ตอนที่ 116-2
บททดสอบการเข้าสู่โรงโอสถ
เตียวหยวนยังคงนั่งอยู่ตรงที่เดิม ซึ่งก็บ่งบอกว่าเขาต้องการคำอธิบายที่เป็นที่พอใจจากฟ่งอวี๋กุย
แต่ว่า ฟ่งอวี๋กุยควรจะอธิบายอย่างไร
พูดความจริงอย่างนั้นหรือ ให้ตายเขาก็คงไม่ยอมรับว่าตนเองเคยแอบอ้างเอายาของคนอื่นเป็นของตนเอง
ทันใดนั้น ตาเขาก็พลันเป็นประกายและพูดกับเตียวหยวนว่า “ศิษย์พี่เตียว คุณชายมู่ท่านนี้ก็เป็นนักปรุงยาฝีมือดี ได้ยินมาว่า เขาเคยปรุงยาระดับสูงมาแล้ว”
เขาคิดหาทางออกที่ดีได้แล้ว นั้นก็คือการเบี่ยงเบนความสนใจไปที่มู่ชิงเกอ
เตียวหยวนเองก็เป็นไปตามที่เขาหวังเอาไว้ เคลื่อนสายตาไปหยุดที่มู่ชิงเกอ แววตาที่ดุดันนั้น ราวกับกำลังพินิจมู่ชิงเกอจากภายในสู่ภายนอก
ฟ่งอวี๋กุยแอบได้ใจ อยากจะรู้ว่ามู่ชิงเกอจะทำอย่างไรต่อไป
หากว่าเขายอมรับ ก็จะเป็นการทำให้คนผู้นี้ไม่พอใจ ก่อนจะได้เข้าสู่โรงโอสถ อาจจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในโรงโอสถ หากว่าไม่ยอมรับทั้งมู่ชิงเกอและตนเองก็ไม่มีใครดีไปกว่ากัน ใครก็ไม่อาจประจบเอาใจเขาได้
แต่ว่า เขากลับลืมไปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่คิดจะเอาใจเตียนหยวนเช่นเขา ที่อยากจะเป็นคนของหัวหน้าโรงโอสถ
คำพูดของฟ่งอวี๋กุย ทำให้มู่ชิงเกอยิ้มอย่างเย็นเยียบทีหนึ่ง ท่าทางเช่นนั้น ไม่อาจจะคาดเดาได้ว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับ
สายตาของเตียวหยวนทั้งโหดเหี้ยมและเย็นเยียบ แอบแฝงความริษยา พลันเคลื่อนสายตาไปถาม “เจ้าสามารถปรุงยาระดับสูงได้อย่างนั้นหรือ”
“จะใช่หรือไม่ ข้าต้องรายงานเจ้าด้วยหรือ ที่ข้ามาในวันนี้ เพียงแค่อยากจะเห็นยาระดับสูงที่อยู่ในครอบครองขององค์ชายสาม องค์ชายสามทรงมีพระปรีชา สามารถมากถึงเพียงนี้ คิดว่าหลังจากเข้าไปอยู่ในโรงโอสถแล้ว จะต้องโดดเด่นและประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน หากไม่คว้าโอกาสครั้งนี้เอาไว้ คงยากที่จะพบโอกาสที่เหมาะสมเช่นนี้อีก” มู่ชิงเกอพูดจบพลันหันไปมองฟ่งอวี๋กุย
งานเลี้ยงที่อุตส่าห์จัดขึ้น ได้ถูกมู่ชิงเกอทำลายลง ฟ่งอวี๋กุยโกรธจนอยากจะเอาชีวิตคน
ในตอนนี้ ยังจะมาคาดคั้นเอาความ กลั่นแกล้งกันเกินไปแล้วนะ!
“คนแซ่มู่ เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่” ฟ่งอวี๋กุยพูดระคนโกรธ
รอยยิ้มตรงมุมปากของมู่ชิงเกอยังคงปรากฏอยู่ ในดวงตาอันสดใสสาดฉายความเย็นเยียบ “ข้าคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ ข้าคิดว่าเรื่องนี้องค์ชายสามทรงรู้อยู่แก่พระทัย”
ฟ่งอวี๋กุยตกใจ พลันเคลื่อนสายตามองอีกคนที่ดูโกรธเคืองก็กระจ่างทุกอย่างในทันที
ในขณะนั้นเอง เตียวหยวนก็พลันลุกขึ้นยืน พูดกับมู่ชิงเกอว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่คู่ควรจะรู้ระดับความสามารถในการปรุงยาของเจ้าหรือ”
มู่ชิงเกอไม่แม้กระทั่งจะสนใจเขา เพียงมองฟงอวี๋กุยอย่างเย็นชาพลางพูดว่า “องค์ชายสาม ดูเหมือนว่าวันนี้ข้าจะไม่มีโอกาสได้เห็นความสามารถของท่านแล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ขอลาก่อน แล้วเราค่อยพบกันในวันหน้า อีกประการหนึ่ง ขอกล่าวอะไรสักอย่าง ทำเช่นไรเอาไว้ย่อมได้รับผลตอบแทนเช่นนั้น”
พูดจบ นางก็สั่งคนแจวเรือให้กลับเรือและพายกลับฝั่งไป
มู่ชิงเกอจากไปแล้ว งานเลี้ยงของฟ่งอวี๋กุยเองก็พังลงแล้วเช่นกัน
โชคดีที่ว่า ยังเหลือเตียวหยวนอยู่อีกคน
แต่ว่า ในขณะที่ฟ่งอวี๋กุยกำลังจะอธิบาย เขากลับอุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง พลันสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป อย่างไม่ไว้หน้า
ฟ่งอวี๋กุยยืนอยู่กับที่ ในใจพลันรู้สึกว่าตนเองกำลังคิดจะมาหาโอกาสแต่สุดท้ายกลับเป็นคนที่เสียเปรียบแทน!
