Skip to content

เสนาบดีเจ้าจะหนีไปไหน 25

Chapter 25

ฆ่าเจ้าเมืองกว่างอาน

“โอ๊ย!” ทหารร้องคำหนึ่งก็ถูกแทงอีกทีหนึ่ง ฉึก!

“อั๊ก!” ทหารร้องอีกคำก็ถูกถีบจนล้มลงไป ตัวหลุดจากใบดาบเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ทหารคนอื่นๆ ก็ร้องตะโกน “มี…”

ฉั๊วะ! ทหารร้องได้คำเดียวก็ถูกฟันจนล้มลงไปแล้ว เหล่ามือสังหารก็รีบเข่นฆ่าทหารอย่างไร้ความปรานี ลงมือรวดเร็วว่องไวราวกับพายุพัดโหม ไม่ว่าพวกมือสังหารจะผ่านไปทางใด เส้นทางนั้นทหารล้วนตกตายราวใบไม้ต้องลมพายุหลุดร่วงลงจากต้น

หวงเสี่ยวเย่ามองดูอยู่ในเงามืด องครักษ์ก็มองดูอย่างเงียบๆ รอคำสั่งจากเจ้านาย เสียงทหารร้องทำให้บ่าวในจวนสงสัย พวกเขาจึงออกมาดูเหตุการณ์ แล้วพวกเขาก็เห็นคนสวมชุดดำกำลังฆ่าทหาร พวกเขาร้องลั่น “อ้า! มีคนร้าย!—”

เสียงร้องนี้ทำให้คนอื่นๆ ในจวนล้วนตกใจ เจ้าเมืองกว่างอานซึ่งกำลังจะเคลิ้มหลับสะดุ้งพรวดตื่นขึ้นมา “อะไร!?ๆ”

บ่าววิ่งพรวดเข้าไปในห้องนอนท่านเจ้าเมืองชี้มือชี้ไม้ “มีคนร้ายๆ”

เจ้าเมืองรีบลุกทันที ตะโกนลั่น “ทหาร! ไปจับตัวคนที่บังอาจบุกเข้ามา!

“ขอรับ” ทหารรับคำสั่งแล้วรีบแบ่งกำลังไปจับคนร้าย ส่วนหนึ่งก็เฝ้าเรือนนอนท่านเจ้าเมืองอย่างแข็งขัน ฮูหยินเจ้าเมืองก็ลุกมากอดแขนสามีอย่างตกใจกลัว “ท่านพี่”

“ไม่ต้องกลัวๆ มีข้าอยู่ทั้งคน” เจ้าเมืองกว่างอานปลอบใจฮูหยิน สาวใช้ก็ขยับๆ ไปนั่งอยู่ใกล้ๆ ท่านเจ้าเมืองอย่างหวาดกลัว เสียงต่อสู้ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

เคร้งๆๆๆๆๆ

“โอ๊ย!

“อั๊ก!

“อ๊าก!

ทหารที่คุ้มกันรอบเรือนนอนต่างก็ตั้งท่าเตรียมสู้ สักพักพวกเขาก็เห็นคนร้ายไล่เข่นฆ่าทหารมาทางนี้แล้ว ทหารล้มตายลงไปทีละคนสองคน ดูแล้วฝีมือคนร้ายจัดว่าเป็นยอดฝีมือแน่นอนทำให้พวกทหารล้วนกลืนน้ำลายอย่างหวาดหวั่น

หรือว่าข้าจะต้องตายในคืนนี้ ไม่ๆ ข้ายังไม่อยากตาย!

ทหารคนหนึ่งที่หวาดกลัวมากจึงแอบหนีไปอย่างเงียบๆ คนอื่นๆ ก็เริ่มหนีไปทีละคน…ทีละคน จนเหลือทหารไม่กี่คนที่อยู่เผชิญหน้ากับคนชุดดำเหล่านั้น มือสังหารเข่นฆ่าทหารบุกไปจนถึงเรือนนอนเจ้าเมือง หยุนเตอซึ่งปิดใบหน้าเอาไว้ตวาดว่า “ใครไม่อยากตายก็ถอยไป!

ทหารกลืนน้ำลายเอือก! หยุนเตอตวาดอีก “ข้าต้องการหัวเจ้าเมือง แต่ถ้าใครอยากตายข้าก็จะช่วยสงเคราะห์ให้!

กลิ่นไอความตาย กลิ่นคาวเลือดลอยคลุ้งทำให้ทหารเผลอถอยหลังไป พวกหยุนเตอเดินหน้าไป ทหารก็ถอยหลังไปเรื่อยๆ หยุนเตอจึงสั่งว่า “ในเมื่อพวกมันไม่หนีก็ให้มันตายเถอะ”

“ขอรับ” ลูกน้องรับคำสั่งเสียงแข็งขันดุดันเหี้ยมโหด ทหารสะดุ้งเฮือกแล้วพากันหันหลังหนีไปทันที “หว๋า! ไม่สู้แล้ว! ไม่ๆๆ”

หยุนเตอเหยียดยิ้มหยัน “หึ!

