Skip to content

พลิกปฐพี 335

ตอนที่ 335

ตระกูลซางมาถึง

ซือมั่วไปมาไร้ร่องรอย ไม่ทำให้ใครแตกตื่น เขาก็ลอบจากไปแล้ว

มู่ชิงเกอตื่นขึ้นมาจากฝัน ยื่นมือออกไปคลำที่ด้านข้างว่างเปล่า ตอนที่ลืมตาขึ้นมานั้น นัยน์ตาสดใสก็ปรากฏร่องรอยของความเสียใจ

“ข้ายังไม่ได้พาเจ้าเดินเล่นดูลั่วซิงเฉิงเลย” มู่ชิงเกอบ่นไปประโยคหนึ่ง

“คุณชาย ด้านหน้ามีข่าวแจ้งเข้ามาว่าคนของตระกูลซางจะมาถึงในอีกหนึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ” นอกประตู มีเสียงของโย่วเหอดังเข้ามา

มู่ชิงเกอใช้มือดันตัวขึ้นมาจากเตียง เอ่ยกับโย่วเหอที่หน้าประตูว่า “รู้แล้ว ช่วยเตรียมนํ้าให้ข้าที ข้าจะอาบน้ำ”

“เจ้าค่ะ”

เสียงฝีเท้าค่อยๆ ไกลออกไป

ในตอนนี้มู่ชิงเกอถึงได้ทอดสายตาไปมองยังมุมของห้อง บนร่างของโชคหลากสีตัวนั้น

มองเห็นโชคตัวนี้แล้ว ในหัวของมู่ชิงเกอก็ปรากฎภาพเมื่อคืนวาน…ไม่น่าจะพูดว่าเป็นการสนทนาระหว่างนางกับซือมั่ว บนมุมปากของนางประดับไว้ด้วยรอยยิ้มหวาน

ยกมือขึ้นโบก เก็บโชคที่กำลังหลับอยู่เข้าไปในช่องว่าง หลังจากรวบรวมสติกลับมาแล้ว นางก็แหวกผ้าห่มออก ลุกขึ้นมาจากเตียง ทันใดนั้นก็พบว่าบนเตียงมีกล่องสีทองเพิ่มขึ้นมาอันหนึ่ง

‘นี่คืออะไร?’ มู่ชิงเกอสงสัย หยิบกล่องมาวางไว้ในมือ กำลังจะเปิดฝามันออก

ทันใดนั้น ลมสายหนึ่งก็พัดออกมาจากกล่อง นัยน์ตาของมู่ชิงเกอหดตัวลง ตกใจเพราะไม่ทันได้ตั้งตัว

พริบตาต่อมาก็มีเงาร่างเสมือนจริงของคนสายหนึ่งตกลงบนพื้น กลายเป็นรูปร่างของซือมั่ว

“เสี่ยวเกอเอ๋อร์…”

“ซือมั่ว!” เมื่อมองเห็นเงาร่างเสมือนจริงพูดจา มู่ชิงเกอก็ตกตะลึงไป

ร่างเสมือนของซือมั่ว ภายในนัยน์ตาสีอำพันปรากฎรอยยิ้มอบอุ่นอ่อนโยน มองดูมู่ชิงเกอแล้วเอ่ยว่า “เมื่อวานนั้นวุ่นวายอยู่กับการปลอบประโลมเจ้าทั้งคืนจนเกือบลืมเรื่องสำคัญ ดีที่ก่อนจะจากไปนึกขึ้นได้ภายในกล่องนี้ เป็นของขวัญชิ้นที่สองที่ข้ามอบให้เจ้า ขอให้เจ้ามีความสุขในการเปิดเมือง เจ้าเปิดดูแล้วจะรู้เองว่าเป็นอะไร”

มู่ชิงเกอเปิดดูตามคำบอก ภายในกล่องมีดอกไม้เล็กๆ สีแดงเลือดที่ดูคล้ายกับรังไหมอยู่ ลำต้นเรียบและโปร่งแสง

“ดอกไหมโลหิต!” มู่ชิงเกอเอ่ยออกมาอย่างดีใจ

ดอกไหมโลหิต! ดอกไหมโลหิต! รวมกับเห็ดหลินจือขนไฟที่นางได้มาจากหานชุ่นก่อนหน้านี้วัตถุดิบสำหรับการฟื้นคืนชีพให้มู่เหลียนเฉิงก็เหลืออีกหนึ่งอย่างและยังมีโลหิตแห่งเทพมาร!

