Skip to content

พลิกปฐพี 125-3

ตอนที่ 125-3

ยาของข้าจะกินฟรีอย่างนั้นหรือ

นางเรียกซางจื่อซูเอาไว้และถามว่า “ในใจของศิษย์พี่ซางคิดว่าควรจะตอบแทนอย่างไรจึงจะยุติธรรมสำหรับเราทั้งสอง”

ซางจื่อซูหันหลังกลับไป ก้มสายตาลงคิดครู่หนึ่ง “ข้าสามารถปรุงยาให้กับตระกูลของศิษย์น้องมู่เป็นเวลาสามปีโดยไม่ต้องการผลตอบแทนและทำตามคำขออีกหนึ่งข้อ แต่คำขอนั้นต้องไม่ฝืนใจข้า”

มู่ชิงเกอเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดพร้อมถอนหายใจว่า “ศิษย์พี่ซาง การตอบแทนในครั้งนี้มันมากเกินไป ทำให้ข้ารู้สึกอึดอัด เราลองเปลี่ยนข้อตกลงกันใหม่ดีหรือไม่”

ซางจื่อซูเงยสายตาขึ้นมองมู่ชิงเกอและคิดทบทวนก่อนจะพูดว่า “เชิญศิษย์น้องมู่พูดก่อน”

มู่ชิงเกอจึงพูดว่า “ข้าสามารถช่วยศิษย์พี่เอาสูตรยามาได้ การตอบแทนมิต้องยุ่งยากมากนัก ขอเพียงแค่ในตอนที่ศิษย์พี่ได้รับสูตรยาแล้ว ตอบคำถามข้าข้อหนึ่งก็พอแล้ว”

ซางจื่อซูมองมู่ชิงเกออย่างตั้งใจแวบหนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์นองมู่ดูถูกข้าหรือ ได้ข้าตกลง แต่ว่า คำสัญญาที่ข้าจะช่วยตระกูลเจ้าปรุงยาจะไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแค่ยกเลิกคำสัญญาว่าจะทำตามคำขอ”

มู่ชิงเกอหลุดยิ้ม นิสัยเช่นนี้ของซางจื่อซูช่างชวนให้คนชมชอบเสียจริง หญิงสาวผู้มีหลักการ ล้วนได้ใจและได้รับความเคารพจากผู้อื่น ความเคารพเช่นนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความสวยงามภายนอกของนาง

“ได้ ขอให้ศิษย์พี่โปรดบอกชื่อ ข้าจะขึ้นไปหาบนชั้นห้าให้เดี๋ยวนี้” มู่ชิงเกอพูด ซางจื่อซูตอบอย่างช้า ๆ ว่า “ยานั้นมีชื่อว่า ยาตี้หยวนตัน เวลาการเข้าหอตำราของข้าในวันนี้หมดลงแล้ว ข้าจะรอฟังข่าวดีจากศิษย์น้องมู่อยู่ข้างนอก” พูดจบ นางก็ พยักหน้าให้มู่ชิงเกอ ก่อนจะหันหลังและเดินออกจากหอตำราไป

“ยาตี้หยวนตัน” มู่ชิงเกอทวนคำรอบหนึ่ง แล้วหันหลังและเดินขึ้นชั้นห้าไป

ในคืนนี้ มู่ชิงเกอใช้เวลาอยู่ในหอตำรา

ในตอนแรก นางอยากจะไปดูอาการของฟู่เทียนหลง แต่ทว่า พอคิดได้ว่าตอนนี้เขาอาจจะกำลังพักอยู่ และอาการไม่ได้น่าเป็นห่วง จึงเลือกที่จะอยู่ในหอตำราต่อ

วันต่อมา นางยังคงอยู่ในชั้นห้าของหอตำรา และเกือบจะลืมการนัดหมายกับซางจื่อซู

จนกระทั่งชั้นล่างมีเสียงของซางจื่อซูดังขึ้น นางจึงนึกถึงเรื่องนี้

“ศิษย์น้องมู่ เจ้ายังอยู่หรือไม่” ซางจื่อซูที่มาตามสัญญา และยืนรออยู่บนชั้นสี่ เรียกขึ้นเบา ๆ

มู่ชิงเกอเดินลงบันได เห็นแผ่นหลังอันงดงามสง่าผ่าเผยของซางจื่อซู

“ศิษย์พี่ซาง”

ซางจื่อซูหันหลังกลับมาตามเสียง หลังจากที่เห็นมู่ชิงเกอแล้ว นางก็เผยรอยยิ้มบาง ๆ

มู่ชิงเกอเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าซางจื่อซู และยื่นสูตรยาที่จดมาให้กับนาง ซางจื่อซูรับมาแล้วกวาดสายตาอย่างรวดเร็วรอบหนึ่ง จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอันน่าเย้ายวนออกมา อบอุ่นราวกับธารนํ้าแข็งพันปีที่ละลายลง

