Skip to content

แบล็คเมล์ไฮโซ 4

Chapter 4

สาส์นเทพ!

“มันคืออะไรเหรอไอ้ยะ?” ตะวันถามจ้องมองสาส์นเทพอย่างงุนงง

“มันคือทองที่คุณยะได้รับจากผีเมื่อเช้าค่ะ” ปรียาตอบแทนพลางทำหน้าสยอง

“แล้วผมจะเปิดมันอีกได้ยังไงคุณเจ้าหญิง?” อารยะถามเจ้าหญิงจันทรา เขาอยากเห็นน้องเหมือนเมื่อเช้าอีกครั้ง

“ท่านคิดอยากอ่าน สาส์นเทพก็จะเปิดออก” เจ้าหญิงจันทราตอบ

อารยะก้มมองสาส์นเทพแล้วก็คิดในใจ พลัน! สาส์นเทพก็เปิดออก ภาพทิวาปรากฏขึ้น

“ว๊าย!” ปรียาตกใจตัวแข็งทื่อ

“เฮ้ย!” ตะวันตกใจจ้องมองภาพนั้นอย่างตะลึง

เสียงทิวาดังขึ้นตามข้อความที่เขียนลงในสาส์นเทพ เหตุการณ์เดิมปรากฏซ้ำดั่งเปิดวีดีโอซ้ำอีกรอบ

ตะวันกับปรียาจ้องมองอย่างตื่นกลัว ส่วนเจ้าหญิงจันทรามองอย่างคุ้นเคย อารยะมองภาพน้องน้ำตาซึม

พอจบประโยคสุดท้ายสาส์นเทพก็ม้วนคืนดังเดิม

อารยะกำสาส์นเทพแน่นคิดถึงน้องใจจะขาด “ยัยวา…”

ทุกคนนั่งเงียบไปพักใหญ่

ตะวันตั้งสติได้ก็รีบถามว่า “แกได้ไอ้นั่นมายังไง?”

อารยะมองหน้าเพื่อนแล้วก็เล่าว่า “เมื่อเช้าจู่ๆก็มีประตูผีขึ้นในห้อง แล้วผีก็ออกมาจากประตูนั่นส่งไอ้นี่ให้ฉัน แล้วผีก็เข้าประตูหายไป”

“ท่านผู้นั้นไม่ใช่ผีดั่งที่ท่านเข้าใจ ท่านผู้นั้นคือเทพต่างหาก” เจ้าหญิงจันทราบอก

“เทพเหรอ!?” ปรียากับตะวันอุทานพร้อมกัน

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า “ใช่ เทพท่านนั้นมาส่งสาส์นเทพให้กับท่าน สาส์นเทพจากน้องของท่าน”

ทุกคนหันไปมองเจ้าหญิงจันทราเป็นตาเดียว

“มิน่า! ถึงได้โคตรหล่อขนาดนั้น” อารยะพึมพำ

“ข้าคิดว่าคงเป็นเทพีจันทรา แต่ในสาส์นกล่าวถึงสิงโต เช่นนั้นก็ไม่ใช่เทพีจันทราเพราะสิงโตไม่ใช่ร่างจำแลงของเทพีจันทราแต่เป็นร่างจำแลงของเทพสุริยะ” เจ้าหญิงจันทราบอก พลัน! นางก็คิดถึงถ้อยคำในสาส์น นางตะลึงงัน! ภาพความทรงจำอันโหดร้ายผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง นางลุกพรวดวิ่งขึ้นบันไดไป

“คุณ!” ตะวันหน้าเหรอหรา ไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงได้ลุกไปแบบนี้

ปรียากับอารยะมองตามอย่างงงๆ

“เธอเป็นอะไรเหรอคะ?” ปรียาถามลอยๆ

“นั่นซิไอ้วันคุณเจ้าหญิงเป็นอะไรเหรอ?” อารยะถามเพื่อนอย่างงงๆ

ตะวันส่ายหน้า “ไม่รู้ซิ”

ส่วนเจ้าหญิงจันทราพอเข้าห้องแล้วก็ร้องไห้กัดริมฝีปากกลั้นเสียงสะอื้น ช็อคกับเหตุการณ์นั้น ไม่คิดเลยว่าท่านพ่อจะอำมหิตถึงขนาดฆ่าน้องฆ่าหลานตัวเองได้ลงคอ ภาพท่านพ่อที่ใจดีแตกสลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในห้วงความคิดของนาง

