Chapter 6
ถ้างั้นปรีไปส่งค่ะ
“ฉัน” ตะวันขัด พยายามสอนให้เธอพูดเหมือนคนทั่วไป
“ฉันขออภัย” เจ้าหญิงพยายามหัดพูดตามที่เขาสอน
“ฉันขอโทษค่ะ” ตะวันสอนอย่างใจเย็น
“ฉันขอโทษค่ะ” เจ้าหญิงพูดตามแล้วก้มลงมองภาพในหนังสือ นิ้วเรียวชี้ที่ภาพเงยหน้ามองเขา “ท่าน…เอ่อ…คุณ คุณจะพา…ฉันไปที่แห่งนี้จริงหรือ?”
นางพยายามพูดตามแบบที่เขาสอน
ตะวันพยักหน้า “จริงซิครับ เดี๋ยววันอาทิตย์นี้ผมหยุดผมจะมารับคุณไปเที่ยวที่นั้นนะครับ”
เจ้าหญิงยิ้มรับประกายตาวิบวับดั่งเด็กหญิงได้ของเล่นถูกใจ
ตะวันมองใบหน้างามอย่างเพลิดเพลิน คิดในใจว่ารอยยิ้มแบบนี้แหละจึงจะเหมาะกับเธอ
“ใครจะไปเที่ยวไหนกันเหรอคะ?” เสียงหวานถามดังขึ้นตรงหน้าประตู
ทั้งสองหันไปมองก็เห็นปรียายืนอยู่หน้าประตูบ้าน สาวสวยแต่งกายด้วยชุดสูทเรียบหรูเก๋ไก๋ตามประสาสาวนักธุรกิจ
“อ้าว คุณปรียา” ตะวันทักอย่างคุ้นเคย
“ขอโทษนะคะที่ถือวิสาสะเข้ามาเองน่ะค่ะ พอดีเห็นประตูไม่ได้ล็อคน่ะค่ะ แล้วปรีก็เห็นคุณวันอยู่ตรงนี้พอดีน่ะค่ะ” ปรียาออกตัว “แล้วนี่คุณยะล่ะคะ?”
ตะวันทำหน้างงนิดๆ ที่ดูท่าทางหญิงสาวจะสนิทสนมกับเจ้าของบ้านได้รวดเร็วถึงขนาดนี้ เหมือนดั่งว่าเจ้าเธอสนิทสนมกับเพื่อนของเขามานานนับปีไม่ใช่ไม่กี่วันอย่างที่รับรู้มา “เอ่อ…ไอ้ยะอยู่ในครัวครับ”
“อ๋อค่ะ พอดีเลยปรีซื้อของอร่อยๆ มาฝาก งั้นปรีเอาไปใส่จานก่อนนะคะ” สาวสวยมาดมั่นบอกแล้วก็เดินผ่านสองหนุ่มสาวไปทางด้านหลัง เธอชะงักไปเมื่อเห็นทางไป 2 ทาง ทางซ้ายกับทางขวา
“ประตูทางซ้ายครับคุณปรี ขวาเป็นห้องน้ำครับ” ตะวันบอกเมื่อเห็นท่าทางที่ไม่รู้ทางของสาวไฮโซคนสวย
“ขอบคุณค่ะ” ปรียาบอกแล้วก็หันไปผลักประตูทางซ้ายเปิดออก พร้อมๆ กับอารยะเปิดประตูห้องครัวออกมาพอดี สาวสวยหมุนตัวเดินไปข้างหน้าจึงชนกับเจ้าของบ้านหนุ่ม พลั่ก!
“อุ๊ย!” เสียงหวานอุทาน ร่างเพรียวชนกับร่างล่ำสัน
“อุ๊บ!” อารยะคว้าร่างเพรียวไว้ไม่ให้ล้ม พอเห็นหน้าคนในวงแขนชัดๆ ก็ทักว่า “คุณปรี!”
เสียงทุ้มงุนงงที่สาวสวยมาอยู่นี่ได้ยังไง?
