ตอนที่ 200-2
ไข่สีรุ้งล่ะ? เจ้านาย ข้ามีความลับจะบอก!
นางมองไปทางเฉินปี้เฉิง ตรวจดูเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “พักฟื้นดีหรือยัง”
“ดีแล้ว” เฉินปี้เฉิงเอ่ยตอบ
มู่ชิงเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง “ครั้งนี้ต้องขอบคุณเจ้ามาก ข้าเป็นหนี้บุญคุณเจ้าหนึ่งครั้ง จากนี้หากมีเรื่องให้ช่วยเหลือก็ให้มาหาข้าได้เลย”
นี่เป็นคำสัญญาของนาง
นางเป็นคนที่แยกแยะบุญคุณความแค้นอย่างชัดเจน ครั้งนี้เฉินปี้เฉิงช่วยเหลือนางอย่างไม่สนใจความเป็นความตาย บุญคุณในครั้งนั้นนางจดจำเอาไว้แล้ว อีกอย่าง นางไม่ได้คิดที่จะใช้สิ่งของมาตอบแทน แต่กลับตอบแทนด้วยการให้สัญญา
“ข้าจำไว้แล้ว” เฉินปี้เฉิงก็ไม่ได้เกรงใจเลยสักนิด
“นี่ ยังมีข้าอีกคน? ถึงแม้ว่าข้าไม่ได้เกือบจะสิ้นชีพดั่งเช่นเจ้าบ้าเฉินแต่ว่าข้าก็วิ่งไปวิ่งมาข้างนอกเพื่อช่วยเจ้า!” หวงฝู่ฮ่วนรีบเอ่ยออกมา
มู่ชิงเกอหันมองเขา “เจ้ามาพบข้าในครั้งนี้ก็เพื่อต้องการของตอบแทนอย่างนั้นหรือ?”
หวงฝู่ฮ่วนยิ้มๆ และกล่าวว่า “ข้าเป็นคนตรงไปตรงมาถึงขนาดนั้นเลยหรือ? ที่ข้ามาก็เพื่อมอบของบางอย่างให้แก่เจ้า”พูดแล้วเขาก็เอากระเป๋าจัดเก็บที่เตรียมมา ยื่นให้มู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอมองที่กระเป๋าจัดเก็บอย่างสงสัย
หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยอธิบายว่า “เสด็จพ่อของข้าคิดว่าในครั้งนี้ทำเรื่องที่มหาปราชญ์มอบหมายได้ไม่ดี ดังนั้นจึงส่งข้าขึ้นมาบนเขาเพื่อรับโทษและก็มอบของบางอย่างให้เจ้าคุณชายมู่เพื่อบำรุงร่างกาย”
มู่ชิงเกอกลายเป็นนิ่งชะงัก นางส่งปัญญาแห่งการหยั่งรู้เข้าไปในกระเป๋าจัดเก็บเพื่อดูเล็กน้อย
แน่นอนว่ามีสมุนไพรมากมายเหมือนกับเอาภูเขามาทั้งลูก และมียาฟื้นฟูกำลังที่หาได้ยาก นอกจากนี้ยังมีของลํ้าค่าและเครื่องบรรณาการหลากหลายประเภท
ใจกว้างมาก!
“อาณาจักรเซิ่งหยวนช่างร่ำรวยยิ่งนัก!” มู่ชิงเกอเก็บปัญญาแห่งการหยั่งรู้กลับ ยิ้มๆ และเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนอย่างซาบซึ้ง
หวงฝู่ฮ่วนกลับยิ้มอย่างขมขื่น “ครั้งนี้เสด็จพ่อทุ่มเทมาก ของด้านในนั้นก็แทบจะทำให้คลังเก็บของของเสด็จพ่อว่างเปล่าเกินครึ่ง”
น่าเสียดายความจริงของเขากลับทำได้เพียงได้รับท่าทีที่แสดงออกว่า ‘ฟังเจ้าโม้’ ของมู่ชิงเกอ
รับกระเป๋าจัดเก็บอย่างไม่เกรงใจ มู่ชิงเกอเอ่ยไปงั้นๆ ว่า “ฝากขอบคุณจักรพรรดิหยวนแทนข้าด้วย”
“เสด็จพ่อยังมีข้อความมาฝากให้ข้าช่วยถาม” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ย
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น นัยน์ตาวาววาบ คาดเดาออกแล้วว่าจักรพรรดิหยวนอยากจะถามอะไร “กลับไปบอกจักรพรรดิหยวน ข้าไม่สนใจสิ่งของเหล่านั้นของตระกูล หลาน ตระกูลมู่ของข้าอยู่ในแคว้นฉินคุ้นเคยดีอยู่แล้ว บ้านเกิดก็ยากที่จะพรากจาก”
ที่สมควรเอามา กู่หยาและกู่เย่ก็เอามาแทนนางแล้ว ของอื่นๆ นางไม่สนใจ
นัยน์ตาของหวงฝู่ฮ่วนวาววาบ เข้าใจความหมายทั้งสองในคำพูดของนาง อันแรกคือนางไม่อยากยุ่งวุ่นวายกับการเปลี่ยนสับทางอำนาจใหม่ในเทียนตู
ข้อสองก็แสดงให้เห็นถึงท่าทีที่ชัดเจนว่าตระกูลมู่นั้นเป็นตระกูลมู่ของแคว้นฉินไม่เปลี่ยนแปลง
แต่ว่าหวงฝู่ฮ่วนกลับยิ้มอย่างขมขื่นในใจ
ตอนนี้มู่ชิงเกอมีชื่อเสียงโด่งดังทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่ตื้นเขินกับองค์มหาปราชญ์ ตระกูลมู่ก็ได้เปลี่ยนกลายเป็นหนึ่งในตระกูลผู้นำของตระกูลชั้นสูงแล้ว
นับจากนี้ไป ใครจะกล้าไปล่วงเกินตระกูลมู่อีก?