ตะวันมองสาส์นเทพในมือเพื่อนแล้วบอกว่า “ไอ้ยะแกเปิดสาส์นเทพนั่นอีกทีซิ”

อารยะทำตาม สาส์นเทพเปิดออก ภาพทิวาปรากฏขึ้นอีกครั้ง

ทั้งสามจ้องมองภาพนั้นอย่างอึ้งๆ จนกระทั่งสาส์นเทพปิดลง

“นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ปรีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีสิ่งอัศจรรย์พันลึกแบบนี้” ปรียาพูดลอยๆ

“นั่นซินะ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเอง ผมก็คงคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อเจ้อเหลวไหลเหมือนกันครับ” ตะวันบอกมือก็ลูบสร้อยที่คอเพื่อตอกย้ำว่าสิ่งที่เขาเห็นในความฝันนั่นเป็นความจริง

“แล้วนี่คุณเจ้าหญิงอาการเป็นไงมั่งล่ะไอ้วัน?” อารยะถามอย่างอยากรู้ เพราะถึงไม่ใช่น้องแต่อายุหน้าตาก็เหมือนกับยัยวา ถือซะว่าเป็นน้องสาวอีกคนก็แล้วกัน

“ก็ดี แผลหายเกือบหมดแล้วล่ะ เหลือแค่รอยแผลจางๆ ส่วนสภาพจิตใจก็ดีกว่าแต่ก่อนเยอะ นี่เธอเริ่มยิ้มบ้างแล้วล่ะ” ตะวันบอก

อารยะพยักหน้ารับรู้ “เออ ดีแล้วล่ะ”

“คุณคนนั้นเป็นอะไรเหรอคะ?” ปรียาถามแทรก

ตะวันหันไปมองปรียาแล้วก็มองเพื่อนเหมือนยกให้เพื่อนตัดสินใจเองว่าจะเล่าให้เธอฟังรึเปล่า

อารยะรับรู้สายตาของเพื่อนก็บอกปรียาว่า “คือเธอถูกทำร้ายน่ะครับ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นเหมือนกันครับ พวกเรานึกว่าเธอคือยัยวาก็เลยพาส่งโรงพยาบาล หลังจากนั้นพวกเราถึงได้รู้ว่าเธอไม่ใช่ยัยวาน้องของผม แล้วต่อจากนั้นพวกเราก็เจอเรื่องแปลกๆ เหมือนที่ผมเคยเล่าให้คุณฟังนั้นแหละครับ”

ปรียาพยักหน้ารับรู้ “อ๋อค่ะ”

ตะวันยื่นมือไป “ไอ้ยะฉันขอดูสาส์นเทพนั่นหน่อยซิ”

อารยะส่งสาส์นเทพให้เพื่อน ตะวันรับมาพลิกดูไปมา “หนักๆ แฮะ”

“ทองคำแท้ๆ ค่ะ” ปรียาพูดแทรก

ตะวันอึ้ง! มองปรียาขวับ “อะไรนะครับคุณปรียา?”

ปรียาชี้ที่สาส์นเทพ “ก็นั่นน่ะค่ะ เป็นทองคำแท้ๆ ค่ะ ฉันดูแล้วตอนที่อยู่สนามบินน่ะค่ะ”

ตะวันก้มมองสาส์นเทพในมืออย่างอึ้งๆ “ไอ้เนี่ยนะ ทองแท้ๆ!”

เขาเดาะมือกะน้ำหนัก “น่าจะหนักหลายบาทอยู่นะนี่”

“ก็ถ้าตีราคาตามราคาทองก็น่าจะราวๆหกหรือเจ็ดแสนล่ะมั่ง เพราะเท่าที่ฉันกะน้ำหนักดูน่าจะหนักเกินครึ่งกิโลนะคะ” ปรียาบอกอย่างเชี่ยวชาญ

ตะวันกับอารยะอึ้งไป

เสียงโทรศัพท์ของปรียาดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาดู “ขอตัวสักครู่นะคะ”

แล้วเธอก็ลุกไปคุยโทรศัพท์ อารยะกับตะวันมองตามแล้วก็หันไปมองหน้ากันเอง

“นี่แกสนิทกับคุณปรียามากเลยเหรอ?” ตะวันถามเพื่อน

“จะว่าสนิทก็คงได้มั้ง ก็ดูๆแล้วก็นิสัยดีน่าคบ นี่ฉันก็เพิ่งรู้นะนี่ว่าแกรู้จักเธอด้วย” อารยะบอก