ของขวัญนี้ซือมั่วส่งมาได้ตรงใจนางมาก

มุมปากของมู่ชิงเกอฉีกยิ้มหวานละลายใจคนออกมา นางเก็บกล่องไว้เป็นอย่างดี แล้วมองไปยังร่างเสมือนของซือมั่ว เอ่ยเสียงเบาออกไป “ซือมั่ว ขอบคุณมาก” ซือมั่วดูเหมือนจะคาดเดาออกว่ามู่ชิงเกอจะต้องขอบคุณเขา หลังจากที่คำพูดของนางจบลง ก็เอ่ยขึ้นในทันทีว่า “ข้าเคยพูดแล้ว ว่าระหว่างข้ากับเจ้าไม่ต้องมีคำว่า ขอบคุณ ข้าต้องไปแล้ว หากมีเวลาข้าจะมาหาเจ้า เวลาที่ข้าไม่อยู่ เจ้าต้องช่วยข้าดูแลตนเองให้ดีๆ รับปากข้าว่าจะไม่บาดเจ็บอีก หากว่าพบเจอเรื่องที่ไม่อาจทำได้ ก็ไม่ต้องฝืน เจ้ายังมีข้าอยู่ ยันต์ส่งสารที่ข้ามอบให้เหล่านั้น ไม่เพียงแต่สามารถส่งสารให้หลินชวน ยังสามารส่งมาให้ข้าได้ด้วย”

จากนั้นเงาร่างของซือมั่วก็เปลี่ยนเป็นจางลงเรื่อยๆ ในที่ สุดก็กลายเป็นเส้นผมสีดำค่อยๆ ลอยตกลงมาจากอากาศ

มู่ชิงเกอยกมือขึ้นรับเอาไว้ เส้นผมยาวนั้นตกลงบนมือของนาง บนนั้นยังมีกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของซือมั่วหลงเหลืออยู่

ไม่คิดจะโยนของๆ ซือมั่วทิ้งไป มู่ชิงเกอตั้งใจหากล่องมากล่องหนึ่ง วางเส้นผมยาวนั้นเข้าไป เก็บรักษาเอาไว้ เป็นอย่างดี

เพียงแต่ว่า เพิ่งจะวางกล่องลงดี นางก็ครุ่นคิดอย่างแปลกประหลาดขึ้นมา ‘หากว่าทุกครั้งที่จะฝากข่าวสาร ไว้ล้วนแต่ต้องถอนผมหนึ่งเส้นไม่นานก็จะหัวล้านหรือไม่?’

พูดจบแล้ว มู่ชิงเกอก็ถูกความคิดของตนเองทำให้ หัวเราะ ‘ฮ่าๆ’ ขึ้นมา เสียงหัวเราะดังออกไปนอกประตู ทำให้โย่วเหอที่เตรียมนํ้ามาไว้เสร็จแล้วตกตะลึงไป ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอยู่ดีๆ มู่ชิงเกอถึงได้อารมณ์ดีเช่นนี้ได้

“นับตั้งแต่กลับมาจากหานชุ่น ยังไม่เคยได้ยินเสียงหัวเราะเช่นนี้จากคุณชายเลย” โย่วเหอส่ายหน้าอย่างปวดใจ

มู่ชิงเกอลุกขึ้นมาจากเตียง เดินไปข้างหน้าต่าง มองไปยังสีท้องฟ้าด้านนอก จากนั้นท่าทีก็ดูมึนงงขึ้นมา “ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้วหรือ?”

นี่ก็หมายถึงว่า นางนอนมาทั้งวันเลยหรือ?!