เกรงว่านับจากนี้ไปทุกขุมอำนาจในหลินชวน รายชื่อในแต่ละปีที่จะต้องส่งบรรณาการให้ก็จะต้องมีตระกูลมู่โผล่เข้ามาด้วย!
“ได้ ข้าจะรายงานแก่เสด็จพ่อของข้าตามนี้” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ยเสียงเข้ม
“พวกเจ้ามาในวันนี้ คนที่อยากพบจริงๆ คงไม่ใช่ข้าหรอกใช่ไหม?” อยู่ดีๆ มู่ชิงเกอก็เปลี่ยนหัวข้อ
หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงก็ไม่ได้รู้สึกกระดากใจ หวงฝู่ฮ่วนยิ้มอย่างหมดหนทาง “พบเจ้าก็เป็นหนึ่งในภารกิจ แต่ทว่าพวกเราทั้งสองก็ต้องการพบมหาปราชญ์จริงๆ ไม่ทราบว่าคุณชายมู่พอที่จะช่วยเหลือได้หรือไม่?”
มู่ชิงเกอส่ายๆ หน้า “ไม่ใช่ว่าข้าไม่ช่วย แต่เขาเก็บตัวฝึกตน เกรงว่าจะไม่มีเวลาพบพวกเจ้า”
มหาปราชญ์เก็บตัวฝึนฝนแล้ว?
คำตอบนี้ทำให้หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงมีแววผิดหวังในแววตา
สำหรับการเก็บตัวของซือมั่วนั้นพวกเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจเหมือนมู่ชิงเกอ
เพราะว่าผู้อาวุโสในตระกูลที่มีระดับพลังสูงของตระกูลพวกเขา ถึงแม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับมหาปราชญได้ แต่ก็ทำให้พวกเขาทั้งสองมีภาพลักษณ์อย่างหนึ่งเกี่ยวกับพวกเขาว่า ไม่ทำอะไรก็เก็บตัว อีกทั้งเก็บตัวทีก็กินเวลายาวนานมาก
“พวกเจ้าเจอเขาก็เพื่อเรื่องกราบอาจารย์งั้นหรือ?” มู่ชิงเกอเอ่ย
หวงฝู่ฮ่วนกับเฉินปี้เฉิงล้วนแต่อยากกราบซือมั่วเป็นอาจารย์ จุดๆ นั้นนางรู้มานานแล้ว แล้วก็เคยรับปากหวงฝู่ฮ่วนว่าจะถามให้เขา
เพียงแต่ว่า ครั้งก่อนที่นางถามไป ซือมั่วให้คำตอบที่ดูคลุมเครือ ส่วนในครั้งนี้ ไม่ทันได้พูดเขาก็เก็บตัวแล้ว หวงฝู่ฮ่วนพยักหน้ามองเฉินปี้เฉิง
เฉินปี้เฉิงเอ่ย “เจ้าพูดว่าติดค้างข้าเรื่องหนึ่ง เช่นนั้นก็ช่วยข้าถามมหาปราชญ์ว่าจะรับข้าเป็นศิษย์หรือไม่ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร เรื่องที่เจ้าติดค้างข้าก็ถือว่า แล้วกันไป”
มู่ชิงเกอชะงัก หวงฝู่ฮ่วนก็ชะงัก เมื่อแน่ใจแล้วว่าตนเองไม่ได้ฟังผิด ในใจของมู่ชิงเกอก็รู้สึกเจ็บปวด คำสัญญาของนางไร้ค่าถึงขนาดนี้เชียวหรือ? ใช้คำพูดเดียว ก็ชำระเรื่องติดด้างได้แล้ว?
