Skip to content

พลิกปฐพี 90-1

ตอนที่ 90-1

สารพัดวิธีรนหาที่ตาย คงมิอาจห้ามได้!

“เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไรหรือ?”

นํ้าเสียงเย็นชาไม่แยแส ทำให้ป๋ายซีเยวี่ยใจกระตุก นอกเหนือจากความปวดร้าวแล้ว ความเกลียดชังภายในใจก็เพิ่มพูนมากขึ้นเรื่อยๆ

มีฉากบังลมฉากหนึ่งกั้นไว้ทำให้นางเห็นเพียงแค่เงาอันสูงโปร่ง เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้คนอื่นสงสัย จึงทำให้ไม่สามารถเจอหน้ากันได้ขนาดนี้เชียวหรือ?

ป๋ายซีเยวี่ยกัดปากด้วยความรู้สึกที่สับสนสุมอยู่เต็มทรวงอก อีกด้านหนึ่งของฉากกั้นกลับพูดอย่างเหลืออดว่า “มีเรื่องอะไรกันแน่”

ป๋ายซีเยวี่ยเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหัน ความทุกข์ในแววตาชวนให้คนรู้สึกสงสาร แต่ว่ากลับไม่มีผู้ใดมองเห็นมัน

นางพูดด้วยนํ้าเสียงอันอ่อนโยนว่า “ฝ่าบาท มู่ชิงเกอกลับจวนแล้วเพคะ”

“ข้ารู้แล้ว” ฉินจิ่นห้าวตอบกลับอย่างเย็นชา เขาเห็นกับตาว่ามู่ชิงเกอกลับแคว้นมาอย่างยิ่งใหญ่มากเพียงใด เมื่อเทียบกับจอมเสเพลเมื่อสิบเดือนก่อนหน้านี้แล้ว ช่างแตกต่างกันราวกับเป็นคนละคน

ทหารองครักษ์พวกนั้น ก็ไม่เหมือนกับพวกไร้ค่าที่ตายในที่ราบลั่วรื่อ กลับครอบครองอาชาเพลิงที่เป็นถึงสัตว์วิญญาณไว้เป็นพาหนะ

เขาที่เป็นถึงองค์ชาย ยังไม่มีความโชคดีเช่นนั้น

อาชาเพลิงห้าตัวที่มู่ซงถวายให้ เสด็จพ่อพอพระทัยเป็นอย่างมากและไม่มีความคิดที่จะประทานให้ผู้ใดเป็นแน่ แต่มู่ชิงเกอล่ะไม่เพียงแต่มีอาชาเพลิงที่สง่างามกว่าห้าตัวนั้น ทหารองครักษ์ของเขาล้วนแต่มีอาชาเพลิงเอาไว้ขี่ ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่สัตว์วิญญาณเช่นอาชาเพลิงเชื่อฟังคำพูดของมนุษย์ และยินยอมให้ขี่หลัง?

ในใจของฉินจิ่นห้าวเต็มไปด้วยความสับสน ทำให้สีหน้าของเขาแย่ลงกว่าเดิม

และยิ่งไม่พอใจกับข่าวนี้ของป๋ายซีเยวี่ยมากขึ้นกว่าเดิม จึงกล่าวตำหนิว่า “เจ้ามาหาข้า เพียงเพราะเรื่องแค่นี้อย่างนั้นหรือ”

เมื่อสัมผัสถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของฉินจิ่นห้าว ป๋ายซีเยวี่ยก็รีบพูดว่า “ไม่ ไม่ ซีเยวี่ยมีเรื่องที่สำคัญกว่านั้นจะมากราบทูลพระองค์’

“พูดมา” ฉินจิ่นห้าวพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ ในนํ้าเสียงนั้นไม่มีการคาดหวังอันใดเลย ราวกับว่าได้ ผิดหวังกับเรื่องที่ป๋ายซีเยวี่ยทำจนถึงขีดสุดแล้ว

