Skip to content

พลิกปฐพี 128-2

ตอนที่ 128-2

แผนร้ายของเตียวหยวน

มู่ชิงเกอตรงไปห้องของฟู่เทียนหลง จ้างหนานซิงเพียงรออยู่ข้างนอกราวกับกำลังชื่นชมทิวทัศน์ของบ้านไม้ สุ่ยหลิงเดินออกมายกนํ้าชาให้กับเขาและไม่ได้กลับเข้าไปในห้อง แต่นั่งเป็นเพื่อนเขาอยู่ข้างนอก

ในห้องของฟู่เทียนหลง มู่ชิงเกอเล่าเรื่องที่ตนเองจะไปทดสอบที่ผืนป่าหมีเมิ่ง “การทดสอบในครั้งนี้ มีขึ้นสำหรับผู้ที่อยู่ในระดับกลางขึ้นไป เพราะฉะนั้นสุ่ยหลิงเองก็มีสิทธิ์ แต่ว่าการทดสอบในครั้งนี้ไม่ธรรมดา นางอย่าไปเลยจะดีกว่า อีกประการหนึ่ง แม้ว่าฟ่งอวี๋กุยจะถูกขังอยู่ในคุกนํ้า แต่ด้วยนิสัยของเขาแล้ว แน่นอนว่า จะไม่รออยู่เฉยๆ ไม่แน่ว่าเขาอาจจะกำลังคิดหาวิธีออกมา เจ้าจะต้องระวังตัว อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ข้าจะกลับมา พยายามอย่าได้สร้างความขัดแย้งอันใดกับเขา”

ฟู่เทียนหลงพูดด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึมว่า “ครั้งก่อนเจ้าบอกว่ากำลังรอคนๆ หนึ่ง รอใครกัน เขาสามารถจัดการกับฟ่งอวี๋กุยได้หรือ”

มู่ชิงเกอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ตาทั้งสองข้างลงและพูดอย่างช้าๆ ว่า “ด้วยฐานะองค์ชายแห่งแคว้นลี่ของฟ่งอวี๋กุย เป็นสิ่งที่คุ้มครองเขาได้อย่างดีที่สุด หากเจ้าสู้กับเขาซึ่งๆหน้า หรือเกิดฆ่าเขาจนตายก็จะทำให้เกิดการแก้แค้นของแคว้นลี่ เราอาจจะไม่เกรงกลัว แต่ลองคิดดูให้ดีว่า จะทำให้เกิดความขัดแย้งกับแคว้นหนึ่งเพียงเพราะฟ่งอวี๋กุยนั้นคุ้มค่าแล้วหรือยัง คนผู้นั้นจะทำให้ ความฝันอันงดงามของฟ่งอวี๋กุยพังทลายลง และทำให้เขามองข้ามปัญหาที่มีกับเจ้าไป เจ้าวางใจเถอะ สุดท้ายเขาก็หนีความตายไม่พ้นหรอก!”

ฟู่เทียนหลงฟังอย่างตั้งใจพักใหญ่ จึงพยักหน้าอึ้งๆ

มู่ชิงเกอถามว่า “ เจ้าเป็นหัวหน้าน้อยของชนเผ่าหู และในแคว้นปา ชนเผ่าหูถือว่าเป็นชนเผ่าที่ใหญ่พอควร ได้ข่าวว่าต้าอูในแคว้นปาก็เป็นคนของชนเผ่าหูมิใช่หรือ”

ฟู่เทียนหลงไม่รู้ว่าเหตุใดมู่ชิงเกอจึงถามเช่นนี้ แต่ก็พยักหน้าและตอบว่า “แคว้นปาไม่เหมือนกับแคว้นอื่นๆ เพราะเป็นการรวมการปกครองกันของแต่ละชนเผ่า แต่ว่า หากออกไปพบกับแคว้นอื่น ก็ล้วนเป็นแคว้นปา ทุกๆ สี่ปี จะมีการเลือกต้าอูผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในการติดต่อสานสัมพันธ์ระหว่างแคว้นจากแต่ละชนเผ่า ในตอนนี้ ต้าอูเป็นคนของชนเผ่าหูจริง และท่านก็เป็นท่านอาของข้า”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทุกอย่างก็คงจะง่าย” มู่ชิงเกอพูดพร้อมรอยยิ้ม “ฟังข่าวจากข้า ถึงตอนนั้นจะให้เจ้าเขียนจดหมายถึงท่านอาของเจ้า เพื่อมอบรางวัลชิ้นใหญ่แก่ฟ่งอวี๋กุย”