มือสังหารคนหนึ่งจึงถีบประตูเรือนโคร้ม! ประตูเรือนถูกถีบจนเปิดอ้าออกนิดหนึ่ง มือสังหารก็ถีบอีกโคร้ม!

“อ้า!” สาวใช้บ่าวไพร่ตกใจร้องลั่น พากันกอดกันกลมตัวสั่นงันงก ฮูหยินก็กอดสามีแน่น “อ้า! ท่านพี่ พวกมันจะบุกเข้ามาแล้ว!

“พวกเจ้ารีบไปขวางประตูซิ!” เจ้าเมืองฯ สั่ง ตัวสั่นๆ บ่าวไพร่จึงพุ่งไปยันประตูเอาไว้อย่างหวาดกลัว มือสังหารจึงแทงดาบจนทะลุประตูสวบ!

“โอ๊ย!” บ่าวถูกดาบแทงถูกแขนก็ผงะถอยออกไป คนอื่นๆ ก็ตกใจรีบผงะถอยกันหมด มือสังหารดึงดาบออกแล้วถีบประตูโคร้ม! บานประตูเปิดผาง! บ่าวไพร่ผงะถอยร่นไปทันที พวกเขาเป็นแค่บ่าวไร้วรยุทธ์มีแต่เรี่ยวแรงเอาไว้ทำงานหาบน้ำผ่าฟืนไหนเลยจะสู้มือสังหารได้

“พวกเจ้าขวางมันเอาไว้!” เจ้าเมืองฯ ตวาดอย่างหวั่นกลัว ขาก้าวถอยหลังไปจนติดฉากบังตา พวกบ่าวก็ละล้าละลังยืนทื่ออยู่อย่างนั้น พวกเขากลัวจนเข่าค่อยๆ อ่อนยวบลงไป บางคนก็กุมมือขอร้อง “ทะ…ทะ…ท่าน…จะ…จอม…ยะ…ยะ…ยุทธ์…วะ…ไว้…ชี…วิต…ดะ…ดะ…ด้วย”

“ไม่อยากตายก็รีบไสหัวไป!” หยุนเตอตวาด พวกบ่าวรีบคลานหนีทันที “ปะ…ปะ…ไป…ละ…ละ…แล้ว”

“พวกเจ้า!” เจ้าเมืองฯ สบถอย่างโมโห ในห้องเหลือเพียงเขากับฮูหยิน สาวใช้บ่าวไพร่ล้วนหนีเอาตัวรอดกันไปหมดแล้ว หยุนเตอสั่งน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “ฆ่ามันซะ ตัดหัวมาให้ข้า”

“ขอรับ” มือสังหารคนหนึ่งรับคำสั่ง เดินย่างสามขุมเข้าไปเงื้อดาบขึ้น ฮูหยินร้องลั่นกอดสามีแน่น “อย่า!

ฟิ้ว! ฉึก!

“โอ๊ะ!” มือสังหารร้องคำหนึ่ง เห็นบางสิ่งพุ่งไปปักฉากบังตาจนฉากล้มลงไปโคร้ม! เขารู้สึกเย็นวาบที่อก จากนั้นความเจ็บปวดก็พุ่งขึ้นมา เขายกมือกุมอกทรุดลงไป พวกมือสังหารหันขวับไปข้างหลังทันที พวกเขาเห็นคนชุดดำกลุ่มหนึ่งยืนอยู่หน้าห้อง ทำพวกเขาตกใจไม่น้อย

“พวกเจ้าเป็นใคร!?” หยุนเตอตวาดถาม หวงเสี่ยวเย่าตอบเนิบนาบ “คนที่จะเอาชีวิตพวกเจ้าอย่างไรล่ะ”

“ขัดขวางข้า พวกเจ้าก็ตาย!” หยุนเตอตวาดแล้วสั่งลูกน้องว่า “ฆ่าเจ้าเมืองก่อน!

“ขอรับ” ลูกน้องอีกคนรับคำสั่งแล้วหันไปจะฟันเจ้าเมือง เขาชะงักกึก! เมื่อเห็นคนชุดดำยืนขวางอยู่ 4 คน เขาตกใจมาก พวกมันเข้ามาตอนไหน!?