แววตาของป๋ายซีเยวี่ยมีแววเกลียดชังอย่างลึกลํ้าวาบผ่าน

แต่ทว่า ความเกลียดชังนั้นไม่ได้เกิดขึ้นเพราะฉินจิ่นห้าว แต่เป็นเพราะตระกูลมู่

“ฝ่าบาท มู่ชิงเกอกลับมาแล้ว สามวันให้หลังตระกูลจะจัดพิธีสวมหมวกให้เขา หากพระองค์ทรงอยากจะจัดการตระกูลมู่ในสิ้นในคราเดียว ซีเยวี่ยมีวิธี” ป๋ายซีเยวี่ยพูดด้วยนํ้าเสียงอันอ่อนโยน คำพูดนี้ในที่สุดก็ได้ดึงดูดความสนใจจากฉินจิ่นห้าวมาได้

หากสิ้นตระกูลมู่แล้ว ทั้งหมดที่เป็นของตระกูลมู่รวมทั้งทุกอย่างที่เป็นของมู่ชิงเกอ ก็จะตกเป็นของเขาแล้วมิใช่หรือ?

“ลองพูดมาสิ”

เมื่อป๋ายซีเยวี่ยสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นในนํ้าเสียง ก็พูดด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า “ฝ่าบาท ทรงลองคิดดู หากวันที่มู่ชิงเกอเข้าพิธีสวมหมวก ท่ามกลางสายตา มากมายที่จับจ้อง เกิดมีคนพบหลักฐานที่ตระกูลมู่และแคว้นถูร่วมมือกัน จะเป็นเช่นไร”

“โง่! หรือว่าเจ้าไม่รู้ว่าราชทูตแคว้นถูอยู่ในลั่วตูรึ?” ฉินจิ่นห้าวกล่าวตำหนิ

ป๋ายซีเยวี่ยกลับพูดต่ออีกว่า : “ฝ่าบาท ก็เพราะว่าทูตแคว้นถูอยู่ในลั่วตูจึงจะทำให้ตระกูลมู่ดิ้นไม่หลุด ชื่อเสียงของมู่ซงนั้นแคว้นถูเองก็เกรงกลัวมาก พวกเขาจะ ไม่ปล่อยโอกาสในการจัดการกับมู่ซงไปง่ายๆ เป็นแน่ พวกเขาจะไม่เอาตัวรอดเป็นอันขาด แต่จะคอยช่วยสนับสนุนให้ฮ่องเต้เชื่อว่ามู่ซงติดต่อกับแคว้นถู อีกอย่าง ฮ่องเต้เพียงแค่ต้องการเหตุผลที่จะโค่นล้มตระกูลมู่ จะจริงหรือเท็จนั้น จะมีสักกี่คนกันที่จะสนใจ?”

ฉินจิ่นห้าวเงียบ ราวกับว่ากำลังคิดทบทวนความเป็นไปได้ในแผนการของป๋ายซีเยวี่ย

เมื่อรู้สึกว่าฉินจิ่นห้าวเริ่มหวั่นไหว ป๋ายซีเยวี่ยจึงพูดเสริมอีกว่า “หากตระกูลมู่ล่มสลาย มู่ซงเป็นกบฏต่อแผ่นดิน หากอยากจะล้างมลทินนี้ก็ต้องทำตามคำตัดสินในท้องพระโรง เวลานั้นทหารตระกูลมู่ก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของท่านมิใช่หรือ อีกอย่างท่านช่วยฮ่องเต้จัดการปัญหาที่ค้างคาพระทัยมานาน ก็จะไค้รับการให้ความสำคัญจากฮ่องเต้มากยิ่งขึ้น ถึงตอนนั้นยังต้องกังวลอีกหรือว่างานใหญ่จะไม่สำเร็จ?”

