมฝึกฝนตาม

พอเห็นหนุ่มน้อยที่ชุบเลี้ยงมาสองเดือนอ้วนขึ้นบ้าง เฟิ่งจิ่วก็ยิ้มๆ สั่งว่า “ข้าจะไปอารามสวนท้อกับพี่สาวเจ้า เจ้าอยู่ดูแลรักษาตัวให้ดีต่อไป ยังมีอีก จับตาดูพี่ชายข้าด้วย ดูว่าเขาจะเกียจคร้านหรือไม่”

เหลิ่งหวามองไปทางกวนสีหลิ่นที่ข้างกาย ก่อนจะพยักหน้ากล่าวอย่างจริงจัง “ขอรับ ข้าจะจับตาดูคุณชายไว้”

“ไหนเลยต้องให้เขามาจับตาดูข้า? เจ้าเด็กคนนี้แค่ดูแลตัวเองได้ก็ไม่เลวแล้ว” กวนสีหลิ่นกระซิบเสียงเบา

เฟิ่งจิ่วไม่สนใจ เอ่ยต่อไปอีกว่า “อีกอย่างนะ รำไทเก๊กต้องฝึกทั้งเช้าเย็น”

“ได้ขอรับ” เขาขานรับอีกครั้ง

เวลานี้ เหลิ่งซวงในชุดแนบเนื้อสีดำเดินเข้ามา เห็นพวกเขาต่างอยู่ในลานบ้าน ก็มาที่ข้างกายเฟิ่งจิ่ว บอกว่า “นายท่าน เตรียมรถม้าไว้เรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม ข้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยไป” เธอพูดพลางเดินไปที่ห้อง

เหลิ่งซวงถึงจะมองน้องชายด้วยแววตาอ่อนโยนอยู่บ้าง กำชับด้วยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าจะตามนายท่านออกไปข้างนอก เจ้าอยู่บ้านดูแลตัวเองดีๆ ล่ะ”

เหลิ่งหวาพยักหน้า กล่าวอย่างไม่วางใจนัก “ท่านพี่ ท่านก็ต้องอารักขานายท่านให้ดี อย่าให้คนอื่นมารังแกได้”

 

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!