“พาเจ้าเมืองหนีไปก่อน” หวงเสี่ยวเย่าสั่ง องครักษ์รับคำสั่ง “ขอรับ”

แล้วองครักษ์สองคนก็หันไปพูดกับเจ้าเมืองฯ ว่า “ตามข้ามา”

“พวกเจ้าเป็นใคร?” เจ้าเมืองถามอย่างหวั่นกลัว หวงเสี่ยวเย่าจึงพูดแทรกว่า “คนที่จะช่วยให้เจ้ารอดชีวิตอย่างไรล่ะ เลือกเอา จะไปกับข้าหรือจะตายอยู่ที่นี่? เรื่องที่เจ้าเขียนฎีกาเท็จล่วงรู้ไปถึงฮ่องเต้แล้ว คนพวกนี้ก็คือคนที่จะมาฆ่าปิดปากเจ้า ส่วนข้ามีหน้าที่มาพาเจ้าไปพบเสนาบดีเฉิน เจ้าก็เลือกเอาเองละกันว่าจะตายอยู่ที่นี่หรือไปกับพวกข้า”

“อา…” เจ้าเมืองฯ เข่าอ่อนทรุดลงไป ร่ำร้องว่า “ตายๆๆ ข้าตายแน่ จบสิ้นแล้วๆ ข้าต้องถูกประหารแน่ๆ”

“ใครๆ ก็รู้ว่าเสนาบดีเฉินเป็นที่โปรดปรานขนาดไหน ไปกับข้าเจ้ายังมีทางรอด แต่ถ้าไม่ก็เชิญเจ้าตายอยู่ที่นี่ถูกคนพวกนี้ฆ่าไปเถอะ” หวงเสี่ยวเย่าพูดอย่างไม่ใส่ใจความเป็นความตายของเจ้าเมืองฯ สักนิด เจ้าเมืองคิดๆ แล้วพยักหน้า “ข้าจะไปกับเจ้า”

“เช่นนั้นก็ตามคนของข้าออกไปก่อน” หวงเสี่ยวเย่าบอก เจ้าเมืองฯ พยักหน้าหงึกๆ “ได้ๆ”

หยุนเตอโมโหยิ่งนักที่พวกมันพูดกันไปพูดกันมาข้ามหัวเขาไปข้ามหัวเขามา หนอย! ข้ายังยืนอยู่ตรงนี้นะ!

“อย่าให้มันหนีไปได้!” หยุนเตอสั่ง ลูกน้องรับคำสั่ง “ขอรับ”

จากนั้นพวกลูกน้องก็พุ่งเข้าสู้กับกลุ่มคนที่มาขัดขวาง ดาบปะทะดาบเสียงดังเคร้งๆ คนสองกลุ่มเข้าสู้ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตาย องครักษ์สองคนก็สู้กับพวกมือสังหาร อีกสองคนก็คอยป้องกันเจ้าเมืองฯ กับฮูหยินเอาไว้ พลางสั่งว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”

เจ้าเมืองฯ พยักหน้าหงึกๆ พาฮูหยินตามคนชุดดำทั้งสองคนนั้นไป องครักษ์คนหนึ่งสั่งว่า “ฮูหยิน ปล่อยสามีเจ้าก่อน ข้าจะพาเจ้าออกไปทางหน้าต่าง ส่วนเจ้าก็ไปกับสหายของข้า พวกเจ้าตัวติดกันเช่นนี้ข้าไม่อาจพาเจ้าออกไปได้”

“ท่านพี่” ฮูหยินลังเล กอดสามีแน่น องครักษ์จึงพูดว่า “เลือกเอา จะไปกับข้าหรือจะรอให้ถูกพวกมันฆ่าตาย”

“ฮูหยิน เจ้ารีบปล่อยข้าก่อน” เจ้าเมืองฯ บอกอย่างร้อนใจราวกับไฟลนก้น เขากลัวมาก กลัวว่าคนสองคนนั้นจะต้านมือสังหารพวกนั้นไม่ไหวแล้วมือสังหารก็จะพุ่งมาฆ่าเขาตาย เขาแกะมือฮูหยินออกแล้วผลักนางให้กับคนชุดดำ คนชุดดำก็โอบเอวฮูหยินพาเหินออกไปทางหน้าต่าง ฮูหยินร้องลั่น “ว๊าย!

