ตอนที่ 129-2
ศิษย์น้องจูยังไม่ลงมืออีก?
“ทำไมหรือ ศิษย์น้องคิดว่าข้าไม่ควรไปหรือ” เมื่อสัมผัสได้ถึงความแปลกใจของมู่ชิงเกอ เหมยจื่อจ้งจึงพูดอย่างแนบนิ่ง
“ไม่! จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!” มู่ชิงเกอยิ้มฝืด
“พวกท่านล้วนนัดกันออกจากหลินชวน ถ้าเช่นนั้นข้าไปด้วยดีกว่า” อยู่ๆ จูหลิงก็พูดขึ้น
ทันทีที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนาง ก็ทำให้สายตาของเหมยจื่อจ้งและจ้าวหนานซิงเกิดความสงสัยขึ้นมาในทันที ยิ่งเหมยจื่อจ้ง เขาถึงขั้นขมวดคิ้ว แต่ทว่า จูหลิงราวกับไม่รู้สึกอะไร และพูดกับซางจื่อซูว่า “จื่อซู เจ้าล่ะ”
สายตาของซางจื่อซูนิ่งสงบและกวาดมองทุกคนราวกับหิมะนํ้าแข็ง เพียงแค่หยุดสายตาที่มู่ชิงเกอครู่หนึ่ง แล้วตอบสั้นๆ ว่า “ได้”
สำหรับคำตอบของนาง ผู้ที่ดีใจที่สุดคือจ้าวหนานซิง เพราะว่า นั่นหมายความว่าแม้จะออกจากโรงโอสถ เขาก็สามารถอยู่กับหญิงสาวในฝันได้ดังเดิม
เมื่อนึกถึงภาพอันสวยงามในอนาคต จ้าวหนานซิงจึงเผยรอยยิ้มอันสดใสอย่างเป็นที่สุดให้กับมู่ชิงเกอ “ศิษย์น้อง ความสุขทั้งหมดของข้า ล้วนต้องพึ่งความ พยายามของเจ้าแล้วนะ”
หมายความว่าอย่างไร
มู่ชิงเกอกระตุกมุมปาก “อยากออกจากหลินชวน ล้วนต้องพึ่งความพยายามของทุกคนถึงจะถูก”
“ใช่ๆๆ! เราจะพยายามไปด้วยกัน!” จ้าวหนานซิงพูด พร้อมรอยยิ้ม
ทุกคนยิ้มอย่างพร้อมเพรียงกัน สัญญาข้อหนึ่งได้ฝังลงในใจ
เมื่อจบการสนทนาแล้ว ทั้งห้าก็เดินมุ่งเข้าไปด้านในต่อ
ในมือของเหมยจื่อจ้งถือเครื่องมือวัดขนาดเท่าฝ่ามือเอาไว้อันหนึ่ง พลันพูดกับทุกคนว่า “จากการนำทางของเครื่องมือวัดนี้ เราจะไปทะเลสาบเยวี่ย จะต้องเดินไปทางนั้น” เขาชี้ไปทางทิศขวาที่อยู่ข้างหน้า
จ้าวหนานซิงเดินเข้ามา ก้มหน้าลงมองเครื่องมือวัดแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “เครื่องมือวัดทิศทางนี้ เชื่อได้หรือ ข้าจำได้ว่าเคยมีลูกศิษย์คนหนึ่งเข้ามาลองใช้ดู ตอนออกไปได้ก็บอกว่าเครื่องมือวัดทิศทางไม่ได้ผล”
“จะเชื่อได้หรือไม่ เป้าหมายของเราก็ทำได้เพียงพึ่งมัน” เหมยจื่อจ้งพูด
มู่ชิงเกอพยักหน้า “เดินเข้าไปก่อนเถิด ผู้ที่จะไปทะเลสาบเยวี่ยไม่ได้มีแค่เรา ลองดูว่าระหว่างทางจะพบใครหรือไม่ ก็จะรู้เองว่าเครื่องมือวัดทิศทางอันนี้ผิดพลาดหรือไม่”