วงหน้ามาดมั่นออกอาการเขินเมื่อตกอยู่ในวงแขนชายหนุ่ม
“ขอโทษค่ะ” คำพูดติดปากหลุดออกมาตามสัญชาตญาณ
“เป็นอะไรรึเปล่าครับ?” เขาถาม ตามองสำรวจคนในวงแขน “แล้วนี่คุณปรีมาได้ไงครับ?”
ปรียาดันตัวออกเมื่อเห็นว่าแม่บ้านมองมาด้วยท่าทางอยากรู้อยากเห็น “ขอบคุณค่ะ ปรีไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ”
อารยะปล่อยร่างในอ้อมแขนให้ยืนทรงตัวด้วยท่าทางสุภาพ แต่พอเห็นว่าเสื้อผ้าที่ใส่เป็นคนละชุดกับตอนเช้าก็งงนิดหน่อย
ปรียามองตามสายตาเขา “อ๋อ คือปรีไปประชุมมาน่ะค่ะ แล้วพอดีน้านาจบอกว่าคุณลืมของไว้ในรถน่ะค่ะ ปรีก็เลยเอามาคืนค่ะ”
มือเรียวขาวชูผ้าผืนยาวสีเหลืองอ่อนให้เขาดู “ปรีจำได้ว่าเป็นของคุณน่ะค่ะก็เลยเอามาคืน”
อารยะมองผ้าผืนยาวเอื้อมมือไปรับคืนมาสีหน้าเศร้าเมื่อคิดถึงผู้เป็นเจ้าของ
“ยัยวา…” เสียงทุ้มเศร้าบาดลึก
ปรียาเห็นท่าไม่ค่อยดีก็รีบเปลี่ยนเรื่อง “ดูซิคะคุณยะ ปรีซื้อของอร่อยๆมาฝากด้วยค่ะ”
เธอชูถุงใส่อาหารให้ดู
“ขอบคุณครับ” อารยะรับคำเนือยๆแล้วก็คว้าถุงจากมือหญิงสาวหันไปส่งให้แม่บ้าน “ป้าอ้อยช่วยเอาของพวกนี้ใส่จานให้ด้วยนะครับ”
“ค่ะ” อ้อยเดินเข้าไปรับของจากเจ้านายแล้วก็หันไปทำหน้าที่ของตัวเอง ตาก็แอบมองหญิงสาวสวยมาดมั่นอย่างใคร่รู้
“เชิญข้างนอกดีกว่าครับคุณปรี” อารยะบอกแล้วก็เดินนำหน้าแขกสาวสวยไป
ปรียาเดินตามไปติดๆ
ตะวันมองเพื่อนกับสาวไฮโซด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ในใจอยากรู้เรื่องของทั้งสองคนเต็มแก่
ส่วนเจ้าหญิงคนงามพอเห็นผืนผ้าในมืออารยะก็ทักอย่างจดจำได้ “เอ๊ะ! นั่นมันผ้าผูกเอวของข้านี่?”