เก็บสูตรยาอย่างระมัดระวัง ซางจื่อซูพูดกับมู่ชิงเกอว่า “ขอบคุณศิษย์น้องมู่เป็นอย่างมาก ศิษย์น้องมู่มีอะไรจะถามข้า ก็ถามได้เลย”

มู่ชิงเกอรู้นิสัยของนางแล้ว จึงไม่ได้เย็นชามากนัก พลันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า : “ศิษย์พี่ซางรู้หรือไม่ว่า ที่ยอดหอแห่งสติปัญญามีอะไรอยู่” นางยังไม่ลืมว่า ที่เตียวหยวนหาเรื่องนาง เป็นเพราะของสิ่งนั้น

แต่ทว่า ‘วงแสง’ ได้เข้าไปอยู่ในร่างกายของนางแล้ว จะเอาออกมาได้อย่างไร

“ยอดหอแห่งสติปัญญาอย่างนั้นหรือ” ในสายตาของซางจื่อซูฉายความสงสัย พลันหยุดคิดครู่หนึ่ง แล้วนางพูดอย่างมั่นใจว่า “สำหรับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ข้าเองไม่รู้ แต่ทว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์กลับมาในคราวนี้ ศิษย์พี่ได้รายงานความสามารถของศิษย์น้องภายในหอแห่งสติปัญญาให้กับท่านอาจารย์ และท่านอาจารย์ก็ได้พึมพำว่า ‘สมบัติชิ้นนั้นกลายเป็นของพ่อหนุ่มนั้นอย่างนั้นหรือ ช่างโชคดีเสียเหลือเกิน’ ศิษย์พี่ถามท่านอาจารย์ว่า มันคืออะไร แต่ท่านอาจารย์กลับตอบอย่างคลุมเครือว่า สิ่งนั้นคือสมบัติอันลํ้าค่าที่หัวหน้าโรงโอสถหัวเองก็ ปรารถนา แต่กลับไม่มีวาสนาที่จะได้ครอบครอง สมบัติชิ้นนั้นมีผลดีต่อความแข็งแกร่งทางพลังจิตเป็นอย่างมาก”

พูดจบนางก็ลังเลครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างพินิจว่า “ ศิษย์น้องมู่ถามคำถามนี้กับข้าเพราะได้รับอะไรบางอย่างจากหอแห่งสติปัญญาใช่หรือไม่”

มู่ชิงเกอเผยรอยยิ้มและส่ายหน้า “ข้าไม่รู้ว่าตนเองได้รับอะไรมา แต่ว่าเตียวหยวนเคยถามข้า ทำให้ข้าสงสัยมาก” แม้ว่าจากคำพูดของซางจื่อซู นางยังคงไม่รู้ว่า ‘วง แสง’ นั้นคืออะไรแต่หากเป็นสมบัติที่มีผลดีต่อความแข็งแกร่งทางพลังจิตก็ถือว่านางตกถังข้าวสารแล้ว เหตุใดจะต้องป่าวประกาศบอกใคร ๆ ด้วย

จะว่าไป ก็มีเพียงแค่เตียวหยวนที่กำลังสร้างความลำบากใจให้กับนางก็เท่านั้น

สำหรับหัวหน้าหัวและท่านอาจารย์โหลว บางทีอาจจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่หากพวกเขารู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ก็น่าจะรู้ว่ามันได้เข้าสู่ร่างกายของนางไปแล้ว อยากจะคายก็ไม่สามารถคายออกมาได้ แม้จะฆ่านางให้ตายก็เปล่าประโยชน์

“เตียวหยวนเคยไปหาเจ้าอย่างนั้นหรือ” ซางจื่อซูรู้ว่าเตียวหยวนเคยสั่งให้ซ่งอวี้มาหาเรื่องมู่ชิงเกอ แต่กลับไม่รู้ว่าเตียวหยวนเคยไปหามู่ชิงเกอด้วยตนเอง

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ซางจื่อซูขมวดคิ้วและพูดว่า “เตียวหยวนนิสัยแปลกคน เดาอารมณ์ยากและไม่รู้จักการให้อภัยผู้อื่น ศิษย์น้องมู่จะประมาทไม่ได้ ข้าว่าเจ้ารีบหาสำนักเพื่อคุ้มกันตนเองจะดีกว่า”

และสำนักนั้น ควรเป็นสำนักที่เป็นศัตรูกับสำนักของเตียวหยวนจะดีกว่า คำพูดนี้ซางจื่อซูเก็บไว้ในใจ นางไม่หวังให้มู่ชิงเหอรู้สึกว่าที่นางมาเพื่อจะเกลี้ยกล่อมลูกศิษย์แทนอาจารย์