นางกอดเอวคนชุดดำแน่น รู้สึกถึงมัดกล้ามอันแข็งแรง ทำนางรู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด องครักษ์เหินลงบนพื้นด้านข้างเรือนแล้วโอบเอวฮูหยินพาวิ่งหนีไปในความมืด องครักษ์อีกคนก็คว้าเอวเจ้าเมืองฯ แล้วพาเหินออกไปทางหน้าต่าง เจ้าเมืองฯ ร้องคำหนึ่ง “เหวอ—”

เมื่อเท้าแตะพื้น องครักษ์ก็พาเจ้าเมืองหนีไป วิ่งตามหลังสหายไป ขณะที่วิ่งอยู่นั้น พลัน! ทั้งสองก็ได้ยินเสียงนกร้อง “จิ๊บๆ…จิ๊บๆๆ…จิ๊บๆ…จิ๊บๆๆ”

เสียงนี้เป็นสัญญาณขององครักษ์พวกเดียวกัน พวกเขาจึงพาฮูหยินกับเจ้าเมืองฯ วิ่งไปตามเสียงนก วิ่งไปสักพักก็เห็นองครักษ์ของเจ้าตระกูลยืนรออยู่ พวกเขาจึงพาคนทั้งสองไปมอบให้องครักษ์ของเจ้าตระกูล องครักษ์ปล่อยเจ้าเมืองฯ แล้วพูดว่า “ข้าพาเจ้าเมืองมาแล้ว”

“ดี” เฉินมู่อิ๋งชม องครักษ์ตกใจ “อ้าว! ก็ไหนนายท่านว่าคุณชายจะไม่มาอย่างไรล่ะขอรับ?”

“ข้านอนจนหายเหนื่อยแล้วก็เลยมาดูเสียหน่อย” เฉินมู่อิ๋งบอก องครักษ์พูดอยู่ในใจ ท่านเป็นห่วงนายท่านสามต่างหาก ข้ารู้ทันหรอกน่า

“รถม้าข้าจอดอยู่นอกจวน พวกเจ้าพาคนไปที่รถม้าก่อน ข้าจะไปดูท่านตาสักหน่อย” เฉินมู่อิ๋งพูดแล้วก็เดินผ่านองครักษ์ของท่านตาสามไป องครักษ์ก็เดินตามไปกันหมด เจ้าเมืองมองคนไม่ชัดเพราะตรงนี้มืดสลัว รู้แต่ว่าคนที่เจอเป็นพวกเดียวกับสองคนนี้

“คุณชาย ไม่คิดจะให้นายท่านได้ยืดเส้นยืดสายสักหน่อยหรือขอรับ?” องครักษ์เย้าแหย่ เฉินมู่อิ๋งหันไปตอบว่า “ข้าแค่จะไปดูเท่านั้น”

เขาตอบพลางเดินไปอย่างเนิบๆ ไม่เร่งไม่รีบ องครักษ์จึงพาเจ้าเมืองฯ กับฮูหยินเดินหน้าไป “พวกเจ้ารีบตามข้ามา”

“อืมๆ” เจ้าเมืองฯ พยักหน้า องครักษ์ก็พาทั้งสองออกไป เฉินมู่อิ๋งกับองครักษ์ประจำตัวก็เดินไปทางที่ได้ยินเสียงต่อสู้ เฉินมู่อิ๋งไม่คิดจะไปช่วย เขาแค่จะไปดูการต่อสู้สนุกๆ เท่านั้นจริงๆ ฝีมืออย่างท่านตาสามต้องให้เขาลงมือช่วยรึ หึ!

เคร้งๆๆๆๆ

คนสองกลุ่มสู้กันไปสู้กันมา ดาบปะทะดาบจนเกิดประกายแล๊บแปร๊บปร๊าบ ทั้งสองกลุ่มสู้กันอย่างสุดฝีมือ พวกหยุนเตอก็จัดว่าเป็นยอดฝีมือ พวกหวงเสี่ยวเย่าก็เป็นยอดฝีมือเช่นกัน แต่ฝีมือของพวกหวงเสี่ยวเย่านั้นเหนือกว่าพวกหยุนเตอ ทำให้พวกหยุนเตอเพลี้ยงพล้ำถูกฟันหลายทีแล้ว หากไม่ใช่เพราะสวมเกราะอ่อนอยู่ใต้อาภรณ์เกรงว่าคงถูกฟันจนได้แผลใหญ่นับไม่ถ้วนแน่นอน หยุนเตอคิดๆ พลางสู้ไปด้วย คนที่เขากำลังประมือด้วยช่างมีฝีมือล้ำลึกกว่าเขา ดังนั้นยิ่งสู้ต่อไปเขาก็จะยิ่งเพลี้ยงพล้ำมากขึ้น เช่นนั้นก็ใช้กลยุทธ์อันดับหนึ่งในการเอาตัวรอดเถอะ!

“ไป!” เขาตะโกนสั่งแล้วอาศัยจังหวะถอยรีบวิ่งหนีไปทันที ลูกน้องคนอื่นๆ เห็นหัวหน้าหนีไปแล้ว พวกเขาก็รีบหนีตามไปทันที องครักษ์ถามเจ้านาย “จะตามไหมขอรับ?”