สายตาทุกคู่หันไปจ้องมองผ้าผืนน้อยในมืออารยะเป็นตาเดียว
“นี่ของคุณเหรอครับ?” อารยะถาม “แต่ว่าผมได้มาตอนที่ผมฝันเห็นยัยวานะครับ”
“ของข้า ข้าจำได้เพราะว่าชุดนั้นท่านพ่อเพิ่งจะสั่งตัดให้ข้าเสร็จก่อนที่ราชาภากรจะบุกนครจันทราเพียงวันเดียวเท่านั้น” เจ้าหญิงบอกแล้วก็ถามว่า “ท่านได้มาอย่างไรหรือ? เล่าให้ข้าฟังเถิด”
อารยะเดินไปนั่งข้างเพื่อนรัก
ส่วนปรียาก็นั่งเยื้องกับเขา
จากนั้นชายหนุ่มก็เล่าเรื่องราวในความฝันให้ทุกคนฟัง
พอเล่าจบ ตะวันกับปรียาก็ทำหน้าเหลือเชื่อ
ส่วนเจ้าหญิงจันทราก็บอกว่า “คงเกิดจากพลังของเทพสุริยะที่นำพาน้องสาวของท่านมาพบท่านในห้วงนิมิต ส่วนผ้านั่นคงเป็นเพราะบริวารของข้านำมาให้นางสวมใส่เหมือนเช่นที่พวกท่านนำผ้าพวกนี้มาให้ข้าสวมใส่เช่นกันกระมัง”
“คุณคะ ขนมมาแล้วค่ะ” เสียงอ้อยดังนำหน้ามาก่อนตัว ทำให้การสนทนาหยุดชะงัก
ปรียารีบลุกไปช่วยอย่างไม่ถือตัว “มาค่ะป้าหนูช่วยค่ะ”
“ขอบคุณค่ะ คุณส๊วย…สวย แล้วยังใจดีอีกด้วยนะคะ” อ้อยชม
ปรียาเขินเล็กน้อยยิ้มรับคำชม มือก็ช่วยลำเลียงจานของว่างในถาดวางลงบนโต๊ะ
“เดี๋ยวป้าไปเอาน้ำมาให้นะคะ” อ้อยบอกแล้วก็วางถาดไว้ให้แขกสาวสวยช่วยจัดการ
อ้อยหายไปครู่เดียวก็ออกมาพร้อมกับแก้วน้ำครบจำนวนคน “น้ำมาแล้วค่ะ”
เธอเสิร์ฟน้ำแล้วก็เก็บถาดออกไปอย่างรู้งาน
ปรียานั่งลงยกน้ำขึ้นจิบหันไปมองหน้าทุกคน “นี่ถ้าไม่ได้เห็นกับตา ปรีไม่เชื่อเด็ดขาดว่าจะมีเรื่องเหลือเชื่อเหลือจินตนาการแบบนี้แน่ๆค่ะ”
สองหนุ่มนิ่งเงียบไปเพราะเจอมากับตัวเองจากที่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
“เท่าที่ฟังดูแล้ว ดูเหมือนว่าเทพสุริยะคงจะพึงพอใจน้องสาวท่านอยู่ไม่น้อยทีเดียว” เจ้าหญิงพูดตามความคิด “หากเป็นเช่นนั้นนางคงได้รับการปกป้องจากเทพสุริยะ ราชาภากรก็คงไม่อาจจะทำอะไรนางได้แน่”
ทุกคนทำหน้างง
“เอ่อ…คือเรื่องราวมันเป็นยังไงมายังไงเหรอคะ? คือปรีฟังแล้วก็งงๆอ่ะค่ะ เทพสุริยะ ราชาภากรนี่คือใครคะ?” ปรียาถามสีหน้างุนงง
“ถ้าเช่นนั้นข้าคงต้องเริ่มเล่าตั้งแต่ที่ราชาภากรยกทัพมายึดนครของข้ากระมัง” เจ้าหญิงคนงามมองหน้าทุกคน
ทุกคนมองเจ้าหญิงเป็นตาเดียว รอฟังเรื่องราวอย่างอยากรู้
เจ้าหญิงเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทุกคนฟังด้วยสีหน้าขมขื่น ความทรงจำอันเลวร้ายหวนคืนมาในห้วงความคิดอย่างเจ็บปวด ร่างบอบบางสั่นสะท้านทุกครั้งที่เล่าถึงการกระทำอันโหดร้ายของราชาภากร
ตะวันขบกรามแน่น ภาพที่เคยเห็นในความฝันหวนคืนมาในความทรงจำจนทนไม่ไหว เขาลุกพรวดเข้าไปกอดเจ้าหญิงคนงาม “หยุดเถอะ! พอเถอะครับ ไม่ต้องเล่าแล้วครับ”
เจ้าหญิงตกใจที่ถูกกอด คำพูดขาดหายไป
อารยะกับปรียามองเจ้าหญิงอย่างเห็นใจและเจ็บปวดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
เจ้าหญิงพยายามผละออกจากอ้อมแขนชายหนุ่ม
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณนึกถึงเรื่องเลวร้ายพวกนั้น ผมขอโทษจริงๆ” ตะวันพูดอย่างรู้สึกผิดและสงสาร เขากอดแน่นอย่างต้องการให้กำลังใจ “ขอบคุณเทพพระจันทร์ที่ส่งคุณมาที่นี่ แต่ผมก็ไม่เข้าใจทำไมเทพพระจันทร์ต้องเอาทิวาไปด้วย!?”
