ตอนที่ 187-4
รากวิญญาณเพลิงโดยกำเนิด การแข่งขันรอบที่สาม!
หลังจากทานอาหารเสร็จ เจียงหลีก็ไม่ได้จากไปไหน แต่กลับตามมู่ชิงเกอมาในห้องของนางรินชาให้ตัวเอง
มู่ชิงเกอมองนาง ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “มีเรื่องอะไร?”
เจียงหลีในตอนนี้ เก็บความสบายอารมณ์ตอนอยู่ต่อหน้าจ้าวหนานซิงและฟ่งอวี๋เฟยไป ดวงตาสีทองของนางมองไปที่ใบชาในแก้วชา เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้ารู้สึกว่าระหว่างสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตรามีแผนการอะไรที่ไม่ดีต่อเจ้าอยู่”
นัยน์ตาของมู่ชิงเกอวาววาบรินชาให้ตัวเอง หลังจากจิบคำหนึ่ง จึงมองนางแล้วเอ่ยว่า “สืบอะไรออกมาได้บ้างแล้ว?”
เจียงหลีส่ายหน้า
สืบออกมาไม่ได้?
อิงตามความสามารถของเจียงหลีกลับหาร่องรอยอะไรออกมาไม่ได้?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นางมั่นใจในความสามารถของเจียงหลี ถ้าหากแม้แต่นางก็สืบหาออกมาไม่ได้ ก็มีแค่เพียงสองสาเหตุ สาเหตุแรกก็คือระหว่างสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราไม่มีอะไรจริงๆ ทุกอย่างเป็นเพียงแค่การคาดเดาของพวกนางเท่านั้น
สาเหตุที่สองก็คือพวกเขาซ่อนเร้นอย่างลึกลับมากจนไม่มีร่องรอยให้ค้นหา นี่พูดให้ชัดเจนก็คือ แผนการของพวกเขานั้นใหญ่มากถึงจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เป็นอย่างแรกหรืออย่างที่สองกันแน่? มองดูจากท่าทางของเจียงหลีแล้วเห็นได้ชัดว่านางคิดว่าอย่างที่สองมีโอกาสเป็นไปได้มากกว่า ส่วนตัวของมู่ชิงเกอเองกลับคิดว่าเบื้องหลังการเงียบสงบของสำนัก หมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราซ่อนมุมดำมืดที่มองไม่เห็นอยู่
ทั้งสองคนเงียบลงดูเหมือนกับกำลังจิบชาอยู่อย่างสงบ
นอกหน้าต่าง สายลมยามคํ่าคืนพัดผ่านสวนดอกไม้เล็กๆ ด้านหน้าห้องของมู่ชิงเกอ กลางอากาศมีกลิ่นหอมลอยฟุ้ง ดวงดาวเต็มท้องฟ้า เป็นค่ำคืนที่แสนงดงาม
“ข้าจะให้คนคอยจับตาดูพวกเขา” เจียงหลีวางถ้วยชาในมือลงบนโต๊ะแล้วเอ่ยกับมู่ชิงเกอ มองออกถึงความเป็นห่วงของนาง มู่ชิงเกอกลับไม่คาดหวังให้นางแบกรับอะไรแทนตัวเองมากเกินไป เอ่ยปลอบว่า “อย่าได้ฝืนไปเลย ถ้าหากว่าพวกเขาไม่ยอมให้เจ้าได้หาพบ เจ้าจะต้องไปสิ้นเปลืองแรงทำไม?”
“สืบหาไม่ได้ว่าพวกเขาทำอะไร ข้าไม่อาจวางใจได้” เจียงหลีขมวดคิ้วอย่างจริงจัง
ความเป็นห่วงเป็นใยของเจียงหลีทำให้มู่ชิงเกอเงียบลง
นางไม่อาจจะปฏิเสธความหวังดีของเจียงหลีได้เลย
ก็เหมือนกัน หากในตอนนี้นางกับเจียงหลีสลับกัน นางก็จะเป็นดั่งเช่นเจียงหลี วางแผนทุกอย่างให้นาง
“จนถึงตอนนี้ ข้าสืบได้เพียงว่าพวกเขาไปตระกูลหลานอยู่ครั้งหนึ่งหลังจากที่เจ้าทำร้ายหลานเฟยเยว่แล้ว สำหรับภายนอกพวกเขาบอกแค่ว่าไปส่งยาแก่หลานเฟย เยว่ แต่ว่า พวกเขากับจวนตระกูลหลานก็ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกัน แล้วอยู่ดีๆ จะไปเสียสละอะไรทำไม? โดยเฉพาะอย่างยิ่งจวนตระกูลหลานกับเจ้าในตอนนี้นั้นผูกความแค้นกัน พวกเขาหลายฝั่งรวมกันก็จะต้องไม่มีอะไรที่ดีอย่างแน่นอน” เจียงหลีเอ่ยเสียงเข้ม
“รู้ว่าพวกเขาไม่มีเรื่องอะไรดีๆ ก็เพียงพอแล้ว” มู่ชิงเกอถือแก้วชาในมือ หลุบตาลงเอ่ย
ขนตายาวปิดกั้นอารมณ์ภายในดวงตาของนาง ทำให้คนอื่นไม่สามารถมองเห็นว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
แต่เจียงหลีกลับเอ่ยว่า “นี่ไม่พอ พวกเรายังไม่รู้ว่าพวกเขาวางแผนอะไรกัน? จะลงมือกับเจ้าอย่างไรและจะลงมือเมื่อไหร่”
นํ้าเลียงของนางหวั่นไหวขึ้นมา
มู่ชิงเกอยื่นมือออกมา กุมมือของนางที่อยู่บนโต๊ะ เอ่ยเสียงเข้มว่า “เจียงหลี ใจเย็นๆ อย่ารีบร้อน ที่นี่คืออาณาจักรเซิ่งหยวนไม่ใช่แคว้นกู่วู่ พวกเขาตั้งใจปิดซ่อน แม้แต่ตระกูลหวงฝู่ก็ไม่แน่ว่าจะหาเจอ เจ้ายังจะหาได้อย่างไร? มีศักดิ์เป็นถึงฮ่องเต้หญิงหรือว่าเจ้ายังไม่รู้อีกว่าการควบคุมแคว้นๆ หนึ่งนั้นไม่ได้ง่ายดายอย่างที่คิด? มีหลายอย่างลึกเกินกว่าจะมองเห็นได้”
เจียงหลีเงยหน้ามองนาง ดวงตาสีทองดูแข็งกระด้าง “ความรู้สึกของข้าบอกข้าว่าภัยอันตรายอยู่ใกล้ๆ สัญชาตญาณนี้ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน ดังนั้นข้าไม่อาจ วางใจได้ เพียงแต่มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ มหาปราชญ์รั้งเจ้าไว้ในตำหนักหลีกงคนเดียว เป็นการแสดงแก่ทุกคนว่าเจ้านั้นแตกต่างสำหรับเขา หากว่ารบกวนเจ้าก็คือการล่วงเกินเขา เรื่องนี้สำหรับเจ้าแล้วเป็นเหมือนสัญลักษณ์ที่ช่วยปกป้องคุ้มครองตลอดการเดินทางในเทียนตู แล้วเหตุใดพวกเขาจึงยังกล้าเสี่ยงอีก?”
มู่ชิงเกอปล่อยมือเจียงหลี ท่าทางสงบ “มีบางเวลา ความปรารถนาอาจนำไปสู่ความบ้าคลั่ง โอกาสก็สามารถทำให้คนกล้าทำอะไรแปลกๆ ได้เช่นกัน”
นางเข้าใจถึงความตั้งใจของซือมั่วแล้ว
นอกจากให้ราชวงศ์หวงฝู่คอยดูแลแล้ว ก็ยังจงใจทำเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะรู้ว่าศัตรูของนางนั้นมีมากเกินไป ต้องการที่จะมั่นใจถึงความปลอดภัยของนางตอนที่เขาไม่อยู่
แต่ว่าจิตใจมนุษย์ยากที่จะหยั่งถึง
ความโลภ ความเกลียดชังและความไม่พอใจในหัวใจของมนุษย์เพิ่มความกล้าให้อย่างไร้ขอบเขต
เจียงหลีสงบลงแล้ว นางมองมู่ชิงเกอแล้วถามว่า “หรือว่าจะต้องรอต่อไปเช่นนี้?”