คำพูดของมู่ชิงเกอคลุมเครือเป็นอย่างมาก ฟู่เทียนหลงราวกับเข้าใจและไม่เข้าใจในขณะเดียวกัน แต่ก็พยักหน้าอย่างให้ความร่วมมือ

หลังจากที่คุยกับฟู่เทียนหลงจบแล้ว มู่ชิงเกอก็เดินออกมา เห็นจ้าวหนานซิงและสุ่ยหลิงกำลังคุยกันอย่างถูกคอ จึงเดินเข้าไปหา

“สุ่ยหลิง” มู่ชิงเกอเรียกเบาๆ

สุ่ยหลิงหันกลับมา ส่งรอยยิ้มอันงดงามให้กับนาง “มู่เกอ!”

มู่ชิงเกอเดินไปอยู่ตรงหน้านาง และพูดเบาๆ ว่า “ข้าจะออกไปหลายวัน เจ้าและฟู่เทียนหลงดูแลตนเองให้ดี ระมัดระวังอาหารการกินและฝากบอกพี่น้องตระกูลเว่ยว่า ช่วงนี้ก็อยู่ในสวนสมุนไพร อย่าเพ่นพ่าน”

ความโหดเหี้ยมของอีกฝ่ายทำให้นางจำเป็นต้องคิดมาก

สุ่ยหลิงพยักหน้า ราวกับจะได้กลิ่นความผิดปกติจากคำพูดของมู่ชิงเกอ

หลังจากออกจากบ้านไม้ จ้างหนานซิงก็พูดกับมู่ชิงเกอว่า “ศิษย์น้องมู่เป็นห่วงว่าพวกเขาจะเดือดร้อนไปด้วยหรือ”

“ด้วยอุปนิสัยของคนผู้นั้นแล้ว ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” มู่ชิงเกอกระตุกรอยยิ้มอย่างรู้สึกขัน

จ้าวหนานซิงพยักหน้าเล็กน้อย และพูดกับนางว่า “หากศิษย์น้องมู่เป็นห่วง ข้าจะแอบส่งคนไปดูแลและจะบอกท่านอาจารย์ให้ท่านเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของฝั่งนั้น”

“รบกวนด้วย” มู่ชิงเกอพูด หากไม่ใช่เพราะโรงโอสถไม่อนุญาตให้พาคนไปด้วย นางก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้

สุ่ยหลิงมีฟู่เทียนหลงคอยปกป้อง ความสามารถของพี่น้องตระกูลเว่ยก็ไม่ถือว่าตํ่าด้อย แต่ว่า นางก็ต้องคอยระมัดระวังแผนการอันโหดเหี้ยมของอีกฝ่าย

ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็เดือดร้อนเพราะนาง

หากว่านางไม่ทำให้เตียวหยวนสนใจ ก็ไม่อาจทำให้เขาไปร่วมมือกับฟ่งอวี๋กุยได้ และพวกเขาเองก็ไม่ต้องเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้

“ศิษย์พี่จ้าว หากอยากจะทำให้คนๆ หนึ่งออกจากโรงโอสถไปอย่างอับอายจะมีวิธีการอะไรบ้าง” อยู่ ๆ มู่ชิงเกอก็ถามขึ้น

จ้าวหนานซิงอึ้งไป พลันพินิจสายตาของมู่ชิงเกอ พลันเผยรอยยิ้มจนดวงตากลายเป็นเสี้ยวพระจันทร์ “เป็นวิธีการที่ดี เพียงแค่เขาแหกกฎโรงโอสถก็พอแล้ว”