ประโยคหลังพูดอย่างโกรธเคืองเทพสาวที่พาน้องสาวร่วมโลกไป
เจ้าหญิงจันทรานิ่งงันไปเมื่อได้รับรู้ถึงความอบอุ่นในจิตใจของชายหนุ่ม จากที่พยายามกล่ำกลืนความเจ็บปวดไว้ น้ำตาค่อยๆไหลรินอาบแก้ม เสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นอย่างกลั้นไม่อยู่
ปรียารีบหยิบทิสชู่ส่งให้ พร้อมกับขยับเข้าไปจับมือเรียวนุ่มนิ่มให้กำลังใจ “ร้องออกมาเลยค่ะ ร้องซะให้พอค่ะ มันจะช่วยทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นค่ะ”
เธอเหลือบมองตะวันแล้วก็บอกว่า “จริงๆค่ะ นี่เป็นวิธีที่จิตแพทย์แนะนำมาค่ะเวลาที่เราเครียดเรากลุ้มเราเจ็บปวดกับเรื่องอะไรมากๆ หมอเขาบอกว่าการร้องไห้มันจะช่วยทำให้เรารู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้ร้องไห้ออกมาค่ะ”
เจ้าหญิงจันทรากุมมือหญิงสาวไว้แน่น หันหน้าซุกอกอุ่นร้องไห้หนักยิ่งกว่าเดิม
ตะวันรีบลูบหลังคนในอ้อมกอดปลอบประโลม “ไม่เป็นไรนะครับ ที่นี่ปลอดภัย ไม่มีใครมาทำอะไรคุณได้ทั้งนั้น ผมจะปกป้องคุณเอง”
คำท้ายหนักแน่นดั่งให้สัญญา
อารยะได้ยินก็จ้องหน้าเพื่อนรักคล้ายจะแซวอยู่ในที
ตะวันเหลือบมองเพื่อนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้แล้วก้มลงพูดปลอบคนในอ้อมกอด “ไม่เป็นไรนะครับๆ”
อ้อยได้ยินเสียงคนร้องไห้ก็รีบออกไปดู “อ้าว…คุณจันร้องไห้อีกแล้ว”
แต่เมื่อเห็นว่าบรรดาเจ้านายนั่งปลอบอยู่ก็เดินกลับเข้าไปทำงานตามเดิม
“ไม่รู้คุณจันร้องไห้เพราะอะไร สงสัยโดนแฟนซ้อมมาแหงๆถึงได้หนีมาอยู่ที่นี่ แฟนคุณจันก็โหดเกิ๊นนนนน…ดูซิผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนั้นมันยังซ้อมได้ลงคอ เป็นผัวกูหน่อยไม่ได้กูจะเอาอีโต้สับซะให้! แมร่ง! อย่าให้กูเจอเชียวไอ้ผู้ชายหน้าตัวเมียแบบนี้น่ะ กูจะสับๆๆๆๆๆ ให้เละเลยเชียว! ฮึ่ม!” เธอพูดไปก็จัดจานชามวางใส่ถาดตามแรงอารมณ์
