ตอนที่ 132-2
โชคชะตาของมู่ชิงเกอ
เหมยจื่อจ้งกำมือสั่น ๆ ของโหลวชวนป่ายเอาไว้และพูดอย่างแนบนิ่งว่า “อาจารย์พวกเราปลอดภัยดี ที่กลับมาช้าทำให้ท่านต้องเป็นห่วง ล้วนเป็นความผิดของเราเอง”
โหลวชวนป่ายส่ายหน้า น้ำตานองพร้อมพูดว่า “กลับมาก็ดีแล้ว เห็นพวกเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัย ข้าก็วางใจ”
“อาจารย์ เราเป็นคนมีบุญ เหมือนคนที่จะเป็นอะไรง่ายๆ หรือ” จ้าวหนานซิงเผยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่นออกมา
โหลวชวนป่ายพยักหน้าอย่างซาบซึ้ง ทั้งสี่คนตรงหน้าคือการปลอบใจที่ดีที่สุดของเขา
“ดูเหมือนว่า จะมีคนบอกว่าเราตายแล้ว” มู่ชิงเกอกวาดสายตาไปรอบๆ รอยยิ้มเต็มไปด้วยความขี้เล่น
นางพูดลอยๆ คำหนึ่ง แต่กลับทำให้บรรยากาศในลานกว้างเปลี่ยนไป
เมื่อครู่นี้ ยังตกอยู่ท่ามกลางความซาบซึ้งระหว่างอาจารย์และลูกศิษย์เพียงพริบตา ก็ถูกลากเข้า ‘ความจริง’ ที่เตียวหยวนพูดถึงก่อนหน้านี้ ตอนนี้ ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่าตายไปแล้วกลับยืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หรือพวกเขาทั้งห้าจะมีบุญและโชคดี จนสามารถรอดพ้นมาจากปากของมังกรวารีได้อย่างปลอดภัยอย่างนั้นหรือ
ท่าทางของโหลวชวนป่ายนิ่งลง ความเย็นเยียบในตัวเขากระจายหายไป เขาอุทานอย่างเย็นเยียบคำหนึ่ง แล้วพูดว่า “ก่อนที่พวกเจ้าจะมา มีคนบอกว่าพวกเจ้าเจอกับ มังกรวารีที่ทะเลสาบเยวี่ยและยืนยันจะเข้าไปสู้โดยไม่ฟังคำห้ามปราม จนกระทั่งตายเพราะความเย่อหยิ่ง”
จ้าวหนานซิงและมู่ชิงเกอสบตากัน ความหมายนั้นชัดเจนเป็นที่สุด
แต่เหมยจื่อจ้งกลับพูดอย่างแนบนิ่งว่า “ในทะเลสาบเยวี่ยมีมังกรวารีอย่างนั้นหรือ เหตุใดเราจึงไม่พบ”
เฮือก———-!
รอบๆ ลานมีเสียงสูดลมหายใจดังขึ้นในทันที
คราวนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้นเกิดขึ้นแล้วสิ ราวกับพวกเขาจะได้ยินเรื่องราวที่แตกต่างกัน!