ทุกคนพยักหน้า และเดินมุ่งเข้าไปพร้อมกัน
ในผืนป่าหมีเมิ่งแม้จะมีหมอกหนา แต่กลับไม่มีความเปียกชื้นเลยแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีที่อับและชื้น
ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกราวกับเป็นเขาวงกตที่กว้างใหญ่ไร้ที่เปรียบ
“ทุกคนระวังหน่อย สังเกตว่ารอบ ๆ มีสัตว์ที่มีพลังเวทปรากฏหรือไม่ หากพบยาสมุนไพรที่มีค่าก็อย่าพลาด” เหมยจื่อจ้งพูดกับทุกคน
ทั้งห้าคนเดินไปตามที่เข็มชี้ เหมยจื่อจ้งเดินอยู่หน้าสุด มู่ชิงเกอและจ้าวหนานซิงเดินปิดท้ายสองข้าง หญิงสาวทั้งสองถูกปกป้องอยู่ตรงกลาง
ผืนป่าหมีเมิ่งเงียบมาก ราวกับมีสัตว์จำนวนไม่มาก
แต่ว่า ทุกคนล้วนไม่ละเลยที่จะระมัดระวัง เพราะโหลวชวนป่ายบอกว่า เขาเคยพบกับสัตว์ที่มีพลังเวทระดับสายนํ้าเงินในผืนป่าหมีเมิ่ง
เห็นได้ว่า ผืนป่าหมีเมิ่งมีสัตว์ที่มีพลังเวทอยู่ไม่มาก แต่ล้วนเก่งกาจเป็นอย่างมาก
“ฝั่งขวามีความเคลื่อนไหว!” อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็หยุดฝีเท้าลง หูของนางพลันกระดิกทีหนึ่ง
ทั้งสี่หยุดการเคลื่อนไหวในทันที แล้วล้อมกันเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องซึ่งกันและกัน ความร่วมมือและเข้าใจกันเป็นอย่างดีโดยที่ไม่ได้ผ่านการฝึก ช่างเป็นที่น่าตกใจ
ทันใดนั้น เงาสีขาวเงาหนึ่ง ได้พุ่งเข้าหาพวกเขาราวกับสายฟ้า
อัตราความเร็วที่สูงมากจนมองเห็นไม่ชัด ราวกับจากระยะอันไกลออกไปมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเพียงชั่วพริบตา
นอกจากมู่ชิงเกอ ดวงตาของทั้งสี่ล้วนหรี่ลง สีหน้าเปลี่ยนไป เมื่อเงาสีขาวพุ่งมาอยู่ตรงหน้า อยู่ๆ มันก็พุ่งเข้าไปตรงตำแหน่งของซางจื่อซู
ซางจื่อซูได้สติก็ริบถอยหลัง แสงสีเขียวที่เตรียมเอาไว้ บนฝ่ามือพร้อมจะถูกปล่อยออกไป
แสงสีเขียวบนฝ่ามือของจ้าวหนานซิงส่องประกายและ
กำลังจะพุ่งเข้าหาแสงสีขาวนั่น
บนร่างกายของจูหลิงมีแสงสีเหลืองอันแสบตาส่องประกายอยู่และบนร่างกายของเหมยจื่อจ้งสาดแสงสีครามอ่อนๆ ออกมา
“เอ๋ง—!”
ในขณะที่ทุกคนเตรียมพร้อมจะลงมือ เงาสีขาวก็ได้หยุดลงอย่างกะทันหัน พลันส่งเสียงร้องแห่งความเจ็บปวด
ในขณะนี้เอง รูปลักษณ์ของมันก็ปรากฏตรงหน้าทุกคน
อย่างชัดเจน
“เอ๋ง เอ๋ง——————- !”