“เช่นอะไรบ้าง” มู่ชิงเกอกระตุกยิ้มตรงมุมปากเบาๆ จ้าวหนานซิงทำท่าทางราวกับกำลังใช้ความคิดครู่หนึ่ง จึงตอบว่า “อืม เช่น เขาเข้าไปขโมยของที่หอโอสถ เช่น เขาฆ่าลูกศิษย์โรงโอสถต่อหน้าทุกคน แล้วก็เช่น เขาแอบโกงในขณะที่ปรุงยา และเช่น เขาติดต่อกับโจรภายนอก ทำเรื่องที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อโรงโอสถ”

มู่ชิงเกอมองเขาและเห็นแสงประกายราวกับดวงดาวในดวงตาสดใสราวกับหยกของเขา

รอยยิ้มตรงมุมปากของนางชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม พลันประสานหมัดและพูดว่า “ขอบคุณศิษย์พี่มากที่ชี้แนะ”

จ้าวหนานซิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ศิษย์น้องอย่าได้เกรงใจ”

มู่ชิงเกอสบตากับเขา ความเข้าใจที่มีตรงกันแผดเผาออกมา

นางเผยรอยยิ้ม และพูดกับจ้าวหนานซิงว่า “ศิษย์พี่ ข้าจะไปหอตำรายาท่านจะไปด้วยกันหรือไม่”

จ้าวหนานซิงส่ายหน้าอย่างทุกข์ใจในทันที “ที่แห่งนั้น ข้าไปมาหลายรอบแล้ว ตั้งแต่ชั้นสี่ลงมาข้าอ่านหมดแล้ว เสียดายที่ความสามารถมีไม่พอ ขึ้นชั้นห้าไม่ได้ไปก็เสียเวลาเปล่า หากว่าศิษย์น้องสงสารข้า หากเห็นสูตรยาที่ทำให้สามารถเข้าสู่การเป็นนักปรุงยาระดับสูงใดก็ช่วยจดมาให้ข้าหน่อย”

“เข้าใจแล้ว” มู่ชิงเกอตอบรับอย่างรู้สึกขัน

หลังจากที่แยกกับจ้าวหนานซิงแล้ว นางจึงเดินมุ่งไปยังหอตำรายา ในวันนี้ นางอยากจะไปดูว่าบนชั้นเจ็ดมีตำราเก่าแก่อันใด

เข้าหอตำรายาไป มู่ชิงเกอก็เดินตรงไปที่ชั้นเจ็ด

สำหรับสูตรยาที่จ้าวหนานซิงอยากได้ มู่ชิงเกอมีในใจแล้ว กลับไปก็เพียงแค่จดออกมาให้เขาก็พอแล้ว

มาถึงบริเวณชั้นเจ็ด ยังไม่ทันได้เข้าไป มู่ชิงเกอก็สัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งที่หยุดยั้งการเข้าใกล้ของนาง มู่ชิงเกอยกเท้าขึ้นมา ก็สัมผัสได้ว่าเท้าของตนเองนั้น หนักขึ้นกว่าปกติ ร่างกายราวกับจมอยู่ในนํ้า ทั้งหนักและเคลื่อนไหวยากมาก

‘มีมนต์ต้องห้ามจริงๆ ด้วย!’ มู่ชิงเกอหรี่ตาลง

ปัง!

ฝีเท้าอันหนักหน่วงวางลงบนขั้นบันไดพลันส่งเสียงทึบๆ ออกมาทันที

มู่ชิงเกอยกเท้าอีกข้างขึ้นอีกครั้ง และค่อยๆ เดินเข้าไปใกล้ชั้นเจ็ดอย่างเชื่องช้าที่สุด

หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม ในที่สุดนางก็ได้มายืนอยู่ตรงหน้าชั้นเจ็ด

นางยกมือขึ้น กางนิ้วทั้งห้าออกมาดัน กลุ่มพลังโปร่งแสงสายหนึ่งที่ปกคลุมอยู่ก็ปรากฎขึ้นใต้ฝ่ามือของนาง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!