นางไม่คิดว่าการถามคำถามซือมั่วสักประโยคจะยากมากมายอะไร แต่ก็คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะสำคัญมากสำหรับเฉินปี้เฉิง
ถ้าหากว่าไม่มีนาง ชั่วชีวิตนี้เขาอาจจะไม่ได้รับคำตอบเลย!
“เจ้าแน่ใจนะว่าจะใช้คำสัญญาของข้า? ข้าสามารถบอกเจ้าได้เลย ถึงแม้เจ้าไม่ใช้ ข้าก็จะช่วยเจ้าถามอยู่ดี เช่นนี้แล้วเจ้ายังจะใช้อีกหรือไม่?” มู่ชิงเกอเอ่ยถาม
เฉินปี้เฉิงพยักหน้าอย่างไม่ลังเล “ไม่ติดค้างกันแล้ว ครั้งหน้าที่ประลองกันถึงจะได้ไม่ติดค้างในใจ”
“…” มู่ชิงเกอไม่มีคำพูดที่จะพูดต่ออีก นี่คือคำขอของเฉินปี้เฉิง? ถุ้ย! เอาเถอะ
มู่ชิงเกอเอ่ยกับหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงว่า “ขอพูดให้ชัดเจนหน่อย ถามนั้นข้าสามารถถามให้ได้ แต่ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับการตัดสินใจของเขาอย่างเด็ดขาด” นาง ไม่ใช่คนมากเรื่อง หากไม่ใช่ว่าหวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงช่วยนางไว้มาก ทั้งนางก็ยังเคยสัญญาไว้ หาไม่แล้วนางก็จะไม่สนเรื่องนี้เลย
“นั้นมันแน่นอน” หวงฝู่ฮ่วนเอ่ย
เฉินปี้เฉิงก็พยักหน้าขอบคุณ
“คนอื่นๆ เป็นอย่างไรบ้าง?” เมื่อพูดเรื่องที่ควรพูดไปหมดแล้ว มู่ชิงเกอถึงได้ถามเรื่องที่ตนเองสนใจออกมา
คำถามของนางดูกว้าง แต่หวงฝู่ฮ่วนก็รู้อย่างชัดเจนว่า นางอยากจะรู้ถึงข่าวคราวคนบางคน เขาเอ่ยว่า “องครักษ์เขี้ยวมังกร จ้าวหนานซิง รัชทายาทหญิงฟ่ง ล้วนกลับไปที่เรือนรับรองของแคว้นระดับสาม ฮ่องเต้เจียงก็กลับอาคารรับรองของแคว้นกู่วู่ เสด็จพ่อได้ส่งคนไปช่วยรักษาบาดแผลของพวกเขาแล้ว ประมุขโรงโอสถก็ออกหน้า ดังนั้นตอนนี้พวกเขาจึงปลอดภัยดี พักผ่อนอีกไม่กี่วันก็ดีขึ้น แต่ว่าในครั้งนี้แคว้นลี่และแคว้นอวี๋สูญเสียผู้กล้าไปไม่น้อย ถึงแม้จะได้ชัยออกมาก็คงยากที่จะเข้าสู่เศษซากโบราณ”
มู่ชิงเกอนิ่งลงไป
นัยน์ตาของนางวาววาบเหมือนครุ่นคิดอะไรอยู่
ตอนนี้อาศัยแผ่นป้ายในมือนาง การทำให้แคว้นระดับสามทั้งหมดผ่านการแข่งขันในรอบที่สามนั้นก็ไม่เป็นปัญหา
หลังจากคะแนนสรุปออกมา อย่างน้อยนางก็สามารถดึงแคว้นระดับสามแคว้นหนึ่งขึ้นมาเพื่อเข้าสู่ซากปรักหักพังโบราณ แต่ว่าก็เป็นอย่างเช่นหวงฝู่ฮ่วนเอ่ย แคว้นลี่ และแคว้นอวี๋สูญเสียอย่างหนักเพราะนาง ถ้าหากเอาสิทธิ์ให้พวกเขา เกรงว่าก็จะเป็นการสิ้นเปลืองเปล่าๆ
เรื่องนี้ จะทำอย่างไรดี?
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วขึ้น ชั่วครู่ไม่อาจตัดสินใจได้
เรื่องนั้นนางคิดว่ายังคงต้องไปพบจ้าวหนานซิงกับฟงอวี๋เฟยแล้วค่อยตัดสินใจ นางอยากฟังความคิดของพวกเขาว่าจะไปหรือไม่ไป!