สัตว์ตระกูลจิ้งจอกตัวสีขาวล้วนตัวหนึ่ง ถูกมู่ชิงเกอจับคอเอาไว้ ขาทั้งสี่ส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสีแดง ดั่งอัญมณีเจือไปด้วยประกายความดุร้ายถลึงจ้องมองมู่ชิงเกอ
“นี่คืออะไรน่ะ” จูหลิงพูดด้วยความสงสัย
แต่ว่า ทุกคนสนใจความไวของมู่ชิงเกอมากกว่า
นางไวกว่าสัตว์ชนิดนี้
“จิ้งจอกหิมะ” มู่ชิงเกอพูดด้วยนํ้าเสียงอันแนบนิ่ง
“นี่คือจิ้งจอกหิมะหรือ ว่ากันว่าว่องไวดั่งสายฟ้าฟาด และมีพลังในการทำให้เกิดความลุ่มหลง” จ้าวหนานซิงกะพริบตา และมองจิ้งจอกหิมะที่มู่ชิงเกอจับอยู่อย่าง ละเอียด
สายตาของเหมยจื่อจ้งก็หยุดอยู่บนจิ้งจอกหิมะ และพูดอย่างแนบนิ่งว่า “จิ้งจอกหิมะเป็นสัตว์พลังเวทที่เกิดมาก็เป็นสายเหลืองเลยและด้วยการเจริญเติบโตของมัน สามารถกลายเป็นสัตว์ที่มีพลังเวทสายม่วงได้”
“เก่งกาจมาก! และยังน่ารักมากด้วย !” จูหลิงมองจิ้งจอกหิมะ จิตใจของหญิงสาวได้ถูกเจ้าตัวเล็กยึดครองไปในทันที
มู่ชิงเกอพูดกับซางจื่อซูว่า “ศิษย์พี่ซาง อยู่ๆ จิ้งจอกหิมะตัวนี้ก็วิ่งไปหาท่าน ดูเหมือนว่ากลิ่นอายของท่านจะถูกใจมันมากกว่า ท่านเก็บมาเอาไว้เป็นสัตว์เลี้ยงดีหรือไม่ หากเลี้ยงดีๆ ไม่แน่ว่าจะช่วยเป็นกำลังเสริมที่ดีในอนาคต”
ได้ยินคำพูดของมู่ชิงเกอ จูหลิงก็มองซางจื่อซูต้วยความอิจฉาอันล้นเหลือและพูดว่า “จื่อซู เจ้าเก็บเจ้าตัวเล็กนี้ไว้เถิด จะได้ไม่เสียแรงที่ไม่ว่าเรื่องอันใด ศิษย์น้องมู่ก็นึกถึงเจ้า” ในขณะที่พูด นางก็มองจ้าวหนานซิงอย่างกระตุ้นแวบหนึ่ง
อีกฝ่ายกลับพูดอย่างไม่ใส่ใจเลยแม้แต่น้อย “ศิษย์น้องมู่เคารพศิษย์พี่ก็เป็นเรื่องที่สมควร และจิ้งจอกหิมะ ก็เหมาะเป็นสัตว์เลี้ยงของผู้หญิง จื่อซูเจ้ารับเอาไว้เถิด”
เหมยจื่อจ้งเผยรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปาก แม้ไม่พูด แต่ความหมายก็ชัดเจนอยู่แล้ว แต่ทว่า ซางจื่อซูกลับส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ต้องการ”
การตัดสินใจของนาง ทำให้ทุกคนแปลกใจ
จูหลิงจึงถามว่า “เพราะเหตุใด หรือว่า เจ้าไม่ชอบ”
ซางจื่อซูกัดริมฝีปาก และพูดเบาๆ ว่า “ชอบ แต่แววตาของมันดุร้ายมากเกินไป ข้าไม่อยากเลี้ยงสัตว์ที่ไม่เชื่องให้เป็นภัย”
คำพูดของนาง ทำให้ทุกคนหันไปมองจิ้งจอกหิมะใน ทันที
จิ้งจอกหิมะราวกับฟังคำรู้เรื่อง เผยสายตาที่แฝงไปด้วยความน่าสงสาร แต่มีแค่ตอนที่มองมู่ชิงเกอเท่านั้นที่มีความโหดเหี้ยมแฝงอยู่ท่ามกลางสายตาน่าสงสาร และอ้อนวอนขอชีวิตนั้น ทุกคนไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าสังเกตเห็นจุดเล็กๆ จุดนี้ได้ จึงเงียบลงไปในทันที ซางจื่อซูพูด “ข้าไม่ใช่อาจารย์ทะลวงสวรรค์ ไม่รู้ว่า ควรจะควบคุมสัตว์ที่มีพลังเวทอย่างไร ถ้าเช่นนั้น ไม่รับไว้คงจะดีกว่า”
จูหลิงคิดทบทวนครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าว่ามันอาฆาตศิษย์น้องมู่แล้ว เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจตามมา ฆ่ามันเลยเสียดีกว่า”