สายตาของเตียวหยวนฉายความเคร่งขรึมและจ้องเหมยจื่อจังด้วยสายตาที่เย็นเยียบอย่างเป็นที่สุด
สายตาของโหลวชวนป่ายฉายความเคร่งขรึมและถามว่า “จื่อจ้ง เจ้าว่าอย่างไรนะ พวกเจ้าไม่เจอมังกรวารีอย่างนั้นหรือ”
เหมยจื่อจ้งพยักหน้าเบาๆ ดูจริงใจมาก
โหลวชวนป่ายหันมองเตียวหยวนทันที สายตาดั่งคมมีด
สีหน้าของเตียวหยวนฉายความเคร่งขรึมและพูดด้วยนํ้าเสียงอันโหดเหี้ยม “เหตุใดศิษย์พี่เหมยจึงพูดโกหก พวกเราตั้งหลายคน ล้วนเห็นอย่างชัดเจนว่ามังกรวารี ปรากฏตัวขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นคือเห็นว่าพวกเจ้าสู้กับมังกรวารี”
“พูดโกหกอย่างนั้นหรือ” เหมยจื่อจ้งค่อยๆ หันกลับมา สายตาอันแนบนิ่งสบกับสายตาของเตียวหยวนและพูดว่า “เหตุใดจึงต้องโกหก”
หลังจากที่พูดออกมาอย่างผ่อนคลาย เหมยจื่อจ้งหยิบของบางอย่างที่รูปร่างคล้ายหญ้าเส้นบาง รูปเสี้ยวพระจันทร์ พลันยื่นไปตรงหน้าโหลวชวนป่าย “ท่านอาจารย์ ได้หน่อจันทร์มายามาแล้ว”
โหลวชวนป่ายรับมาด้วยท่าทางอันเคร่งขรึม แล้วพินิจอย่างรอบคอบ พลันพยักหน้าและพูดว่า “หน่อจันทร์มายาจริงๆด้วย”
“หน่อจันทร์มายาจริง ๆ ด้วย!”
“ได้ข่าวว่าหน่อจันทร์มายาอยู่ใต้ทะเลสาบเยวี่ย หากทะเลสาบเยวี่ยมีมังกรวารีจริง แล้วพวกของศิษย์พี่เหมยจะเด็ดหน่อจันทร์มายากลับมาได้อย่างไร”
“หรือมังกรวารีจะให้เอง”
“สมองของพวกเจ้ามีปัญหาแล้ว!”
“พวกของศิษย์พี่เตียวกลับมาอย่างซมซาน ไม่เพียงแค่ไม่ได้หน่อจันทร์มายากลับมา ยังบอกว่าพวกของศิษย์พี่เหมยถูกมังกรวารีฆ่า แต่ว่าศิษย์พี่เหมยกลับบอกว่าไม่เห็นมังกรวารีและยังส่งมอบหน่อจันทร์มายาตามภารกิจได้สำเร็จ เราควรจะเชื่อใครดี”
หลังจากที่โหลวชวนป่ายเห็นแล้วว่าเป็นหน่อจันทร์มายา เหมยจื่อจ้งก็มองเตียวหยวนและถามว่า “เหตุใดจึง บอกว่าเราเจอมังกรวารี หากพบกับมังกรวารีจริง เราจะมายืนอยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยได้อย่างไร หากในทะเลสาบเยวี่ยมีมังกรวารีจริง พวกเราจะได้หน่อจันทร์มายามาได้อย่างไร”
คำถามที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง สามารถลบล้างคำพูดก่อนหน้านี้ของเตียวหยวนไปอย่างง่ายดาย
สีหน้าของเตียวหยวนทั้งโหดเหี้ยมและดูแย่ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้
จ้าวหนานซิงเดินออกมา แล้วพูดกับลูกศิษย์โรงโอสถใน ลานว่า “ศิษย์น้องทุกๆท่านไม่ทราบว่าใครสามารถเล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ได้บ้าง พวกเรายังไม่ค่อยเข้าใจ”
ทันใดนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็เริ่มช่วยกันเล่าทุกอย่าง ตามคำพูดก่อนหน้านี้ของเตียวหยวน