“ไม่ต้อง” หวงเสี่ยวเย่าบอก “ตามไปตอนนี้อันตราย เกิดพวกมันแอบซุ่มอยู่พวกเราจะเสียเปรียบ”

เฉินมู่อิ๋งมาถึงทันเห็นพวกมือสังหารหนีไปแล้ว เขาจึงเดินไปหาท่านตาสาม บ่นว่า “ว้า! ข้ามาช้าไปหรือนี่ เลยไม่ทันได้ดูท่านตาสู้กับพวกนั้นเลย”

“หนอย! เจ้าเด็กนี่นี่ คิดแต่จะชมดูเรื่องสนุก เจ้าห่วงข้าบ้างไหม!” หวงเสี่ยวเย่าโมโหจนหน้ากระตุกยึกยัก เฉินมู่อิ๋งจึงเดินไปเกาะแขนท่านตาสามประจบว่า “ถ้าไม่ห่วงข้าจะมาทำไมล่ะท่านตา พอตื่นมาข้าก็รีบมาช่วยท่านนี่ไง”

“หึ! ตื่นหรือว่าเพิ่งจะเสพสุขเสร็จสมอารมณ์หมายกับแม่พวกสาวใช้พวกนั้นของเจ้ากันแน่” หวงเสี่ยวเย่าดักคอหลานชาย เฉินมู่อิ๋งยกมือสาบาน “ข้าเพิ่งตื่นจริงๆ ท่านตา ถ้าท่านไม่เชื่อข้าขอให้ฟ้าผ่าจ่างเกิงขอรับ”

“อ๋า!” จ่างเกิงปากอ้าตาค้าง หวงเสี่ยวเย่าจึงเขกศีรษะหลานทีหนึ่ง “หนอย! เจ้าตัวกะล่อน!

เฉินมู่อิ๋งเอียงศีรษะหลบ “อ้าๆ ท่านตาอย่าเขก เดี๋ยวข้าฉี่รดที่นอนนะขอรับ”

คนอื่นๆ แอบขำคิกคัก บรรยากาศเช่นนี้พวกเขาไม่ได้เห็นมานานแล้ว คุณชายช่างมีความสามารถในการยั่วโมโหคนเหมือนเดิมจริงๆ หวงเสี่ยวเย่าหันไปถามองครักษ์ “แล้วเจ้าเมืองล่ะ?”

“สองคนนั่นถูกส่งไปที่รถม้าแล้วล่ะท่านตา เมื่อกี้ข้าเจอพวกเขาจึงให้พาไปที่รถม้าก่อน” เฉินมู่อิ๋งบอก หวงเสี่ยวเย่าพยักหน้า “เช่นนั้นก็กลับกันเถอะ”

“ขอรับ” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้ากอดแขนท่านตาสาม หวงเสี่ยวเย่าจึงดึงแขนออกแล้วเก็บกระบี่เข้าฝัก เฉินมู่อิ๋งถอยหลังไป เมื่อท่านตาสามเก็บกระบี่แล้วเขาก็ก้าวไปเกาะแขนท่านตาสามอย่างประจบประแจง “ไปกันเถอะขอรับ”

“อืมๆ” หวงเสี่ยวเย่าพยักหน้า ถึงเขาจะมีหลานสายตรงของตัวเอง แต่เขาก็รักหลานคนนี้ไม่น้อยเช่นกัน บางทีอาจจะรักมากกว่าหลานตัวเองก็ได้ พวกองครักษ์ก็เก็บดาบเก็บกระบี่เดินตามเจ้านายทั้งสองไป จนกระทั่งไปถึงรถม้า หวงซีถิงก็กุมมือรายงานว่า “คนอยู่ในรถม้าเจ้าค่ะ”

“อืม” เฉินมู่อิ๋งพยักหน้าทีหนึ่ง เขาขึ้นไปบนรถม้า ฮูหยินตกใจที่จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาในรถ “ว๊าย!

“ไม่ต้องตกใจไปฮูหยิน” เฉินมู่อิ๋งบอก หวงเสี่ยวเย่าก็ขึ้นไปนั่งในรถม้า ฮูหยินยิ่งนั่งเบียดสามีจนไร้ช่องว่างแล้ว หวงเสี่ยวเย่าก็สั่งว่า “กลับเรือน”

“ขอรับ” จงอีรับคำสั่งแล้วตีให้ม้าออกเดิน รถม้าก็เคลื่อนไปข้างหน้า สาวใช้และพวกองครักษ์จึงเดินรายล้อมอารักขารถม้า

ภายในรถม้า เจ้าเมืองฯ มองๆ คนทั้งสอง ถามว่า “พวกเจ้าเป็นใคร?”