“บรู๊ว—! บรู๊ว—!” จิ้งจอกหิมะมองจูหลิงด้วยสายตาที่โหดเหี้ยมอย่างหาที่สุดไม่ได้ พลันแยกเขี้ยวแหลมออกมา จูหลิงตกใจจนถอยหนีไปก้าวหนึ่ง และส่ายหน้าพูดว่า “จื่อซูพูดถูก นี่เป็นสัตว์ที่มีพลังเวท เรายากที่จะทำให้มันเชื่อง หากไม่ดูแลอย่างเหมาะสม อาจจะถูกมันแก้แค้นได้”
พูดจบ นางก็หันมองมู่ชิงเกอ
ที่เหลืออีกสามคนล้วนมองมู่ชิงเกอเช่นกัน มู่ชิงเกอก้มสายตาลงมองจิ้งจอกหิมะในมือ ในตอนนี้ มันไม่ปกปิดตนเองอีกต่อไป อีกทั้งยังแสดงความโหดเหี้ยมออกมา
มู่ชิงเกอพูดกับมันว่า “ข้าเพียงแค่ป้องกันตัวจึงจับเจ้าเอาไว้ เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่า ข้าจะเก็บเจ้าเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
ทันทีที่สิ้นเสียง ในสายตาของจิ้งจอกหิมะก็ฉายความตื่นตระหนก พลันร้องเจี๊ยวจ๊าว ราวกับกำลังร้องขอชีวิต มู่ชิงเกอกลับส่ายหน้า “จิ้งจอกมีนิสัยเจ้าเล่ห์อยู่แล้ว หากข้าปล่อยเจ้าไป บางทีอาจจะถูกเจ้าแก้แค้น หากวันปกติก็ช่างเถิด แต่นี่มันในผืนป่าหมีเมิ่ง ข้าไม่มีเวลามาก พอที่จะวุ่นวายกับเจ้า”
เมื่อพูดจบ อยู่ๆ มู่ชิงเกอก็กำนิ้วทั้งห้าไว้แน่น บีบคอของจิ้งจอกหิมะจนแหลกละเอียด จบชีวิตของมันซะ
เพียงเอาแก่นสมองของจิ้งจอกหิมะออกมา ร่างไร้วิญญาณก็ถูกโยนทิ้งลงพื้น มู่ชิงเกอพูดกับทั้งสี่ว่า “ไปกันเถิด”
ทั้งสี่พยักหน้า และเดินผ่านร่างของจิ้งจอกหิมะไป ไม่นาน ทั้งห้าก็หายไปจากตำแหน่งเดิม และถูกหมอกหนาปกคลุมตัวเอาไว้ ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า ในส่วนลึกของหมอกมีดวงตาอันแดงก่ำดั่งโลหิตคู่หนึ่ง กำลังจ้องพวกเขาที่เดินจากไปด้วยความโกรธ
หมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งกวาดผ่านร่างของจิ้งจอกหิมะ พอหมอกนั้นหายไป ร่างไร้วิญญาณของจิ้งจอกก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ในคืนนั้น พวกของมู่ชิงเกอหาถํ้าร้างเพื่อเป็นที่พัก ถํ้าไม่ได้ใหญ่มากนัก แต่ก็พอที่ทั้งห้าจะอยู่ได้อย่างเหลือเฟือ
ตรงกลางถํ้า มีกองเพลิงลุกไหม้อยู่กองหนึ่ง
ทั้งห้าทั้งล้อมกองไฟเอาไว้ ต่างทั้งขัดสมาธิ ใช้การฝึกพลังเวทเป็นการพักผ่อน
แสงสว่างสาดลงบนร่างของทั้งห้าอย่างสลัวราง ถํ้าทั้งถํ้าถูกแสงไฟปกคลุมเอาไว้ รูปลักษณ์ของทั้งห้าล้วนโดดเด่น มีความงามในแบบของตนเอง หากมีใครหลงเข้ามา คงคิดว่าตนเองอยู่ท่ามกลางเหล่าเทพเซียน หมอกสีขาวกลุ่มหนึ่งลอยเข้าสู่ถํ้าอย่างไม่ทิ้งร่องรอย และลอยผ่านท่ามกลางผู้คน พลันรวมตัวกันรอบตัวมู่ชิงเกอ
ไม่นาน หมอกสีขาวได้แปรเปลี่ยนเป็นรังไหมขนาดใหญ่ ห่อหุ้มร่างของมู่ชิงเกอเอาไว้ตรงกลาง ทันใดนั้น รังไหมก็ได้กลายเป็นเส้นบางๆ และมุดเข้าร่างกายของมู่ชิงเกอไป
ร่างกายของมู่ชิงเกอที่กำลังฝึกพลังเวทกระตุกทีหนึ่ง พลันขมวดคิ้ว ก่อนจะนิ่งสงบดังเดิม
แต่ทว่า หากสังเกตดีๆ จะพบว่ามือที่กำไว้เพื่อฝึกพลังเวทของนางได้คลายออกเล็กน้อย….