บางทีอาจเป็นเพราะความสงสัยในใจ ท่านอาจารย์ทั้งหลายที่อยู่บนอัฒจันทร์ล้วนไม่ห้ามปรามคำพูดของลูกศิษย์
ไม่นาน จ้าวหนานซิงก็พยักหน้าเข้าใจ เขามองเตียวหยวนด้วยรอยยิ้มอันอ่อนโยนและถามว่า “ศิษย์พี่เตียว หากเราพบกับมังกรวารีพร้อมกันดั่งที่ท่านพูดจริงๆ เหตุใดมันจึงมองข้ามพวกท่านและมาทำร้ายพวกเราเล่า”
“หืม? ใช่สิ! เหตุใดมังกรวารีจึงโจมตีคน แต่ยังแบ่งว่า จะฆ่าใครไม่ฆ่าใคร” เหล่าลูกศิษย์มีคนถูกจ้าวหนานซิงจุดประกายจนเกิดความสงสัย
เตียวหยวนและหัวชางซู่สบตากันอย่างไม่ทิ้งร่องรอยแวบหนึ่ง แล้วพูดอย่างเย็นเยียบว่า “นั้นเป็นเพราะว่าเราหนีทัน แต่พวกเจ้ายืนยันว่าจะอยู่ต่อ”
จ้าวหนานซิงพยักหน้าเข้าใจและพูดเองเออเองว่า
“มังกรวารีสายม่วงตัวหนึ่ง ในขณะที่โจมตีเรา แต่กลับไม่ทำร้ายคนที่คิดจะหนี ฮู้ว บางทีอาจเป็นเพราะเราหน้าตาขี้เหร่ไปหน่อย จึงทำให้มันโกรธ มันเห็นว่าพวกของศิษย์พี่เตียวแลดูเป็นคนดี จึงได้เมตตาและปล่อยไป”
ท่ามกลางลูกศิษย์มีคนกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่ พวกของเหมยจื่อจ้งขี้เหร่ แล้วเตียวหยวนดูเป็นคนดีอย่างนั้นหรือ
เจ้าศิษย์พี่จ้าวจำเป็นต้องตลกถึงเพียงนั้นหรือไม่
แม้แต่มู่ชิงเกอเองก็อดเผยรอยยิ้มตรงมุมปากไม่ได้ นางเพิ่งจะค้นพบว่า ไม่ว่าจะเป็นเหมยจื่อจ้งที่เป็นดั่งเทวดา และจ้าวหนานซิงที่อ่อนโยนดั่งเรียวไผ่ พวกเขาล้วนมีทักษะการแสดงที่เก่งกาจเป็นอย่างมาก ทั้งความสามารถที่ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ข้าก็ไม่สนใจนั้นด้วย
“แล้วเราก็ฆ่ามังกรวารีและเด็ดหน่อจันทร์มายากลับมา” ซางจื่อซูเสริมด้วยนํ้าเสียงอันเย็นชา ราวกับกำลังสร้างตอนจบให้กับเรื่องของเตียวหยวน
แต่ทว่า หากฟังให้ดีแล้ว จะรู้สึกว่าความเป็นไปได้มีน้อยมาก!
“เหลวไหล! เพียงแค่พวกเจ้า จะสามารถฆ่ามังกรวารีสายม่วงได้อย่างไร” โหลวชวนป่ายจ้องและปฏิเสธในทันที
ซางจื่อซูเม้มปากเงียบ ในสายตาไร้ซึ่งการหลบหนี อย่างไรก็ตาม นางพูดความจริง เพียงแค่ทุกคนไม่เชื่อก็เท่านั้น
“ใช่ เพียงแค่พวกของศิษย์พี่เหมยจะฆ่ามังกรวารีสายม่วงได้อย่างไร”
“อย่าว่าแต่พวกของศิษย์พี่เหมยเลย แม้จะเป็นท่านผู้อาวุโสในโรงโอสถ ก็คงยากที่จะฆ่าสายม่วงได้! แม้จะสายนํ้าเงินร้อยคนก็ยังไม่สามารถสู้ได้เลย”
อาจารย์ปรุงยาเองก็ส่ายหน้า พวกเขาไม่เชื่อว่าด้วย ความสามารถของผู้น้อยที่มีพลังเวทเพียงเท่านั้น จะสามารถฆ่ามังกรวารีสายม่วงได้
“ใช้ยาพิษหรือเปล่า” มีคนพูด
มีคนปฏิเสธในทันที “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! พิษของมังกรวารีร้ายแรงอยู่แล้ว จะกลัวพิษธรรมดาได้อย่างไร อีกประการหนึ่ง บอกว่าเจอโดยบังเอิญ พวกของศิษย์พี่เหมยจะเตรียมยาพิษไปสู้กับมังกรวารีได้อย่างไร”
“ก็จริงๆ!”