เสียงสะอื้นค่อยๆ แผ่วลงๆ จนเงียบหายไป ร่างบางค่อยๆดันตัวออกจากอ้อมกอด ปาดน้ำตาอย่างอายๆทุกคน
ปรียาเห็นท่าทางหญิงสาวก็มองอย่างเข้าใจจึงชวนว่า “ไปล้างหน้าดีกว่าค่ะ”
เจ้าหญิงจันทราพยักหน้ารับ ก้มหน้าหลบสายตาสองหนุ่มด้วยความอาย
ปรียาลุกขึ้น ดึงฉุดเจ้าหญิงให้ลุกไปด้วยกัน “มาค่ะ”
เจ้าหญิงจันทราเดินตามไปด้วยความอายที่แสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น
สองหนุ่มมองตามสองสาวไป ตะวันขยับไปนั่งข้างเพื่อนรักสีหน้าเคร่งเครียด ได้แต่ภาวนาในใจว่าขออย่าให้ทิวาต้องเจออย่างเธอเลย เขาได้แต่ภาวนาอยู่ในใจอย่างนั้นไม่กล้าพูดให้เพื่อนรักไม่สบายใจไปอีกคน
พลัน! เขาก็ได้ยินเสียงว่า “ไม่ต้องห่วงนางหรอกเจ้าหนุ่ม พี่ข้าคอยพิทักษ์นางอยู่”
เขาหันขวับ! “เมื่อกี้แกว่าอะไรนะ?”
อารยะทำหน้างง “อะไร ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย”
“ข้า…เทพีจันทรา เจ้าเท่านั้นที่ได้ยินเสียงของข้า”
ตะวันทำหน้าตื่น
“เจ้าไม่ต้องห่วงนางผู้นั้นหรอก พี่ข้าพิทักษ์นางไม่ให้ราชาหนุ่มน้อยรังแกได้หรอก” สิ้นเสียงหวานก็ตามด้วยเสียงหัวเราะแผ่วๆ แล้วจางหายไป
ตะวันนั่งแคะหูตัวเองทั้งสองข้างแถมตบเบาๆ
จนอารยะได้แต่มองอย่างสงสัย “แมงเข้าหูเหรอ?”
ตะวันส่ายหน้า “เปล่า”
แล้วเขาก็เลิกตบหูตัวเอง
ปรียาจูงมือเจ้าหญิงจันทราออกมาพอดี เธอพาเจ้าหญิงคนงามไปนั่งที่เดิมแล้วก็หันไปถามอารยะว่า “แล้วนี่คุณจะไปทำงานวันไหนคะ? อ่อ แล้วคุณทำงานอะไรเหรอ? หรือว่าคุณทำงานกับคุณวันคะ?”
อารยะอึ้งไปที่จู่ๆ ก็เจอคำถามเป็นชุด
“คือไอ้ยะมันเป็นพนักงานไอทีของบริษัทไอบีเอ็มน่ะครับ ที่ทำงานมันอยู่แถวพญาไทนี่เอง” ตะวันตอบแทนเพื่อนรัก แล้วเขาก็หันไปถามเพื่อนรักว่า “พรุ่งนี้แกก็ต้องเข้าไปเคลียร์งานที่ออฟฟิตใช่ป่ะ?”