มู่ชิงเกอสูดหายใจเข้าลึกๆ มุมปากกระตุก

“คุณชาย เตรียมน้ำอาบเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ” นอกประตูมีเสียงของโย่วเหอดังเข้ามา

มู่ชิงเกอถอนหายใจเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ยังรู้สึกแปลกใจ ว่าเหตุใดคนของตระกูลซางถึงมาถึงเช้านัก คิดไม่ถึงว่ากลับถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์จะลับขอบฟ้าแล้ว”

รอจนมู่ชิงเกออาบน้ำและทานอาหารว่างรองท้องเสร็จ ทหารยามที่เฝ้าประตูเมืองก็ได้ส่งข่าวมาว่า คนของตระกูลซางมาถึงเมืองแล้ว

มู่ชิงเกอจึงนำโย่วเหอและฮวาเยวี่ยสองนางไปหน้าประตูเมืองเพื่อต้อนรับ

“ท่านตา ผู้อาวุโสสาม” มองเห็นผู้ที่นำขบวนมาคือซางซุ่นหวางและผู้อาวุโสสามแล้ว มู่ชิงเกอก็เผยรอยยิ้มออกมา

ตามมาด้านหลังของพวกเขา นอกจากพวกผู้ดูแลในตระกูลซางแล้ว ก็ยังมีพวกรุ่นเยาว์ตระกูลซาง ดูท่าแล้ว ซางซุ่นหวางคิดจะใช้โอกาสนี้พาพวกเขาออกมาดูโลก ภายนอก

มู่ชิงเกอกวาดมองไปรอบๆ อย่างรวดเร็ว นอกจากมู่เสวี่ยอู่แล้ว ก็ยังมองเห็นซางจื่อหลัน พวกซางเหย่ แล้วก็ยังมีอีกคนที่เคยพบกันครั้งหนึ่ง แต่ไม่เคยได้พูดคุยกัน

มู่ชิงเกอถอนสายตากลับมาจากร่างของศิษย์ตระกูลซาง

“เกอเอ๋อร์สถานที่นี้ของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ!” ตลอดเส้นทางจากประตูเมืองที่ซางซุ่นหวางเดินมา มองเห็นลักษณะของลั่วซิงเฉิงแล้วก็ชมออกมาจากใจจริง

“ลูกพี่” มู่สวี่ยอู่พูดขึ้นอย่างดีใจ

มุมปากของมู่ชิงเกอแขวนไว้ด้วยรอยยิ้ม เอ่ยกับพวกเขาว่า “หากว่าชอบ สามารถพักอาศัยอยู่ได้หลายวัน ต่อไปยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางหลอมออกมาก็จะขายอยู่ในลั่วซิงเฉิงเท่านั้น มีโอกาสที่จะมาอีกหลายครั้ง”

ซางซุ่นหวางพยักหน้า

“ไปก่อนค่อยพูดเถอะ ภายในจวนได้จัดเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว ทุกคนสามารถพักผ่อนก่อน จากนั้นก็ค่อยไปทานอาหารเย็น” มู่ชิงเกอเชิญทุกคนเข้าไปในปราสาท พูดว่าพักผ่อนตามอัธยาศัย แต่ในเมื่อเป็นแขก พวกซางซุ่นหวางแน่นอนว่าทำตามการจัดวางของมู่ชิงเกอ

คนของตระกูลซางเข้าไปในจวนเจ้าเมือง

ในตอนที่ราชครูที่มากับขณะของตระกูลซางเดินผ่านมาข้างกายของมู่ชิงเกอนั้น ก็คำนับนาง “นายน้อย”

มู่ชิงเกอพยักหน้าเล็กน้อย เอ่ยกับเขาว่า “ตลอดเส้นทางมาลำบากแล้ว ต่อไปเจ้าก็พักอาศัยอยู่ที่นี่ จะได้ประหยัดเวลาเดินทาง”

“ขอบคุณนายน้อย” หลังจากที่ราชครูกล่าวขอบคุณแล้ว ก็เดินเข้าไปด้วยกัน

มู่ชิงเกอหันกายเดินไป ตอนที่เดินผ่านมู่เสวี่ยอู่นั้น ก็เอ่ยกับนางว่า “ห้องของเจ้า ข้าจัดไว้ภายในจวนเจ้าเมือง ถึงเวลาโย่วเหอจะพาเจ้าไป”