“ถ้าเช่นนั้น พวกของศิษย์พี่เหมยไม่ได้พบกับมังกรวารีอย่างนั้นหรือ” ท่ามกลางการวิเคราะห์ราวกับจะได้ข้อสรุปที่เป็นความจริงออกมาแล้ว
มู่ชิงเกอเงียบฟัง ในใจแอบยิ้ม
ศิษย์พี่ทั้งสามของนาง ช่างเยี่ยมยอดเสียจริง
แน่นอนว่ามังกรวารีไม่ได้เป็นสิ่งที่จะฆ่าได้โดยง่าย แม้ว่าตอนนั้นนางจะห่างจากสายม่วงเพียงเอื้อมมือ แต่หากนางไม่มีอาวุธระดับเทพและทักษะอันพลิกฟ้า รวมทั้ง พลังสายฟ้า และสิ่งสำคัญคือเล็งจุดอ่อนของมังกรวารีไว้ตั้งแต่แรก จะแพ้หรือชนะก็ยากที่จะคาดเดาได้
นางแสดงความบริสุทธิ์ใจกับตนเองว่าคำพูดข้างบน นางไม่ได้เป็นคนสอน
ก่อนเข้าสู่โรงโอสถนางเพียงแค่พูดว่า “อย่ายอมรับว่ามีมังกรวารี มีความดีความชอบประการใด เรารับเอาไว้เงียบๆ”
ที่เหลือศิษย์พี่ทั้งสามล้วนคิดเองทั้งนั้น
หากยอมรับตามคำพูดของเตียวหยวน เป็นการเผยให้เห็นไพ่ใบสุดท้ายของมู่ชิงเกอต่อหน้าทุกคนมิใช่หรือ อีกประการหนึ่ง ทั้งเลือดมังกรวารีและสิ่งอื่นๆ ที่ได้มาก็ต้องเอามาส่งมอบ
เรื่องนี้ ตอนจ้าวหนานซิงไปเด็ดหน่อจันทร์มายา ก็ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้ว
เพราะฉะนั้น สำหรับคำเตือนของมู่ชิงเกอ พวกเขายอมรับอย่างเต็มใจ
“จูหลิง อาจารย์ถามเจ้า ว่าพวกเจ้าพบกับมังกรวารีหรือไม่” อยู่ๆ หัวชางซู่ก็สร้างความลำบากใจให้กับจูหลิงที่กำลังเงียบอยู่
บนลานอันเงียบงัน ทุกคนล้วนมองจูหลิง
จูหลิงเงยหน้าขึ้น มองหัวชางซู่ที่อยู่บนอัฒจันทร์ริมฝีปากสีแดงค่อยๆ กระตุกขึ้น “ท่านอาจารย์ ความสามารถของข้า ท่านยังไม่กระจ่างอีกหรือ เป็นแค่สายเหลืองธรรมดา หากพบกับมังกรวารีจริง ข้าจะมายืนอยู่ ที่นี่โดยที่ไม่เป็นอะไรเลยได้อย่างไรเล่า”
สายตาของหัวชางซู่ฉายความเคร่งขรึมและมองจูหลิงด้วยสายตาที่แฝงไอสังหาร
ในตอนนี้ แม้กระทั่งศิษย์น้องร่วมสำนักของเตียวหยวน ยังบอกว่าไม่ได้พบกับมังกรวารี ความจริงเป็นอย่างไร ทุกคนก็ย่อมรู้อยู่แก่ใจแล้ว
โหลวชวนป่ายพูดกับเตียวหยวนทันทีว่า “เตียวหยวน เจ้าโกหกร้ายแรงมากเพียงนี้เพราะเหตุอันใด”
เตียวหยวนกวาดสายตาอันโหดเหี้ยมและพูดอย่างเย็นเยียบว่า “ศิษย์เห็นมังกรวารีจริง ไม่เพียงแค่ข้าที่เห็น ศิษย์น้องคนอื่นๆ ก็เห็น”