คนหนึ่งปิดหน้าปิดตาเห็นแต่ลูกตา อีกคนก็เป็นเด็กหนุ่มผิวคล้ำหน้าตาไม่เคยเห็น แต่ดวงตาของเด็กหนุ่มดูคุ้นๆ ตาชอบกล เฉินมู่อิ๋งตอบว่า “ข้า เฉินมู่อิ๋ง”

“หา!” เจ้าเมืองฯ ตกใจ เขาจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง ฮูหยินหันหน้าไปมองเด็กหนุ่มเช่นกัน นางมองๆ แล้วจดจำดวงตาคู่นั้นได้ “โอ้! เป็นคุณชายเฉินจริงๆ”

“เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดมากความ ท่านมีหลักฐานที่เสนาบดีไฉยักยอกเสบียงหรือไม่?” เฉินมู่อิ๋งถามเข้าประเด็นทันที เจ้าเมืองฯ ส่ายหน้า “ไม่มี”

“เช่นนั้นความผิดนี้ท่านก็รับไว้คนเดียวเถอะ” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างไม่แยแส เจ้าเมืองฯ รีบลงไปคุกเข่า “คุณชายโปรดช่วยข้าด้วยเถอะ เรารู้จักกันมาตั้งนาน ท่านช่วยให้ข้ารอดพ้นโทษตายด้วยเถอะขอรับ”

เขาโขกศีรษะโปกๆ ฮูหยินก็ลงไปคุกเข่าข้างๆ สามีโขกศีรษะโปกๆ เช่นกัน “คุณชายเมตตาพวกเราด้วยเจ้าค่ะ”

“พวกท่านมีความผิดโทษฐานยื่นฎีกาเท็จหลอกลวงเบื้องสูง กับยักยอกเสบียงเอาไว้เสียเอง แค่ 2 ความผิดนี้ก็เพียงพอให้พวกท่านถูกประหารเก้าชั่วโคตรแล้ว หากไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นหลักฐานว่าเสนาบดีไฉยักยอกเสบียง ข้าจะเก็บพวกท่านไว้เพื่อประโยชน์อะไร” เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างไม่แยแส เจ้าเมืองฯ รู้ดีว่าหากไม่มีผลประโยชน์ให้ขุนนางเฉิน จะเก็บพวกเขาไว้เปลืองข้าวสุกทำไม เขาเป็นขุนนางมาก่อนขุนนางเฉิน ดังนั้นเรื่องนี้เขารู้ดีแก่ใจ แต่เขาไม่มีหลักฐานอะไรที่จะโยงใยได้ว่าเสนาบดีไฉยักยอกเสบียงสักนิด เป็นเขาที่ยักยอกเสบียงแล้วนำไปส่งมอบให้คนของเสนาบดีไฉอีกทอดหนึ่ง เขาไม่มีหลักฐานใดๆ เลย เขาอัดอั้นตันใจจนร้องไห้ออกมาแล้ว “ฮือๆๆๆ ขุนนางเฉินได้โปรดช่วยข้าด้วยเถอะ ข้าขอร้องท่าน ข้าขอร้องท่าน ลูกๆ ข้า เมียทั้งหลายของข้าจะต้องตายกันหมดแน่หากท่านไม่ช่วยเหลือ ฮือๆๆๆ…”

“ข้าก็อยากช่วยท่าน แต่ท่านไม่มีหลักฐานอะไรเลยนี่นา แล้วข้าจะช่วยได้อย่างไร ฎีกาเท็จเหล่านั้นก็เป็นท่านส่งไป เสบียงก็เป็นท่านรับมา ชาวบ้านไม่ได้รับเสบียงแจกจ่ายก็มีพยานทั้งเมือง ฝ่าบาทสืบความนิดเดียวก็ทราบแล้ว ท่านคิดจะใช้เส้นผมปิดแผ่นฟ้าท่านจะปิดได้นานสักเท่าไหร่ ยามนี้เรื่องทั้งหลายที่ท่านทำล้วนแดงขึ้นมาแล้ว ต่อให้ท่านยืมมือเทพมาปิดแผ่นฟ้าก็ไม่อาจปิดมิดแล้ว ท่านก็รับกรรมที่ท่านก่อไปเถอะ” เฉินมู่อิ๋งพูดเนิบนาบอย่างไม่ใส่ใจ เจ้าเมืองเงยหน้าขึ้นขู่ว่า “ถ้าท่านไม่ช่วยข้า เช่นนั้นเรื่องที่ท่านเดินได้ข้าจะกราบทูลให้ฮ่องเต้ทราบ”