“จะไม่รู้จักได้ไง ก็คุณปรียาเป็นเจ้าของร้านไดมอนด์แกรนด์ไง พ่อแม่เธอก็รู้จักกับครอบครัวฉัน” ตะวันเล่าตาก็เหลือบมองคนที่กำลังพูดถึง

“อ๋อ สาวไฮโซว่างั้น” อารยะพยักหน้ารับรู้

“เออ” ตะวันพยักหน้า “ได้ข่าวว่านายภาสกรนั่นกำลังตามจีบอยู่นี่”

“แกคงจะหมายถึงผู้ชายตี๋ๆ นั่นใช่ไหม” อารยะเหลือบมองปรียา

ตะวันพยักหน้า “เออ แกก็ระวังตัวหน่อยล่ะกัน ดันไปขวางถังข้าวสารของนายภาสกรแบบนี้มันคงแค้นน่าดู”

“เออๆ ขอบใจที่บอก” อารยะยิ้มให้เพื่อน

พอปรียาเดินมาทั้งสองก็เปลี่ยนเรื่องคุย

“ปรีคงต้องขอตัวกลับก่อนล่ะค่ะ พอดีมีงานนิดหน่อยน่ะค่ะ” ปรียาบอก

“เชิญครับ” ตะวันยิ้มให้เธอในฐานะที่คุ้นเคยกัน

อารยะลุกขึ้นเดินไปส่งแขก “ขอบคุณนะครับที่มาส่งผม ไว้โอกาสหน้าผมจะเลี้ยงข้าวตอบแทนครับ”

ปรียายิ้ม “ขอบคุณค่ะ”

เธอจะก้าวเดินไปแล้วก็ชะงักหันไปบอกว่า “แล้วพบกันใหม่นะคะ”

อารยะพยักหน้า “ยินดีเสมอครับ”

ปรียายิ้มแล้วก็เดินไปขึ้นรถ

อารยะมองตามจนรถของเธอลับสายตาไป เขาเดินเข้าบ้านไปนั่งคุยกับเพื่อนต่อ ทั้งสองคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น

อ้อย แม่บ้านเดินเข้ามา “คุณตะวันคะ จะให้ป้าตั้งโต๊ะ…”

เธอชะงักไปเมื่อเห็นว่าเจ้านายมีแขก “อุ๊ย ขอโทษค่ะ”

ตะวันกับอารยะหันไปมอง

“เข้ามาซิป้าอ้อย นี่ไอ้ยะเจ้าของบ้านไง” ตะวันบอกพร้อมกับแนะนำตัว

อ้อยรีบวางของยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะ”

อารยะรีบไหว้กลับ

“ไอ้ยะนี่ป้าอ้อยแม่บ้านที่ฉันจ้างมาดูแลคุณจันไง” ตะวันแนะนำ

อารยะพยักหน้า

“ป้าอ้อยจะไปทำอะไรก็ไปเถอะ” ตะวันบอก

อ้อยหยิบถุงหิ้วขึ้นมาแล้วก็เดินเข้าไปในครัว

“ไอ้วัน ไปนั่งใต้ต้นมะม่วงเถอะ ตรงนั้นเย็นดี” อารยะบุ้ยปากให้ตะวันออกไปคุยกันหน้าบ้านเพราะไม่อยากให้แม่บ้านได้ยินเรื่องที่คุยกัน

ตะวันพยักหน้าเข้าใจ เขาส่งสาส์นเทพคืนให้เพื่อนแล้วก็เดินไปนั่งที่โต๊ะหินใต้ต้นมะม่วง

อารยะเก็บสาส์นเทพใส่กระเป๋าแล้วก็ตามไปนั่งคุยกันต่อ

“แล้วนี่พวกเราจะทำยังไงกันล่ะ? จู่ๆก็เจอเรื่องพิลึกกึกกือขนาดนี้น่ะ” ตะวันถามหน้าเครียด

“ยังไม่รู้เลยว่ะ ฉันก็มืดไปหมด รู้งี้ฉันไม่น่าพายัยวาไปเที่ยวนครวัดนั่นหรอก” อารยะส่ายหน้าอย่างกลุ้มใจ

