Skip to content

พลิกปฐพี 127-1

ตอนที่ 127-1

ยาและพิษเป็นสิ่งเดียวกัน!

“มู่เกอ!” การปรากฏตัวของจูหลิง ทำให้เว่ยกว่านกว่าน เห็นมู่ชิงเกอ

เมื่อเห็นมู่ชิงเกอ นางก็ตาเป็นประกาย ราวกับเป็นเด็กน้อยที่เดินหลงทางแล้วพบกับแม่ในทันที ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

มู่ชิงเกอกวาดสายตาผ่านซางจื่อซูและจ้าวหนานซิง เพียงสบตากับซางจื่อซูแค่เสี้ยววินาที แต่กลับรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอันมหาศาลโดยที่ไม่ต้องพูด

เดินมาอยู่ตรงหน้าพี่น้องตระกูลเว่ย มู่ชิงเกอจึงถามว่า “พวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

ในขณะนั้นเอง นางจึงสังเกตเห็นว่าลูกศิษย์แห่งโอสถที่ล้อมกันอยู่รอบๆ ล้วนให้ความรู้สึกราวกับมีศัตรูคนเดียวกัน แน่นอนว่า มีบางส่วนเป็นเพียงแค่คนดู

“มู่เกอ ท่านมาก็ดีแล้ว ที่นี่มีคนกล้าดูหมิ่นศิษย์พี่ซาง!” เว่ยกว่านกว่านพูดกับมู่ชิงเกอด้วยความโกรธ ในอีกด้านหนึ่ง จูหลิงเองก็เบียดเข้ามาอยู่ข้างกายซางจื่อซูและถามว่า “จื่อซูเกิดอะไรขึ้น”

“ที่แท้ก็เป็นแม่นางจู” ทันใดนั้น เสียงอันเย่อหยิ่งเสียงหนึ่งก็ได้ดังขึ้น

จูหลิงหันสายตากลับไปมองเห็นชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่สวมเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของโรงโอสถ พลันเกิดความงุนงง “เจ้ารู้จักข้าอย่างนั้นหรือ”

ชายผู้นั้นยิ้มอย่างคลุมเครือ ดวงตาอันประสงค์ร้ายจ้องซางจื่อซูอีกครั้ง

จูหลิงแอบมองเขาอย่างพินิจ อยู่ๆ ความตื่นตระหนกก็เกิดขึ้น พลันเม้มปากแน่นมองซางจื่อซู นัยน์ตาฉายความระมัดระวัง

“เขาเป็นใคร” จ้าวหนานซิงเองก็เดินไปอยู่ข้างกายหญิงทั้งสอง นํ้าเสียงแฝงด้วยโทสะ วันนี้เขามาวันแลกเปลี่ยนกับซางจื่อซู ไม่ได้พาองครักษ์ของวังหลวงมาด้วย มิเช่นนั้น ชายผู้นี้ไม่มีทางมาเย่อหยิ่งอยู่ที่นี่ได้

จูหลิงรู้สึกเพียงแค่ว่า รอยยิ้มอันเย่อหยิ่งของชายหนุ่มผู้ นันแฝงความอำมหิต ในใจจึงเป็นกังวลมากขึ้นกว่าเดิม อยากจะอธิบาย ก็ไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไร ในตอนนี้ ออกไปจากที่นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุด

ในอีกด้านหนึ่ง เว่ยกว่านกว่านและเว่ยฉีจะช่วยกันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมด

ความจริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่ได้ยินว่ามีวันแลกเปลี่ยนโดยบังเอิญ จึงออกจากโรงโอสถ จนทำให้พบกับซางจื่อซูและจ้าวหนานซิง เพียงแต่เมื่อเห็นว่ามีคนรังแกหญิงงามอันดับหนึ่งของโรงโอสถของพวกเขาที่นี่ จึงทนดูไม่ได้และออกตัวปกป้อง

“พวกเขาดูหมื่นศิษย์พี่ซางอย่างไร” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถาม

เว่ยกว่านกว่านพูดต่อว่า “เขาเองก็ไม่ตักนํ้าใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตนเองเสียเลย เป็นคนระดับไหนกัน กล้าดีอย่างไรมาสู่ขอคนของโรงโอสถเรา คิดจะแต่งศิษย์พี่ซางไปเป็นฮูหยินของพวกโจรป่า!”

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าพี่น้องตระกูลเว่ย พลันค่อยๆ หันกลับไป มองผู้ที่กล้าพูดจาเหลวไหล

อยู่ในถิ่นของโรงโอสถ ยังริบังอาจดูหมิ่นลูกศิษย์ต้นแบบของโรงโอสถ หากไม่ใช่เพราะไม่รู้ความ ก็คงจะมีคนคอยหนุนหลัง

นางกลับอยากจะรู้ว่าคนเหล่านี้เป็นคนประเภทไหน?