“นี่ๆ ท่านคิดว่าฮ่องเต้ไม่เคยเห็นข้าเดินหรืออย่างไร ข้าก็แค่ป่วยอ่อนแอจนขาอ่อนแรง ไม่ได้ง่อยเปลี้ยเสียขาเดินไม่ได้สักหน่อย” เฉินมู่อิ๋งเยาะหยัน เจ้าเมืองชะงักไป ฮูหยินรีบพูดแทนสามี “ขออภัยคุณชายๆ สามีข้าเลอะเลือนไปชั่วครู่จึงได้ล่วงเกินคุณชายแล้ว ขอคุณชายได้โปรดอย่าได้โกรธเคืองเลยเจ้าค่ะ”

“ฮูหยิน ข้าไม่โกรธเคืองสามีท่านหรอก เห็นแก่ที่ท่านเคยให้การต้อนรับข้า ข้าจะให้โอกาสพวกท่าน มีหลักฐานอะไรที่จะเอาผิดเสนาบดีไฉได้ก็รีบนำออกมา” เฉินมู่อิ๋งบอก เจ้าเมืองฯ ยิ่งร้องไห้โฮๆ “ฮือๆๆๆ… ไม่มีๆ ข้าไม่มีหลักฐานอะไรสักอย่าง ข้าตายแน่ ข้าตายแน่ๆ โฮ…”

“ฮือๆๆๆ คุณชายได้โปรดช่วยพวกเราด้วยเถิดเจ้าค่ะ” ฮูหยินร้องไห้ขอร้องน้ำตาไหลพรากๆ

เฉินมู่อิ๋งพูดอย่างเฉยชา “เช่นนั้นข้าก็ช่วยพวกท่านไม่ได้จริงๆ”

“ฮือๆๆๆ คุณชายเห็นแก่ไมตรีเก่าก่อนได้โปรดช่วยครอบครัวข้าด้วยเถอะ” ฮูหยินยื่นมือไปจับชายกางเกงขอร้องน้ำตานองหน้า เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “ข้าก็อยากช่วยแต่ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรที่จะชี้ชัดว่าเขาถูกเสนาบดีไฉบงการ แล้วข้าจะช่วยได้อย่างไร”

“ฮือๆ ข้ามีหลักฐานอยู่อย่างหนึ่ง ไม่ทราบว่าคุณชายพอจะช่วยเหลือได้หรือไม่?” เจ้าเมืองฯ รีบพูดทั้งน้ำตา เฉินมู่อิ๋งถาม “หลักฐานอะไร?”

“ข้าจะพาท่านไปดู” เจ้าเมืองบอกแล้วกระซิบกระซาบเสียงเบาว่า “ไปที่ศาลเจ้าร้างข้างกำแพงเมืองทางทิศใต้”

เฉินมู่อิ๋งจึงลุกออกไปกระซิบสั่งจงอีว่า “ไปที่ศาลเจ้าร้างข้างกำแพงเมืองทางทิศใต้”

“ขอรับคุณชาย” จงอีรับคำสั่งแล้วบังคับม้าไป เฉินมู่อิ๋งถอยกลับเข้าไปนั่งในรถม้า เจ้าเมืองกับฮูหยินก็พยายามสงบสติอารมณ์ เจ้าเมืองรู้ดีว่าทางรอดของเขาตอนนี้ก็คือเกาะขาใหญ่ๆ ของเสนาบดีเฉินเอาไว้ให้ดี เพราะเสนาบดีไฉลอยแพเขาแล้วถึงขนาดส่งคนมาฆ่าเขาถึงจวน ถ้าเขาไม่เข้าร่วมกับเสนาบดีเฉินชีวิตน้อยๆ นี้ได้ตกตายแน่นอน

จนกระทั่งถึงศาลเจ้าร้าง รถม้าก็หยุดลง จงอีบอกว่า “ถึงแล้วขอรับ”

เฉินมู่อิ๋งจึงเดินลงจากรถม้า แสร้งทำท่าอ่อนแอเดินกระย่องกระแย่ง หวงซีอิ๋งรีบช่วยประคองคุณชายเดิน เจ้าเมืองฯ ลงจากรถม้า ฮูหยินก็ลงตามไปด้วย นางไม่กล้านั่งอยู่ในรถม้าตามลำพังกับชายชุดดำที่ปิดหน้าปิดตาไม่พูดไม่จาคนนั้น นางรู้สึกกลัวเขามาก นางเกาะแขนสามีเดินไปกับเขา หวงเสี่ยวเย่าเดินตามหลังไปท่าทางสบายๆ

“ไฟๆ ข้าขอโคมไฟหน่อย” เจ้าเมืองบอก องครักษ์คนหนึ่งก็ยื่นโคมไฟให้ เจ้าเมืองรับโคมไฟมาแล้วเดินนำไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามไป หวงซีเหยาถือโคมไฟส่องทางให้ หวงเสี่ยวเย่าเดินตามหลังไป เจ้าเมืองเดินเข้าไปในศาลเจ้าร้าง เขาเดินเข้าไปตรงหลังแท่นเจ้าแม่กวนอิม เขาจับแท่นเสียบโคมไฟบนผนังบิดไปด้านข้างแล้วใช้กุญแจที่ห้อยคออยู่ไขเข้าไปในรูกุญแจบนผนัง เสียงดังแกร๊กๆ จากนั้นผนังตรงนั้นก็เลื่อนดังครืดดดด…ครืดดดด