พูดจบแล้ว นางก็เดินไปทางซางซุ่นหวาง นี่ทำให้มู่เสวี่ยอู่ชะงักไป

ตอนที่มู่ชิงเกอเดินมาถึงข้างกายของซางซุ่นหวางนั้น ก็เอ่ยกับเขาว่า “ท่านตา ในเมื่อต่อไปตระกูลซางจะร่วมมือกับลั่วซิงเฉิงแล้ว เพื่อความสะดวก ข้าจึงตั้งใจเหลือจวนว่างทำเป็นที่พักอาศัยถาวรของตระกูลซางในลั่วซิงเฉิง ท่านว่าดีหรือไม่?”

ซางซุ่นหวางมองไปที่นางแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เรื่องที่เจ้าตัดสินใจแล้ว ยังจะมาถามข้าอีกทำไม? ทำตามความคิดของเจ้าเถอะ”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วพยักหน้า

คืนนั้นมู่ชิงเกอได้จัดงานเลี้ยงขึ้นในจวนเจ้าเมือง เชิญคนของตระกูลซางทุกคนมาร่วม

เพราะว่างานเลี้ยงชื่นชมผลงานยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพของตระกูลซางนั้นจัดขึ้นที่ลั่วซิงเฉิง ดังนั้นจึงมีหลายเรื่องที่มู่ชิงเกอต้องพูดคุย หลังจากงานเลี้ยงเลิกแล้ว ซางซุ่นหวางก็ไปห้องหนังสือของมู่ชิงเกอ ดื่มชาสร่างเมา จากนั้นทั้งสองคนก็ค่อยๆ พูดคุยกัน

“ถึงแม้ว่าเทียบเชิญจะถูกส่งในนามของตระกูลซางกับลั่วซิงเฉิง แต่ทั้งหมดถูกจัดอยู่ในสถานที่เดียวกัน ทั้งยังล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับเจ้า ความหมายของข้าก็คือไม่สู้จัดขึ้นด้วยกันเลยเป็นไรไป” ซางซุ่นหวางดื่มชาลงไปคำหนึ่ง หลังจากวางจอกชาลงไปแล้วก็เอ่ยขึ้นกับมู่ชิงเกอ

มู่ชิงเกอพยักหน้า นางเข้าใจความหมายของซางซุ่นหวาง และก็มีความคิดนี้เช่นเดียวกัน “ข้าก็คิดจะจัดการเช่นนี้ คนที่ทั้งสองฝ่ายเชื้อเชิญ ไม่แตกต่างกันมาก สามารถจัดขึ้นพร้อมกัน ไม่จำเป็นต้องจัดสองครั้ง ถึงเวลานั้น จะจัดงานเลี้ยงในจวนเจ้าเมือง ประกาศการตั้งเมืองลั่วซิงเฉิง และก็จะให้ทุกคนได้ชมยุทธภัณฑ์ชั้นมหาเทพ”

“อืม เช่นนั้นก็จะประหยัดไปมาก แต่ว่า พรุ่งนี้ทางฝั่งของตระกูลซางยังต้องการสถานที่หนึ่งเพื่อทำเป็นสถานที่แสดงยุทธภัณฑ์ ครั้งนี้ข้านำยุทธภัณฑ์มาด้วยร้อยกว่าชิ้น มียุทธภัณฑ์ชั้นเทวะสองชิ้น ที่เหลือก็ล้วนแต่เป็นยุทธภัณฑ์ชั้นสมบัติ หากว่ามีใครสนใจ ก็สามารถซื้อได้เลย อีกอย่างตระกูลซางก็ไม่ได้มีโอกาสแสดงตัวเช่นนี้มานานมากแล้ว จะได้ทำให้คนภายนอกได้รับรู้ถึงยุทธภัณฑ์ที่ตระกูลซางหลอมออกมา ว่ายังเป็นอันดับหนึ่งในโลก หากสามารถได้รับการสั่งจองขนานใหญ่ได้ก็จะดีมาก” ซางซุ่นหวางเผยความคิดของตนเองออกไป