นี่มันที่ใดกัน!
มู่ชิงเกอราวกับตกอยู่ในโลกของหมอก รอบตัวเต็มไปด้วยหมอกหนา
นางออกแรงปัดหมอกออก แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไร นางพยายามปล่อยพลัง แต่กลับพบว่าพลังเวทสายนํ้าเงินระดับสูงราวกับจะหายไป
ในขณะนั้นเอง นางก็พบว่า หมอกสีขาวที่อยู่รอบๆ ค่อยๆ จางไป และสายตาก็ชัดเจนมากขึ้น
“หนึ่งสองหนึ่ง หนึ่งสองหนึ่ง หยุด!”
เสียงฝึกภาคสนามอันคุ้นเคยดังขึ้นข้างหู
ร่างของมู่ชิงเกอราวกับถูกไฟช็อต
หมอกสีขาวได้จางหายไปทั้งหมดแล้ว เมื่อมู่ชิงเกอเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้ว นางก็อึ้งไปในทันที ในแววตา เต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
รอบๆ ล้วนเป็นแถวอันเป็นระเบียบเรียบร้อย
เหล่าทหารที่อยู่ในการฝึก สวมชุดทหารสีเขียวเข้มดั่งที่นางคุ้นเคยจนเข้ากระดูก
ภาพการฝึกนี้ เป็นภาพความทรงจำเมื่อสิบกว่าปีของนางที่นางนั้นคุ้นเคยจนไม่รู้จะคุ้นเคยอย่างแล้ว แม้กระทั่งหญ้าเพียงเส้นเดียวของสถานที่นี้ นางก็จดจำมันได้เป็นอย่างดี
“เขี้ยวมังกร คุณมายืนทำอะไรที่นี่ ยังไม่กลับแถวไปฝึกขั้นพื้นฐานของวันนี้อีก” ทันใดนั้น ข้างหลังตัวนางก็พลัน มีเสียงตะโกนอันเคร่งขรึมดังขึ้น มู่ชิงเกอหันกลับไปในทันที และเห็นผู้ที่เดินเข้ามาหานาง พลันพูดด้วยความตะลึงว่า “ครูฝึก!
นี่คือผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นครูฝึกตอนที่นางเพิ่งเข้าร่วมกลุ่ม ในตอนนี้ ประเทศชาติได้สร้างหน่วยปฏิบัติการพิเศษ นางจึงได้ร่วมกลุ่มและฝึกซ้อมกับเพื่อนทหารผู้มีความสามารถที่แตกต่างกันในหน่วยปฏิบัติการพิเศษ มู่ชิงเกอก้มหน้าลงมองร่างกายของตนเอง พบว่าตนเองกลับมาอยู่ในชุดฝึกซ้อมลายพรางชุดนั้นนางคุ้นเคยดี แต่ว่าเหตุใดจึงปรากฏบนร่างกายของนาง
“ยังไม่รีบกลับเข้าไปรวมกลุ่มอีก! อยากโดนลงโทษใช่ไหม อย่าคิดว่าตัวเองมีความสามารถพิเศษกว่าคนอื่น แล้วจะทำตัวต่างจากคนอื่นได้นะ” เสียงกล่าวโทษอันเข้มงวดของครูฝึกดังขึ้น
มู่ชิงเกอเดินกลับเข้าขบวนในทันที และเริ่มการฝึกซ้อมอันคุ้นเคยท่ามกลางความสงสัยและความไม่เข้าใจ