ผนังเปิดออกเป็นช่อง เจ้าเมืองเดินนำเข้าไป ฮูหยินเดินตามหลัง หวงซีอิ๋งเดินตามไป เฉินมู่อิ๋งเดินตามหลัง หวงซีเหยาเดินตามไปถือโคมไฟส่องทางให้นายท่านสาม หวงเสี่ยวเย่าเดินตามไป องครักษ์ก็เดินตามไป 5 คน ส่วนที่เหลือก็เฝ้าอยู่ด้านนอก ทางเดินเป็นขั้นบันไดลาดต่ำลงไปเรื่อยๆ คาดว่าเป็นห้องใต้ดิน เมื่อเดินไปจนสุดทางก็เป็นห้องๆ หนึ่ง มีหีบไม้เรียงอยู่หลายสิบใบ เจ้าเมืองดึงแขนออกจากมือฮูหยิน เดินไปเปิดหีบที่มีฝุ่นจับหนา เมื่อหีบเปิดออกสิ่งของข้างในก็สะท้อนแสงแวววาว เจ้าเมืองหันไปพูดว่า “นี่คือทองที่ได้จากการขายเสบียง ข้าค่อยๆ ทยอยขายเสบียงออกไปแล้วนำเงินไปซื้อทองมาหลอมตีตราตระกูลไฉ รอมอบให้คนของเสนาบดีไฉ”

เฉินมู่อิ๋งเดินเข้าไปหยิบทองมาดูก้อนหนึ่ง มีตราตระกูลไฉอยู่จริงๆ เขาวางทองกลับไปแล้วพูดว่า “แต่หลักฐานเพียงเท่านี้ก็ยังไม่สามารถเอาผิดเจ้าเฒ่านั่นได้หรอกนะ”

“แต่มีตราตระกูลไฉนะ” เจ้าเมืองแย้ง เฉินมู่อิ๋งส่ายหน้า “หากทางฝ่ายนั้นบอกว่าถูกท่านใส่ร้ายล่ะ ทองเช่นนี้จะหลอมอย่างไรตีตราตระกูลไหนก็ทำไม่อยากเลย ทองแค่นี้ไม่สามารถเอาผิดเจ้าเฒ่านั่นได้หรอก”

“โธ่ แล้วข้าจะทำอย่างไรดี?” เจ้าเมืองฯ อยากจะร้องไห้ขึ้นมาอีกรอบแล้ว เฉินมู่อิ๋งยิ้ม “แต่ข้ามีวิธีช่วยให้เจ้ารอดพ้นความตาย”

“วิธีไหน?” ทั้งเจ้าเมืองทั้งฮูหยินถามพร้อมกัน เฉินมู่อิ๋งบอก “มอบทองให้ข้า แล้วข้าจะช่วยให้พวกเจ้าหนีไป พวกเจ้าไปอยู่ที่เมืองเว่ยหง ใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นย่อมไม่ลำบากยากแค้นอะไร”

เจ้าเมืองฯ คิดๆ แล้วพยักหน้า “ได้ๆ ข้าจะทำตามที่ท่านบอก”

เขาคิดดีแล้ว เข้าไปซุกอยู่ใต้ปีกตระกูลหวงย่อมเป็นทางรอดที่ดีที่สุดของเขาในเวลานี้ อีกทั้งตระกูลหวงกับเขาก็มีสัมพันธ์ไมตรีที่ดีต่อกันมาหลายปีแล้ว เขาเชื่อว่าหวงห้าวหยางจะเห็นแก่ไมตรีที่มีมานานยอมช่วยเหลือเขาอย่างดี อีกทั้งทองแค่นี้ก็เป็นของนอกกาย ไม่ใช่ทรัพย์สินของเขาสักหน่อย เขาแค่เก็บไว้ให้เสนาบดีไฉ ในเมื่อเสนาบดีไฉส่งคนมาฆ่าเขาปิดปาก เช่นนั้นทองพวกนี้เขาก็จะใช้ซื้อชีวิตกับขุนนางเฉินนี่แหละ ในเมื่อใช้ประโยชน์จากเขาแล้วคิดจะฆ่าเขาปิดปาก แล้วทำไมเขาจะต้องเหลือทองไว้ให้เจ้าเสนาบดีเฒ่านั่นด้วยเล่า หึ!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!