“มู่เกอ เราจะปล่อยเขาไปเช่นนี้เลยหรือ” หลังจากที่เรือลำเล็กแล่นออกไปไกล เว่ยกว่านกว่านก็พูดอย่างไม่ยินยอมเท่าไหร่นัก
มู่ชิงเกอหันไปมองนาง พลันพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าเช่นนั้น เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
เว่ยกว่านกว่านตอบว่า “ข้าคิดว่าท่านจะประลองการปรุงยาและเปิดโปงเขาเสียอีก”
ตรงมุมปากของมู่ชิงเกอมีรอยยิ้มจางๆ ประดับอยู่ “เปิดโปงแล้วอย่างไร บางทีความคลุมเครือเช่นนี้ต่างหากที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า”
“เหตุใดข้าจึงฟังไม่เข้าใจ” เว่ยกว่านกว่านขมวดคิ้วถาม
มู่ชิงเกอกลับไม่อธิบาย เพียงพูดกับเว่ยฉีว่า “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้กระจายข่าวที่ว่าฟ่งอวี๋กุยมีความสามารถในการปรุงยาระดับสูงออกไป กระจายออกไป ยิ่งมากยิ่งได้ผลดี”
เว่ยฉีมองมู่ชิงเกออย่างฉงน แต่ก็ไม่ได้ถามอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับคำสั่ง
เว่ยกว่านกว่านกลับไม่สนใจและถามต่อว่า “เหตุใด จึงได้ทำเช่นนี้ การทำเช่นนี้จะยิ่งเป็นการสร้างชื่อเสียงให้เขามิใช่หรือ”
“สร้างชื่อเสียงอย่างนั้นหรือ เขาต้องปรุงยาระดับสูงให้ได้เสียก่อนจึงจะเป็นการสร้างชื่อเสียง” มู่ชิงเกอยิ้มเยาะ “หาเรื่องให้เขาทำเสียหน่อย จะได้ใม่มีเวลาเหลือมาหาเรื่องข้า”
นางจะประคองฟ่งอวี๋กุยให้ขึ้นไปสู่จุดที่สูงที่สุดเช่นนี้ หากล้มลงจึงจะเจ็บที่สุด
หากเรื่องที่ฟ่งอวี๋กุยมีความสามารถในการปรุงยาระดับสูงถูกเปิดเผยออกไป แน่นอนว่าจะสร้างความสนใจกับคนที่อยู่เบื้องบนของโรงโอสถ ถึงตอนนั้น นางอยากจะรู้ว่าฟ่งอวี๋กุยจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร หากจะหน้าด้านยอมรับ นางก็จะหาโอกาสอันเหมาะสมเล่นงานเขาให้เขาไม่มีที่ยืนในแคว้นอวี๋ และไม่มีหน้ากลับไปยังแคว้นลี่
เขาหวังในตำแหน่งผู้ครองแคว้นมาตลอดมิใช่หรือ หากว่าชื่อเสียงแปดเปื้อน องค์ชายที่มีชื่อเสียงในทางที่ไม่ดีเช่นนี้จะสืบทอดบัลลังก์ได้อย่างไรเล่า
“วิธีการของมู่เกอนั้นดีแล้ว” สุ่ยหลิงที่เงียบมาครู่หนึ่ง พูดขึ้นอย่างกะทันหัน
เมื่อเห็นทุกคนจับจ้อง นางจึงพูดต่อว่า “พวกเจ้ารู้จักผู้ที่เราพบเมื่อครู่นี้หรือไม่”
ใบหน้าของพี่น้องตระกูลเว่ยดูงุนงงสงสัย มู่ชิงเกอยังคงนิ่งเฉย จนไม่อาจจะคาดเดาความรู้สึกได้
สุ่ยหลิงเม้มริมฝีปากพลันพูดว่า “หากว่าข้าเดาไม่ผิด ทั้งสี่คนคงจะเป็นสี่อันดับแนวหน้าที่นิยมของโรงโอสถ นอกจากเหมยจื่อจ้งที่เป็นอันดับหนึ่งไม่อยู่แล้ว อีกสี่คนล้วนอยู่หมด”
“อันดับที่เป็นที่นิยมแห่งโรงโอสถ? คือสิ่งใดกัน” เว่ยกว่านกว่านถามด้วยความสงสัย
เว่ยฉีเองก็มองสุ่ยหลิงด้วยความแปลกใจและหวังให้นางอธิบาย