มู่ชิงเกอยิ้มๆ “เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไร? หากว่าต้องการเอาชีวิตของข้าก็ต้องเตรียมใจตายมาก่อน!”
เจียงหลีมองท่าทางของนาง ไม่รู้ทำไม ความยุ่งเหยิงภายในใจกลับค่อยๆ ผ่อนเบาลง
หลังจากการแข่งขันในรอบที่สองจบลง พักผ่อนสามวัน มู่ชิงเกอก็อยู่ในเรือนรับรองตลอด เจียงหลีก็ยังคงสืบเรื่องเกี่ยวกับสำนักหมื่นอสูรกับหอหลอมศาสตราแล้วก็ยังมีตระกูลหลาน
หลังจากผ่านไปสามวัน การแข่งขันในรอบสุดท้ายก็มาถึง
ยามเช้า ท้องฟ้าสว่างไสว
พวกมู่ชิงเกอสามคนก็นำองครักษ์เขี้ยวมังกรทั้งสามร้อยนายทั้งยังมีคนที่มีระดับพลังชั้นสีครามขึ้นไปของแคว้นลี่และแคว้นอวี๋ที่รวมตัวกันได้หนึ่งร้อยคนเดินทางออกจากเรือนรับรองมุ่งไปยังพระราชวังของอาณาจักรเซิ่งหยวนพร้อมกัน
ทางเข้าช่องว่างแห่งการทดสอบอยู่ภายในเขตหวงห้ามของพระราชวังแห่งอาณาจักรเซิ่งหยวน
ดังนั้นพวกเขาทุกคนล้วนต้องไปรวมตัวกันอยู่ที่พระราชวัง
นอกจากเข้าไปในช่องว่างแห่งการทดสอบและเปิดการแข่งขันในรอบที่สามแล้ว ก็ต้องประกาศผลคะแนนการแข่งขันในรอบที่สองของแคว้นต่างๆ ก่อน
เจียงหลีมารอมู่ชิงเกอและคนอื่นๆ อยู่ด้านนอกพระราชวังนานแล้ว
นางยืนได้ไม่นาน หวงฝู่ฮ่วนก็เดินเข้ามาเอ่ยกับนางว่า “ไม่กี่วันมานี้ข้าส่งคนไปจับตาดูตระกูลหลานพบว่าพวกเขาไปพัวพันกับสำนักหมื่นอสูรแล้วก็ยังมีหอหลอมศาสตราจริงๆ อาจจะส่งผลร้ายต่อคุณชายมู่ ภายในช่องว่างแห่งการทดสอบมีขอบเขตจำกัด คุณชายมู่น่าจะไม่ต้องเสี่ยงอันตรายมากเท่าไหร่ ข้าคิดว่า พวกเขาน่าจะลงมือหลังจากเสร็จการแข่งขัน ลงมือตอนที่คุณชายมู่เหนื่อยล้า”
เจียงหลีเงยหน้ามองเขา ก่อนหน้านี้สองวันตอนที่มู่ชิงเกอฝึกวิชา นางก็ไปหาหวงฝู่ฮ่วนให้ช่วยเหลือ
ตอนนี้ ข่าวคราวที่เขานำมาให้นางทำให้นางลอบวางใจ ดังนั้นนางจึงเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนอย่างจริงใจว่า “ขอบคุณ”
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มเอ่ยว่า “คิดไม่ถึงว่า เจ้าที่เอ่ยขอบคุณต่อข้าเป็นครั้งแรกจะเป็นเพราะคุณชายมู่”