เสียงโทรศัพท์ของตะวันดังเตือน เขาหยิบมาดูแล้วก็บอกว่า “เฮ้ยฉันต้องไปแล้วว่ะ นัดลูกค้าเอาไว้น่ะ แกก็ดูแลคุณจันด้วยล่ะ มีไรก็รีบโทรหาฉันได้ทันที”

“เออไปเถอะ” อารยะพยักหน้า

ตะวันลุกไปหยิบกุญแจรถแล้วก็ขึ้นรถขับออกไป

อารยะเดินไปปิดประตูรั้วแล้วก็เดินเข้าบ้านหยิบกระเป๋าไปเก็บในห้อง พอเก็บกระเป๋าแล้วเขาก็เดินลงไปข้างล่างหาอะไรกินซะหน่อย แต่พอเดินผ่านห้องน้องสาวเขาก็ได้ยินเสียงร้องไห้ เขาชะงัก! ผลักประตูดู

เจ้าหญิงจันทรากำลังนั่งร้องไห้อยู่บนเตียง

อารยะเดินเข้าไปหาอย่างเป็นห่วง “คุณเป็นอะไรเหรอครับ?”

เจ้าหญิงจันทราสะดุ้ง! เงยหน้ามองพอเห็นว่าเป็นใครก็หันหลังให้รีบปาดน้ำตา

อารยะหันไปดึงเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานมานั่ง “ถ้าคุณไม่สบายก็บอกผมได้นะ เดี๋ยวผมพาไปหาหมอนะครับ”

เจ้าหญิงจันทราเงียบ มีแต่เสียงสะอื้นซึ่งเจ้าตัวพยายามกลั้นเอาไว้

“ถ้าคุณมีเรื่องอะไรทุกข์ใจก็คุยให้ผมฟังได้นะ ถึงผมจะไม่ใช่หมอจิตเวชแต่การได้ระบายออกมาบ้างก็ทำให้คนเราสบายใจขึ้นได้นะครับ” อารยะบอกอย่างเป็นห่วง

เจ้าหญิงจันทราก็ยังเงียบอยู่อย่างเดิม

อารยะลุกขึ้นเดินอ้อมเตียงไปนั่งตรงหน้าเธอ เอื้อมมือไปจับมือเรียวบาง บอกอย่างเป็นห่วงว่า “ผมจะนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเพื่อนนะ คุณอยากร้องไห้ก็ร้องไปเถอะ ร้องดังๆเลยก็ได้คุณจะได้สบายใจขึ้นไง”

เขายิ้มให้อย่างอบอุ่นเหมือนที่ยิ้มให้น้องสาว

เจ้าหญิงจันทราเหลือบมองจะดึงมือออก แต่พอเห็นรอยยิ้มเป็นมิตรก็ชะงัก! จากที่พยายามกลั้นเสียงสะอื้นก็เผลอตัวร้องไห้เสียงดัง “ฮือๆๆๆ…”

อ้อยได้ยินเสียงร้องไห้ก็ตกใจรีบวิ่งขึ้นไปดู “เป็นอะไรคะคุณจัน?”

อารยะรีบบอก “ไม่มีอะไรหรอกป้า ป้าไปทำงานเถอะ”

“ค่ะคุณ” อ้อยพยักหน้าแล้วก็เดินออกไป ก่อนจะไปก็ยังแอบมองอย่างเป็นห่วง แต่เห็นคุณยะอยู่ด้วยคงไม่เป็นไรหรอกก็พี่น้องกันนี่น่า คงเป็นเรื่องของพี่น้องล่ะมั้ง เธอคิดแล้วก็เดินลงไปข้างล่าง

เจ้าหญิงจันทราร้องไห้เต็มที่ ความอัดอั้นตันใจทั้งหลายถล่มทลายดั่งเขื่อนแตก

อารยะนั่งจับมืออยู่อย่างนั้น นี่ถ้าเป็นยัยวาเขาคงกอดแล้วก็ลูบหลังบอกว่า ไม่เป็นไรๆๆๆ ไปแล้วล่ะ

เจ้าหญิงจันทราร้องไห้อยู่นาน ความทุกข์ทรมานใจค่อยคลายหายไป

อารยะหยิบผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้ เจ้าหญิงจันทราผงะออก แต่พอสบตากับแววตาอบอุ่นก็ดึงผ้ามาเช็ดน้ำตาเอง

“สบายใจขึ้นไหมครับ?” อารยะถามอย่างเป็นห่วง

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า

“ถ้างั้นผมว่าเราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ผมหิวแล้ว” อารยะชวน ไม่อยากให้เธอเอาแต่จมอยู่ในความทุกข์ เพราะเท่าที่ไลน์คุยกับเพื่อนดูเหมือนเธอจะเป็นคนเก็บกดอารมณ์อย่างมาก เขาดึงมือเธอให้ลุกขึ้น “มาซิครับ”

เจ้าหญิงจันทราลุกออกจากเตียงเดินตามเขาไปอย่างเงียบๆ

อารยะพาเธอลงไปข้างล่าง เจออ้อยกำลังออกมาจากในครัวพอดี

“ป้าอ้อยเดี๋ยวผมออกไปข้างนอกนะ ป้าปิดประตูล็อกกุญแจด้วยล่ะ” เขาสั่งแล้วก็จูงมือเจ้าหญิงจันทราเดินไปหยิบกุญแจรถที่แขวนไว้บนผนัง

“ไปหาอะไรอร่อยๆกินกันนอกบ้านนะครับ” เขาบอกพร้อมกับยิ้มให้

เจ้าหญิงจันทราพยักหน้า

อ้อยรีบเดินไปเปิดประตูรั้วรอ

อารยะเดินไปเปิดประตูรถให้เธอ “เชิญครับ”

เจ้าหญิงจันทราเข้าไปนั่งในรถอย่างเริ่มคุ้นเคยเพราะตอนออกจากโรงพยาบาลก็ต้องนั่งรถมา แล้วก็ถูกพามาที่บ้านหลังนี้ หลังจากนั้นตะวันก็ยังเคยพานั่งรถไปซื้อของไปกินข้าวนอกบ้านด้วย

อารยะปิดประตูรถแล้วก็เดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ จากนั้นเขาก็ขับรถออกจากบ้าน

อ้อยปิดประตูรั้วล็อคกุญแจ แล้วก็เดินเข้าบ้านไปทำงานต่อ

อารยะขับรถขึ้นทางด่วนออกไปย่านชานเมือง เขาพาเธอไปร้านอาหารซึ่งเคยไปกับน้องสาวบ่อยๆ

เจ้าหญิงจันทรานั่งรถไปก็เริ่มรู้สึกเวียนหัวนิดๆ

อารยะเหลือบมองเห็นท่าทางเธอสีหน้าไม่ค่อยดีนักก็ถามอย่างเป็นห่วงว่า “เป็นอะไรรึเปล่าครับ?”

“ปวดหัว” เจ้าหญิงจันทราตอบเสียงเบาแม้จะไม่มีคำลงท้ายแต่น้ำเสียงก็ฟังรื่นหู นางยกมือปิดปากเพราะรู้สึกเหมือนอยากอาเจียน “อุ๊บ!”

“สงสัยคงจะเมารถมั้งครับ” อารยะเดาจากท่าทางรีบเปิดไฟเลี้ยวแล้วก็เปลี่ยนเลนไปซ้ายสุด อยากจะจอดริมทางแต่ก็ทำไม่ได้เพราะยังอยู่บนทางด่วนเขากลัวรถคันอื่นไม่ระวังจะขับมาชนท้ายเอา เขาได้แต่ชะลอความเร็วขับให้ช้าลง “ทนนิดนึงนะครับเดี๋ยวก็ถึงแล้วครับ”

เจ้าหญิงจันทรามองเขา พยายามฝืนตัวเองไว้ไม่ให้อาเจียนออกมา ก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันทำไมถึงรู้สึกว่าคนๆนี้ไว้ใจได้ กับตะวันก็เช่นเดียวกัน

พอลงจากทางด่วนได้อารยะก็รีบเลี้ยวรถเข้าไปในลานจอดรถของห้างสรรพสินค้าที่อยู่แถวๆ นั้นพอดี พอจอดรถได้เขาก็รีบเปิดที่เก็บของใต้คอนโซลหยิบถุงพลาสติกออกมา เขาสะบัดถุงคลี่ออกแล้วก็ส่งให้เธอ “ถ้าคุณจะอ๊วกก็อ๊วกใส่ถุงนี่นะครับ”

เจ้าหญิงจันทรารับมาถือไว้ พยายามฝืนไม่ให้อาเจียนสุดฤทธิ์ แต่ก็สุดจะฝืนได้ “อุ๊บ!” นางก้มลงอาเจียนใส่ถุง

อารยะรีบลูบหลังให้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!