มู่ชิงเกอเอ่ยอย่างเห็นด้วยว่า “แต่เดิมลั่วซิงเฉิงก็เหลือร้านค้าพิเศษสำหรับตระกูลซางไว้อยู่แล้ว การจัดแสดงนี้สามารถทำได้ที่นั่น อีกอย่าง ยุทธภัณฑ์ชั้นเทวะสองชิ้นนั้นสามารถจัดแสดงได้แต่ไม่สามารถขายได้ ให้พวกเขาเห็นแล้วเกิดความอยาก รอเวลาที่ชั้นหนึ่งจัดประมูลแล้ว ก็ค่อยเอาออกมาประมูลขาย”

“ชั้นหนึ่ง?” ซางซุ่นหวางพูดอย่างประหลาดใจ

มู่ชิงเกออธิบายว่า “หอประมูลของลั่วซิงเฉิง จะกำหนดเวลาจัดการประมูล หลักๆ ที่จะประมูลก็คือยุทธภัณฑ์ของตระกูลซางแล้วก็โอสถระดับชั้นสมบัติขึ้นไป” นัยน์ตาของซางซุ่นหวางเปล่งประกายขึ้นมา ชั่วขณะนั้นก็เข้าใจความหมายของมู่ชิงเกอ เขาชี้มาทางมู่ชิงเกอแล้วยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าจิ้งจอกน้อยนี่”

มู่ชิงเกอยิ้มๆ เอ่ยต่อว่า “อีกอย่าง นอกจากจัดแสดงแล้ว สามารถเลือกศิษย์ที่หลอมศาสตราได้ไม่เลวออกมาหลายๆ คน มาหลอมศาสตราอย่างเปิดเผย ให้คนอื่นได้ดูว่าตระกูลซางหลอมศาสตรากันอย่างไร ศาสตราที่หลอมออกมาได้หากว่าพวกเขายินยอมที่จะขาย ก็สามารถตั้งราคาขายได้เลย”

ซางซุ่นหวางยิ้มไม่หุบ พึงพอใจในมู่ชิงเกอมาก “เกอเอ๋อร์ หัวสมองเจ้าใหญ่โตขนาดไหนเชียว? มีพรสวรรค์ในการฝึกปรือพลังก็ถือว่าดีแล้ว นี่แม้แต่หัวทางค้าขายก็ยังมีช่องทางดีๆ อีก”

มู่ชิงเกอยิ้มแล้วส่ายหน้า “ข้าไม่เข้าใจเรื่องการค้าขายอะไร เพียงแต่เห็นมามาก จึงรู้มาบ้างก็เท่านั้น ลงมือครั้งเดียวได้ถึงสาม ข้ายังพอเข้าใจอยู่บ้าง”

นางยิ้มบางๆ หว่างคิ้วดูเรียบนิ่ง ไม่มีร่องรอยของความภาคภูมิใจหรือความพึงพอใจที่ได้รับการยกย่องเลย

นี่ทำให้ซางซุ่นหวางอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าออกมา

หลังจากพูดคุยเสร็จ ซางซุ่นหวางก็ออกจากจวนเจ้าเมืองมุ่งหน้าไปยังจวนที่มู่ชิงเกอจัดไว้ให้ตระกูลซาง

มู่ชิงเกอยืนอยู่ตรงหน้าต่าง มองเงาแผ่นหลังของเขาจากไป

เวลานี้ เป็นเวลาที่ลั่วซิงเฉิงมีดาวตกพอดี

เมื่อดวงดาวบนท้องฟ้าตกลงมาเหมือนนํ้าฝนนำภาพฉากอันแปลกตามาให้นั้น มู่ชิงเกอก็มองเห็นซางซุ่นหวางชะงักอยู่ที่เดิม แสดงท่าทางที่ดูมึนงงและตกตะลึงออกมา

มุมปากของนางโค้งขึ้น พูดเสียงเบาว่า “ผ่านไปอีกหลายวัน จะต้องมีคนอีกมากมายมองเห็นบรรยากาศอันงดงามนี้ของลั่วซิงเฉิง และที่นี่ก็จะกลายเป็นเมืองที่สว่างไสวรุ่งเรือง”

วันที่สอง ทุกอย่างถูกจัดการขึ้นมาอย่างละเอียด…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!