อย่างไรก็ตาม ในโรงโอสถแห่งนี้ มีเพียงสำนักเดียวที่เป็นศัตรูกับสำนักของหัวหน้าหัว และนั้นก็คือสำนักของพวกนางนั่นเอง

“ข้าเข้าใจ ขอบคุณศิษย์พี่มากที่เป็นห่วง ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง ที่ต้องการให้ศิษย์พี่ช่วยคลี่คลาย” มู่ชิงเกอสนใจเตียวหยวน แต่กลับถามอีกเรื่องหนึ่งที่นางเป็น กังวล “ข้าได้ยินมาว่า ที่โรงโอสถขนาดย่อยนี้ในทุก ๆ หลายปีจะมีการส่งวัตถุดิบของยาให้กับโรงโอสถกลาง ผู้ที่จะได้ไปส่งวัตถุดิบของยา จะถูกเลือกจากลูกศิษย์ในโรงโอสถ”

“เป็นเช่นนั้นจริง และปีนี้ก็เป็นปีที่จะส่งวัตถุดิบยา” คำตอบของซางจื่อซูเหมือนกับเบาะแสที่คุณตัวประหลาดเคยบอก

“ล้าเช่นนี้จะต้องมีเงื่อนไขอย่างไรจึงจะถูกเลือก” มู่ชิงเกอถามขึ้นอีก

“ศิษย์น้องมู่อยากจะไปส่งยาหรือ” อยู่ ๆ ท่าทางของซางจื่อซูก็ดูแปลกขึ้นมา

มู่ชิงเกอพยักหน้า

ซางจื่อซูเผยรอยยิ้มบาง ๆ ในทันที “ดูเหมือนว่า ศิษย์น้องมู่จำต้องเลือกสำนักให้กับตนเองจริง ๆ แล้ว”

“หมายความว่าอย่างไร” สายตาของมู่ชิงเกอเปลี่ยนไป ซางจื่อซูอธิบาย “ผู้ที่จะได้ไปส่งยาทุกครั้งมีจำกัดมาก เพื่อความยุติธรรมและเพื่อป้องกันความขัดแย้งภายใน ก่อนเดินทางโรงโอสถจะมีการจัดการแข่งขัน ผู้ที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการแข่งขันจะต้องเป็นลูกศิษย์มีอาจารย์ สำหรับลูกศิษย์ที่ไม่มีอาจารย์จะไม่มีทางถูกเลือก”

มีกฎเช่นนี้ด้วยหรือ” มู่ชิงเกอพึมพำ ซางจื่อซูพูดอีกว่า “ความจริงแล้วก็เข้าใจไม่ยาก ลูกศิษย์ที่ถูกเลือกเข้ามาในโรงโอสถแต่ละปีผู้ที่มีความสามารถล้วนถูกเรียกตัวเข้าไปในแต่ละสำนัก ที่เหลือก็เป็นผู้ที่มีความสามารถปานกลาง ผู้ที่มีความสามารถระดับสูง มีอาจารย์คอยชี้แนะ แน่นอนว่าความสามารถจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ลูกศิษย์ที่ความสามารถไม่ได้สูงอยู่แล้วตั้งแต่แรกและไม่มีอาจารย์คอยสอนเกิดและดับไปเอง ความเก่งและความด้อยก็บังเกิดขึ้น ผู้ที่จะส่งยา ไปที่โรงโอสถกลาง เป็นตัวแทนที่เป็นหน้าเป็นตาของโรงโอสถย่อย แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้เสียหน้าเพราะลูกศิษย์พวกนี้ ฟังดูเหมือนจะโหดร้าย แต่โลกแห่งความเป็น จริงมันย่อมเป็นเช่นนี้ คนเก่งอยู่รอด คนอ่อนแอพ่ายแพ้ สัตว์ที่อ่อนแอกว่า ย่อมตกเป็นเหยื่อของสัตว์ที่แข็งแรงกว่า เป็นกฎแห่งการอยู่รอด”

มู่ชิงเกอฟังแล้วไม่สามารถโต้เถียงได้ เป็นไปไม่ได้ที่นางจะไปสู้กับกฎของโรงโอสถในฐานะของลูกศิษย์ธรรมดา

สิ่งที่นางต้องการคือการเป็นหนึ่งในผู้ส่งวัตถุดิบยา เพื่อเข้าสู่อาณาจักรเซิ่งหยวน เพื่อไปหาพญาเพลิงระ ดับเทพฮุ้นหยวนที่แม่นํ้าไร้พรมแดนแห่งแคว้นหรง เพื่อ กลืนกินมันเสีย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!