“เออ” อารยะพยักหน้ารับ
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ตอนกลางวันคุณไปทานข้าวเป็นเพื่อนปรีด้วยนะคะ” ปรียาบอกแบบบังคับ
อารยะทำหน้างง “พรุ่งนี้ผมไม่แน่ใจว่าจะว่างรึเปล่า”
“ไม่ว่างก็ต้องว่างแหละค่ะ ก็ไหนคุณบอกว่าจะเป็นไม้กันหมาให้ไง” สาวมาดมั่นยกคำพูดเขามาอ้าง
อารยะเกาหัวแกรกๆ ทำหน้าไม่ถูกที่คำพูดที่เคยพูดไว้ถูกยกมาบังคับกันหน้าตาเฉย
“ถ้างั้นคุณปรียาก็ไปทานมื้อกลางวันใกล้ๆ กับที่ทำงานไอ้ยะพรุ่งนี้ซิครับ อย่างคุณไปได้สบายอยู่แล้วนี่ครับ” ตะวันเสนอทางออกให้เพื่อน
“งั้นก็ตกลงตามนี้นะคะ” ปรียาตกลงเสร็จสรรพ หันไปขยิบตาให้ตะวันอย่างขอบคุณ
อ้อยเดินเข้ามา “คุณๆ คะ อาหารตั้งโต๊ะแล้วค่ะ”
ตะวันพยักหน้า “ขอบคุณครับป้า” แล้วก็หันไปพูดกับเจ้าหญิงจันทราว่า “เชิญที่โต๊ะเลยครับ เชิญคุณปรียาด้วยนะครับ”
เขาออกตัวเชิญแทนเจ้าของบ้านซึ่งกำลังนั่งงงที่จู่ๆ ก็โดนมัดมือชกมีนัดทานข้าวขึ้นมาปุ๊บปั๊บซะงั้น
“ไปซิไอ้ยะ พาคุณปรียาไปที่โต๊ะซิว่ะ” ตะวันตบไหล่เพื่อนบุ้ยปากไปทางสาวไฮโซ
“อ่อ…เชิญครับคุณปรียา” อารยะลุกขึ้นยืนท่าทางเงอะงะนิดหน่อยเพราะยังงงๆ ไม่หาย
“ขอบคุณค่ะ” ปรียายิ้มให้แล้วก็หันไปจับมือเจ้าหญิงคนงามให้ลุกไปด้วยกัน
“ไปค่ะ ไปทานข้าวกันดีกว่าค่ะ” เธอบอกอย่างถือสนิท
เจ้าหญิงจันทราลุกตามแรงฉุดอย่างงงๆที่จู่ๆ หญิงสาวผู้นี้ก็ทำท่าสนิทสนมด้วยเหมือนดั่งว่ารู้จักมักจี่กันมาตั้งแต่วัยเยาว์
ทั้งสี่เดินไปที่โต๊ะอาหารโดยไม่ได้รู้เลยว่าตรงนอกรั้วมีสายตาคู่หนึ่งแอบมองอยู่
ภาสกรหรี่ตามองอย่างสงสัย “นั่นมันไอ้ตะวันนี่น่า แล้วผู้หญิงอีกคนเป็นใครกันวะ?”
หนุ่มหล่อมาดเนี้ยบยืนแอบมองอยู่อย่างนั้นจนกระทั้งคนทั้งสี่เดินไปด้านหลังบ้าน
เขาเดินกลับไปที่รถ แล้วนั่งคิดหนัก “อย่าบอกนะว่าไอ้ตะวันมันกำลังคิดจะคั่วคุณปรี กูไม่ยอมแน่!”
หน้าหล่อถมึงทึงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็นั่งรออยู่อย่างนั้น
สี่หนุ่มสาวนั่งทานอาหารกันไปคุยกันไป
ยกเว้นเจ้าหญิงคนงามที่ได้แต่นั่งฟังคนอื่นคุยกันเพราะไม่รู้จะคุยอะไรกับพวกเขา
หลังทานอาหารเสร็จแล้วเจ้าหญิงจันทราก็แยกตัวเข้าห้องไป ตะวันกับปรียาจึงลาเจ้าของบ้าน
อารยะเดินไปส่งแขกหน้าบ้าน “ขับรถกลับดีๆนะครับคุณปรี”
ปรียาพยักหน้ารับแล้วก็มองตะวัน “อ้าว…แล้วนี่คุณกลับยังไงคะ”
“ผมก็เดินไปขึ้นรถไฟฟ้าซิครับ แค่นี้เอง” ตะวันบอกแล้วก็จะเดินไป
ปรียารีบเรียก “เดี๋ยวค่ะคุณตะวัน ถ้างั้นปรีไปส่งค่ะ”
“ไม่ล่ะครับ เกรงใจ” ตะวันบอกแล้วก็หันหน้าไป