ในอีกด้านหนึ่งของฉากกั้น เงียบไปครู่ใหญ่

สักพัก เสียงอันอบอุ่นของฉินจิ่นห้าวจึงดังขึ้นอีกครั้ง “ถ้าเช่นนั้น เรื่องนี้ข้ามอบให้เจ้าเป็นคนจัดการ”

เมื่อได้รับคำตอบดั่งที่ใจต้องการ ป๋ายซีเยวี่ยจึงจากไปพร้อมกับความตื่นเต้นภายในใจ ราวกับว่าในสายตาของผู้อื่นตระกูลมู่ที่ยิ่งใหญ่ หากสามารถล่ม สลายได้เพราะแผนการของนางจะทำให้นางมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

แต่ทว่า นางกลับไม่รู้ว่าฉินจิ่นห้าวยังมีการวางแผนไว้อีกขั้นหนึ่ง

แน่นอนว่า ในตอนแรก เขาหวั่นไหวกับแผนการนี้ แต่ทว่า สุดท้ายก็สงบใจได้และคิดทบทวนอย่างรอบคอบ รอบหนึ่ง

ตระกูลมู่นั้นจะล่มสลายเพียงเพราะข้อหาเป็นกบฏจริงๆ หรือ หากบอกว่ามู่ซงคิดร่วมมือกับแคว้นถู ใครจะเชื่อ? ไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนต่อหน้าคนทั้งใต้หล้า ฮ่องเต้เองก็คงไม่กล้าตัดสินส่งเดชแน่

กลับกัน แคว้นฉินต่างหากที่จะวุ่นวาย!

ป๋ายซีเยวี่ยคิดว่าเรื่องราวทุกอย่างจะง่ายเพียงนั้นเลยหรือ

แต่ว่า เขาก็ยังเห็นด้วยกับการกระทำของนาง เพราะเขาต้องการความซาบซึ้งใจจากตระกูลมู่ หากป๋ายซีเยวี่ยใส่ความแล้วเขาสามารถทำให้มู่ซงพ้นจากความผิดได้ ถึงตอนนั้น ตระกูลมู่ก็จะเป็นหนี้บุญคุณเขามิใช่หรือ?

เมื่อถึงวันตัดสินแพ้ชนะกับรัชทายาท เขาก็จะใช้หนี้บุญคุณนี้ให้เป็นประโยชน์

อีกอย่าง เขาไม่ลืมว่าทางตระกูลมู่และรัชทายาทตระกูลหานนั้นมีหนี้เลือดกันอยู่

ป๋ายซีเยวี่ยช่างโง่เขลาและคิดเองเออเอง คิดว่าตนเองฉลาดไร้ที่เปรียบอย่างนั้นหรือ ที่จะสามารถเล่นงานใครได้ง่ายๆ

ฉินจิ่นห้าวหัวเราะเสียงเย็นเสียงหนึ่ง หันหลังเดินออกจากห้องที่นัดพบกัน

เมื่อมู่ชิงเกอกลับถึงจวนตระกูลมู่ก็ย่างสู่เข้ายามวิกาลแล้ว

หลังจากที่รับประทานอาหารกับท่านปู่และท่านอาเสร็จเรียบร้อย นางก็ไปห้องหนังสือกับมู่ซง

“ชิงเกอ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าคณะทูตของแคว้นถูที่มาในคราวนี้เป็นใคร?” ยังไม่ทันได้นั่ง มู่ซงก็พูดขึ้นในทันที

มู่ชิงเกออึ้งไปราวกับว่า ยังไม่กระจ่างว่าเหตุใดท่านปู่จึงพูดถึงคณะทูตจากแคว้นถู แต่ก็ตอบกลับไปว่า “เหมือนจะมีหมานอ๋องเป็นผู้นำ”

มู่ซงพยักหน้า นั่งลงไปบนเก้าอี้กลมหลังโต๊ะหนังสือ พลางพึมพำว่า “ หมานอ๋องเป็นราชนิกูลชั้นอาวุโสของแคว้นถู เป็นน้องชายแท้ๆ ของฮ่องเต้แคว้นถู เป็นพระปิตุลาที่สนิทกับรัชทายาทแคว้นถูมากที่สุด คราวนี้หมานอ๋องมาเยือนแคว้นฉินด้วยตัวเอง เกรงว่าองค์หญิงแห่งแคว้นฉินของเราคงหนีไม่พ้นการอภิเษกสมรสเป็นแน่”

มู่ชิงเกอรู้สึกฉงนใจ พลางถามว่า “แคว้นฉินและแคว้นถูนั้นทำสงครามกันอยู่บ่อยครั้ง จู่ๆ เหตุใดถึงคิดจะแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์กันเล่า?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!