สุ่ยหลิงมองมู่ชิงเกอแวบหนึ่ง เมื่อเห็นว่านางยังคงไม่ให้ความสนใจ ในขณะที่นางยังไม่เข้าใจในความคิดของมู่ชิงเกอ จึงพูดว่า “อันดับความนิยมแห่งโรงโอสถที่ว่านี้ คือการจัดอันดับโดยรวมของโรงโอสถ โดยปกติ แล้วจะวัดจากความสามารถในการปรุงยาและพลังเวท จะมีเพียงสิบอันดับ ห้าอันดับแรกมั่นคงไม่มีการเปลี่ยนแปลงมานานปี หากแต่ห้าอันดับหลังยังคงเปลี่ยนคนไปเรื่อยๆ ได้ยินมาว่า ผู้ที่ได้รับการจัดอันดับ ล้วนเป็นบุคคลสำคัญของโรงโอสถ และยังได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงของทุกๆ แคว้น สามคนที่จากไปเมื่อครู่นี้ หากข้าเดาไม่ผิด เห็นจะเป็นซางจื่อซูที่อยู่ในอันดับสาม จ้าวหนานซิงที่อยู่ในอันดับสี่และจูหลิงที่อยู่ในอันดับห้า คนที่จากไปเป็นคนสุดท้าย น่าจะเป็นเตียนหยวนที่อยู่ในอันดับสองหมื่นปี”
“อ่าๆๆ เหตุจึงเรียกเขาว่าอันดับสองหมื่นปี” เว่ยกว่านกว่านพูดพร้อมเสียงหัวเราะที่กลั้นเอาไม่อยู่
สุ่ยหลิงส่ายหน้าราวกับตนเองเป็นครึ่งเทพ หรี่ตาทั้งสองข้างลงและพูดว่า “เพราะว่า เตียวหยวนและเหมยจื่อจ้งราวกับจะเข้าสู่โรงโอสถในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ความสามารถของทั้งสองแทบจะอยู่ในระดับเดียวกัน และต่างฝากตัวเป็นศิษย์ของปรมาจารย์การปรุงยาระดับสูงทั้งสองแห่งแคว้นอันดับสาม ทั้งสองราวกับจะวิ่งอยู่บนทางเดียวกัน ทว่า ไม่ว่าเตียวหยวนจะพยายามมากเพียงใด เขาก็ยังคงถูกจัดอยู่ในอันดับที่ต่ำกว่าเหมยจื่อจ้ง นานไปก็ได้กลายเป็นที่มาของฉายาที่ว่านี้”
“เหตุใดเจ้าจึงได้รู้ดีมากถึงเพียงนี้” เว่ยกว่านกว่านมองสุ่ยหลิงด้วยแววตาที่นับถืออย่างเต็มเปี่ยม สุ่ยหลิงพูดอย่างได้ใจว่า “แน่นอนสิ! ข้าเป็นใคร การอยู่ซางจื่อหลายวันนี้ไม่ถือว่าเปล่าประโยชน์” พูดจบ นางก็หันไปมองมู่ชิงเกอ และถามด้วยท่าทางราวกับเป็นเด็กที่กำลังอ้อนผู้ใหญ่ “มู่เกอ ท่านคิดว่าข้าเก่งหรือไม่”
ฉากตรงหน้านี้ ทำให้ฟู่เทียนหลงเกิดไม่พอใจขึ้นในทันที ทว่ามู่ชิงเกอเพียงแค่กระตุกยิ้มบาง ๆ และไม่ได้ตอบโต้อะไร
ท่าทางของสุ่ยหลิงดูผิดหวัง นางราวกับจะดูออกว่ามู่ชิงเกอระแวงในตัวนาง
“เพราะฉะนั้น ต่อหน้าคนยโสเหล่านี้ เราก็ถือว่าได้เล่นงานฟ่งอวี๋กุยอย่างสาสม ทำให้เขาได้สวมบทบาทผู้มีความสามารถ รอดูว่าเขาจะอธิบายอย่างไรต่อไป” สุ่ยหลิงรีบพูดต่อในประเด็นนี้
เว่ยฉีกระจ่างทุกเรื่องราวในทันที “หากมู่เกอท้าฟ่งอวี๋กุยประลองฝีมือการปรุงยา เขาไม่ใช่คู่แข่งของมู่เกอเป็นแน่ แต่หากเป็นเช่นนี้ก็จะเป็นการเปิดเผยความสามารถที่แท้จริงของมู่เกอต่อหน้าคนเย่อหยิ่งเหล่านั้น ยิ่งไปกว่า นั้นคือทำให้ฟ่งอวี๋กุยรอดพ้นจากเรื่องนี้”
“เช่นนี้แหละ!” สุ่ยหลิงมองเว่ยฉีด้วยสายตาที่ราวกับกำลังบอกว่า ‘ความจริงแล้วเจ้าก็ไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้นนี่’