เพิ่งจะหันกลับไป มู่ชิงเกอก็เห็นภาพที่จูหลิงกล่อมซางจื่อซูให้กลับไป

นางไม่ได้ขัดจังหวะการพูดของจูหลิง เพียงหันไปมองชายผู้นั้น

ชายผู้นั้นหน้าตาธรรมดา แต่ว่ากลิ่นไอทั้งร่างนั้นกลับแหลมคมเด่นชัด ไม่ใช่สิ่งที่ลูกศิษย์โรงโอสถจะสามารถเทียบได้

มู่ชิงเกอหรี่ตาลง ดูเหมือนว่าชายผู้นี้จะมีความสามารถไม่น้อยเลย ในเมื่อเป็นผู้มีพลังเวทร้ายกาจ ก็คงไม่ใช่ผู้ที่ไม่รู้ความ ถ้าเช่นนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นข้อสันนิษฐานที่สอง

แต่ทว่า ใครกันที่คอยหนุนหลังเขาอยู่

ท่านอาจารย์ของซางจื่อซูคือท่านปรมาจารย์โหลว ด้วยชื่อเสียงของท่านปรมาจารย์โหลวแล้ว อยากจะหาคนมาสังหารเขาไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เป็นเช่นนี้หากยังบ้าหาเรื่อง นั้นก็หมายความว่า ผู้ที่อยู่ เบื้องหลังของเขามีความสามารถพอๆ กับท่านปรมาจารย์โหลว หรืออาจจะสูงกว่า

คำตอบชัดเจนแล้ว

สายตาของมู่ชิงเกอสาดฉายความเย็นเยียบ มุมปากกระตุกยิ้มที่แฝงความขบขัน

“จื่อซู เจ้าฟังข้า เราออกไปจากที่นี่ก่อน” จูหลิงบอกซางจื่อซูเบาๆ

ซางจื่อซูค่อยๆ เคลื่อนสายตามาหยุดอยู่ที่จูหลิง แววตาของนางเย็นเยียบกว่าเคย ความนิ่งสงบเช่นนั้น ราวกับภูเขานํ้าแข็งที่มีเปลวไฟซ่อนอยู่ และพร้อมจะปะทุได้ตลอดวลา

นางเห็นความตื่นตระหนกในสายตาของจูหลิง ในขณะที่เตรียมจะพยักหน้า กลับได้ยินเสียงของจ้าวหนานซิง “เขาดูถูกจื่อซูเช่นนี้ เหตุใดจะต้องหนี ชื่อเสียงของจื่อซูยังสำคัญอยู่หรือไม่”

จูหลิงรีบพูดว่า “องค์ชาย ชีวิตสำคัญหรือชื่อเสียงสำคัญ”

คำพูดนี้ลอยเข้าหูของมู่ชิงเกอ นางเห็นด้วย ในวินาทีแห่งความเป็นความตาย ชื่อเสียงก็ทิ้งเอาไว้ก่อน!

“เขากล้าฆ่าเราหรือ” หญิงในดวงใจโดนดูถูก ความนิ่งสงบในตอนแรกของจ้าวหนานซิงได้หายไปจนสิ้นแล้ว

ความจริงแล้ว เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำอะไรพวกเขา

จูหลิงหมดหนทาง

ฆ่าแน่นอนว่าไม่กล้า แต่การเล่นงานหรือแอบลอบทำร้ายก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไรมิใช่หรือ เขากล้ามาดูถูกถึงที่นี่ ก็หมายความว่าไม่ได้เห็นฐานะของจ้าวหนานซิงและอำนาจของโรงโอสถในสายตา

เมื่อถูกบีบจนไร้ทางออก จูหลิงจึงทำได้เพียงแค่พูดกับจ้าวหนานซิงและซางจื่อซูว่า “เขารู้จักข้า หากไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะเป็นยอดฝีมือสายนํ้าเงินที่สนิทสนมกับเตียวหยวน”

ทันทีที่ได้ยินเช่นนี้ จ้าวหนานซิงก็หรี่ตาลง ซางจื่อซูเองก็ขมวดคิ้ว

ยอดฝีมือสายนํ้าเงินในแคว้นระดับสามถือว่าสูงมากแล้ว

บริเวณเมืองซางจื่อมีโจรป่าจำนวนมาก ความสามารถหลากหลายและมีผู้ฝึกบำเพ็ญอิสระหลบซ่อนอยู่ด้วย พวกเขาไม่กลัวกฎหมาย กล้าไม่กลัวฟ้ากลัวดิน กล้าทำทุกอย่างได้แน่นอน อีกประการหนึ่ง หากคนผู้นี้สนิทสนมกับเตียวหยวน ถ้าเช่นนั้นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆไม่คิดก็รู้ว่า ทางโรงโอสถคงไม่เอาความอันใดมาก

ดูเหมือนว่า วันนี้จะต้องทนเอาไว้ก่อนจริงๆ เสียแล้ว

จ้าวหนานซิงไม่ยินยอมนัก

แม้ว่าเขาจะเป็นองค์ชายแห่งแคว้นอวี๋ แต่กลับเป็นเพียงแค่สายเขียวขั้นสูง องครักษ์ข้างกาย ส่วนมากเป็นสายคราม ไม่สามารถสู้กับยอดฝีมือสายนํ้าเงินได้เป็นแน่ ซางจื่อซูยิ่งไม่ต้องพูดถึง คิดถึงแต่การปรุงยา ด้านพลังเวทเป็นเพียงสายเขียวขั้นต้น และเพิ่งทะลวงเข้ามาได้ไม่นานนัก

แล้วดูลูกศิษย์โรงโอสถที่อยู่รอบๆ———-

นอกจากส่วนน้อยเป็นสายเหลือง สายเขียวแล้ว ส่วนมากเป็นสายส้ม

ความสามารถของจูหลิงพอๆ กับซางจื่อซู ดูจากความสามารถของฝ่ายตนเองแล้ว ก็ไม่แปลกที่อีกฝ่ายจะทำตัวโอ้อวด และหยิ่งยโสเช่นนี้

“เตียวหยวนเป็นคนส่งเขามาหรือ” จ้าวหนานซิงพูดด้วยนํ้าเสียงอันเย็นเยียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!