นางเงยหน้าขึ้นมองไปทางหวงฝู่ฮ่วนแล้วเอ่ยว่า “ช่วยข้าบอกพวกเขาทีว่า ให้พวกเขารักษาตัวให้ดีๆ เรื่องที่เหลือรอข้ากลับไปค่อยว่ากัน”
“ได้” หวงฝู่ฮ่วนรับคำ
นี่เป็นการมอบโอกาสอันดีที่เขาจะได้ไปพบฮ่องเต้เจียงอย่างเปิดเผย!
ที่สมควรพูดก็พูดไปหมดแล้ว หวงฝู่ฮ่วนและเฉินปี้เฉิงก็ไม่มีเหตุผลจะอยู่ตำหนักหลีกงต่อจึงลงจากเขาไป
เมื่อส่งคนทั้งสองแล้วมู่ชิงเกอก็กลับมาที่ห้อง แต่ทว่านางไม่ได้อยู่ภายในห้อง แต่กลับเข้าไปในช่องว่าง
ในเมื่อซือมั่วกำลังเก็บตัวอยู่ เช่นนั้นนางก็สามารถเข้าไปในช่องว่างจัดการเรื่องราวของตนเอง อย่างเช่นการฝึกฝนวิชาและการจัดระเบียบสินสงครามที่ได้จากศึกในครั้งนี้!
นางเพิ่งเข้าไปในช่องว่างก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังเข้ามา—–
“อ้า! ไม่ดีแล้ว! ไข่แตกแล้ว ไข่แตกแล้ว!”
เสียงดังสะท้านไปทั่วทั้งช่องว่าง
นี่ทำให้มู่ชิงเกอชะงัก กะพริบตาครุ่นคิด “ไข่แตกแล้ว? ไข่ของใครแตก?”
นางคิดไปถึงไข่นกที่นางนำมาจากป่าต้นอู๋ถงหลายร้อยใบเป็นอันดับแรก รีบวิ่งไปที่นั่นเพื่อตรวจดู เมื่อพบว่าไข่ล้วนแต่ไม่เป็นอะไรแล้ว ในใจถึงได้วางใจลงได้
แต่ว่า เสียงของเหมิงเหมิงยังคงดังต่อไป
ทั้งยังดังมาจากด้านหลังของนาง
มู่ชิงเกอหันร่างกลับก็มองเห็นเหมิงเหมิงวิ่งมาทางนางอย่างตื่นตกใจ ในปากยังตะโกนว่า “เจ้านาย ไข่แตกแล้ว! ไข่แตกแล้ว!”
“พูดดีๆ จะได้หรือไม่?” มู่ชิงเกอคว้านางเอาไว้ ขมวดคิ้ว
เหมิงเหมิงถูกมู่ชิงเกอยกขึ้นไว้ในมือ เขย่าไปเขย่ามา เบิกตากว้างจ้องอย่างตื่นตกใจ มองมู่ชิงเกอ ทันใดนั้น ปากเล็กๆ ของนางก็ร้องไห้ขึ้นมา “แง้—–! เจ้านาย มันไม่เกี่ยวข้องกับข้านะ! ไข่ไม่ใช่ข้าตีแตกนะ! จะต้องเป็นหยวนหยวนเจ้าโง่นั่นทำแน่เลย!”
“เป็นไข่อะไรแตกกันแน่?” มู่ชิงเกอถูกเสียงร้องไห้ของนางทำจนปวดหัว
เหมิงเหมิงสูดๆ จมูก ใบหน้าจํ้ามํ่ามีนํ้าตาไหลย้อย เต็มไปด้วยความอดสู “ก็ไข่สีรุ้งที่ถูกเจ้านายเอากลับมาพร้อมกันกับหยวนหยวนไง”
มู่ชิงเกอชะงัก ก่อนจะนึกขึ้นมาได้
ใช่แล้ว! ยังมีไข่สีรุ้งที่นางลืมไปแล้วอยู่ใบหนึ่ง วู้…ทันใดนั้นนางก็รู้สึกว่าในช่องว่างของตนเองนั้นมีไข่เยอะมาก
ไม่ได้พูดจา มู่ชิงเกอก็หิ้วเหมิงเหมิงไปทางตำหนักใหญ่ เมื่อพวกนางเดินไปได้สักพักหนึ่ง ป่าหนาทึบที่มีไข่นกก็มีหางเล็กๆ สีขาวโผล่ออกมา สะบัดเล็กน้อย พริบตาเดียว ไข่นกใบหนึ่งที่อยู่ตรงหน้าก็หายไป เกิดเป็นเสียง ‘แครก แครก’ ดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง