ตอนที่ 590
เข้าวังน้อย ส่งของขวัญเล็กน้อย
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงชะงักแล้วแหงนหน้าหัวเราะลั่น
การหัวเราะกะทันหันของเขาทำให้มู่ชิงเกอแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้รบกวนเพียงแต่อดทนรอจนเขาเลิกหัวเราะ จึงถามอย่างจริงจังว่า “ขอผู้อาวุโสไขข้อข้องใจด้วย”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงพยักหน้าช้าๆ เงียบไปนิดหนึ่ง จึงพูดอย่างชื่นชมว่า “คำถามนี้ปกติคนถามมักจะไปถึงขั้นถํ้าวิญญาณชั้นเก้าแล้ว ”
ตาดำมู่ชิงเกอหดลงเล็กน้อย “ผู้อาวุโสรู้สึกว่าข้าถามเร็วเกินไปหรือ”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงส่ายหน้าช้าๆ ตอบไม่ตรงคำถามว่า “เจ้าทำให้ข้าประหลาดใจมากเกินไป มีเรื่องเกินคาดมากเกินไปจริงๆ”
มู่ชิงเกอขมวดคิ้ว
“เจ้าอยากรู้ข้าก็จะบอกให้ ความจริงคำถามนี้ไม่ควรถามเร็วเกินไป เช่นขั้นจิตวิญญาณก็ไม่ควรถาม ช้าเกินไปสำหรับขั้นถํ้าวิญญาณขั้นเก้า เจ้าถามเวลานี้ก็นับได้ว่าพอดี” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงใช้คำพูดลึกซึ้งในการเอ่ยตอบ
มู่ชิงเกอตั้งอกตั้งใจฟัง ไม่ได้พูดแทรก
นี่คือส่วนดีของนาง เวลาคุยกับคนอื่นโดยเฉพาะเวลาสอบถามนางจะไม่พูดแทรก แม้มีข้อในใจ จะรอจนอีกฝ่ายพูดจบนางจึงจะถาม
อยู่ร่วมกับมู่ชิงเกอมาครึ่งปีผู้เฒ่าพอจะรู้นิสัยเขายิ่งชื่นชมมากขึ้น
“ไม่รู้ว่า เจ้าเคยได้ยินคำว่าไปคนละทางจุดหมายเดียวกันหรือไม่” ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงถาม
ไปคนละทางจุดหมายเดียวกันหรือ
มู่ชิงเกอพยักหน้า นางย่อมเคยได้ยินทั้งยังรู้ความหมายด้วย
“แล้วเจ้ารู้อีกหรือไม่ว่าทำไมจะต้องมีรากวิญญาณจึงสามารถบำเพ็ญได้” ผู้เฒ่าถามอีก
ในจุดนี้…
มู่ชิงเกอส่ายหน้าช้าๆ นางไม่ได้เข้าใจนัก
ผู้เฒ่าอธิบายว่า “ข้าบอกเจ้าเช่นนี้แล้วกัน มีรากวิญญาณก็แสดงว่าเจ้ามีความเข้าใจในความหมายของ วิถีชนิดนี้แต่กำเนิด ดังนั้นเมื่อเข้าสู่การบำเพ็ญก็จะง่ายในการควบคุมวิถีชนิดนั้นมากกว่าคนทั่วไป ดังเช่นรากวิญญาณไฟของเจ้า เนื่องจากเจ้ามีมันแล้วดังนั้นการเข้าใจวิถีไฟย่อมเหนือกว่าคนอื่น การเข้าใจวิถีกฎบัญญัติอาคมของคาถาของไฟจะรับรู้ได้ดีกว่าคนอื่น หากไม่มีรากวิญญาณก็ไม่ใช่ว่าจะบำเพ็ญไม่ได้เลย เพียงแต่การรับรู้ด้อยเกินไป ยังไม่ทันรับรู้เรื่องพื้นฐานก็หมดอายุขัยแล้ว”
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ
คำอธิบายของผู้เฒ่า ใช้คำที่เข้าใจได้ง่ายทำให้นางเห็นภาพได้แจ่มชัด
“ดังนั้นที่เจ้าถามข้าว่าอาคมไม่สามารถแยกออกจากรากวิญญาณได้ใช่หรือไม่ คำตอบคือไม่ใช่ เพราะเมื่อเข้าถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์แล้ว ปัญญาเทวะจะแข็งแกร่งพอ ความเข้าใจก็สูงขึ้นด้วยสามารถเข้าใจวิถีอื่นๆ ได้ทุกวิถี หมื่นพันวิถีสุดท้ายแล้วต่างรวมเป็นหนึ่ง การควบคุมแก่นแท้ในความจริงก็คือการควบคุมทุกสรรพสิ่งในโลกหล้า” ผู้เฒ่าพูด
มู่ชิงเกอฟังจบก็พึมพำ “วิถีเกิดหนึ่ง หนึ่งเกิดสอง สองเกิดสาม สามเกิดสรรพสิ่ง ไม่จบไม่สิ้น ไล่เรียงดูแล้ว ความจริงก็คือหนึ่ง”
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงตาเป็นประกาย พูดด้วยความยินดีว่า “พูดได้ดี ความจริงรากของสรรพสิ่ง ไม่ใช่เพียงหนึ่งหรือ”
มู่ชิงเกอจ้องผู้เฒ่าด้วยสายตาที่แจ่มชัด
ผู้เฒ่าเฝ้าตะเกียงถูกมู่ชิงเกอจ้องเช่นนี้ก็ถอนหายใจว่า “ข้าเกือบลืมไป ปัญญาเทวะของเจ้าไม่ได้อยู่ขั้นถํ้าวิญญาณนานแล้ว แต่อยู่ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์เลยทีเดียว ความสำเร็จของเจ้าย่อมจะต้องไม่ธรรมดา”
คืนนั้น มู่ชิงเกอกับผู้เฒ่า คุยกันจนฟ้าสว่างแล้ว จึงแยกย้ายกันไป
การพูดคุยกันทั้งคืนทำให้นางได้รับประโยชน์มากมาย
การบำเพ็ญบนแผ่นดินเทพมารลึกลับมากกว่าที่นางจินตนาการเอาไว้มากนัก ไม่เหมือนทั้งในโลกแห่งยุคกลางหรือหลินชวน
มิน่าจึงต้องแบ่งแยกระหว่างเทพกับมนุษย์ธรรมดา
เมื่อกลับถึงถํ้ามู่ชิงเกอก็บอกลาถงเถิง ส่วนการเก็บข้าวของนั้น…นางไม่มีอะไรให้เก็บอยู่แล้ว
“ลูกพี่ ท่านไปวังน้อยแล้วจะลืมน้องเล็กคนนี้ไหม” ถงเถิงพูดด้วยความอาลัยอาวรณ์
เขาตัวคนเดียวบินมาจากข้างล่าง ระหว่างนี้นอกจากซูหมิงที่เทียนหยาจวีแล้วก็มีมู่ชิงเกอที่เป็นเพื่อน เป็นลูกพี่ที่เขาเคารพนับถือ ตอนนี้จะต้องจากไปอย่างกะทันหัน แม้จะอยู่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยกันก็ยังเกิดความรู้สึกอย่างบอกไม่ถูกขึ้นในใจ
“ข้าจะมาเยี่ยมเจ้าบ่อยๆ” มู่ชิงเกอบอกเขาเช่นนี้
ถงเถิงผงกศีรษะรับรองกับมู่ชิงเกอ “ลูกพี่ ข้าจะต้องพยายามบำเพ็ญ ครั้งหน้าที่ลูกพี่มาเยี่ยมข้า จะถอดเสื้อเขียวทิ้งเปลี่ยนเป็นเสื้อขาวให้ได้”
“ดี” มู่ชิงเกอพยักหน้า
จวงซานยืนอยู่ข้างหลังคนทั้งคู่ รอให้พวกเขาคุยกันพอสมควรแล้วจึงเดินยิ้มขึ้นมาบอกมู่ชิงเกอว่า “เจ้าสาม เวลานี้สายแล้ว พวกเราไปกันเถอะ”
เขาเป็นศิษย์พี่ชี้นำของมู่ชิงเกออยู่แล้ว การเข้าวังน้อยในวันนี้ย่อมให้เขานำไป
“ศิษย์พี่จวงซาน ถึงแม้ลูกพี่ข้าร้ายกาจนัก แต่เวลาบินขึ้นมายังน้อยนิด เมื่อเข้าไปยังวังน้อยแล้ว พบเจอคนคนอื่นๆ ขอให้ศิษย์พี่ช่วยดูแลด้วย อย่าให้เขาถูกรังแกเอาได้” ถงเถิงขอร้องจวงซาน เจ้าคนนี้ไม่เคยลืม ว่าวันที่ต่อสู้กับเซียนสุ่ย ลูกศิษย์ตำหนักหน้าหลายคนไม่ยอมรับในตัวมู่ชิงเกอ
การฝากฝังของถงเถิงต่อจวงซานทำให้มู่ชิงเกอออกจะเกินคาดอยู่บ้าง นางไม่คิดว่าถงเถิงจะพูดเช่นนี้
จวงซานกลับยิ้มๆบอกถงเถิงว่า “วางใจเถอะ ลูกพี่เจ้าไม่มีใครรังแกเขาได้หรอก”
บอกลาถงเถิงแล้ว จวงซานก็นำมู่ชิงเกอไปวังน้อยที่อยู่นอกวังราชาเทวะ
วังน้อยสิบแห่งต่างยึดครองหนึ่งเขา ยอดเขาขึ้นลง สูงตํ่าไม่เท่ากัน แต่เป็นบริเวณที่พลังเทพอุดมสมบูรณ์ทิวทัศน์สวยงาม ที่ที่มู่ชิงเกอเข้าพักอาศัยนั้น เป็นวังน้อยที่สาม ห่างจากวังที่สิบของจวงซานเป็นระยะทางไม่ใช่น้อยๆ เลย เรียงตามลำดับแล้ววังน้อยทั้งสิบแห่ง ระยะห่างจากวังราชาเทวะไม่เท่ากัน ที่ที่ใกล้สุดย่อมเป็นวังน้อยของใหญ่น้อย ไกลสุดก็คือวังน้อยที่สิบของจางซาน
“ถึงแล้ว” จวงซานนำมู่ชิงเกอลงมายังลานของวังน้อยที่สาม
มู่ชิงเกอมองดูรอบๆ
ที่นี่ยังคงก่อสร้างอิงตามหุบเขา ที่ที่พวกเขายืนอยู่ในเวลานี้เป็นพื้นที่คล้ายลานกว้างตำหนักหน้าพื้นปูด้วยหินหยกอย่างเป็นระเบียบ รอบๆนั้นมีเสาหยก ตะเกียงวังตั้งอยู่เป็นระยะๆ ใต้เท้าพวกเขาเป็นเมฆที่ล่องลอย ไม่อาจรู้ถึงความสั้นลึก
วังน้อยไม่นับว่ากว้างใหญ่ เนื่องจากอยู่เพียงคนเดียว
ที่นี่มีพลังเทพห้อมล้อม ทุกขณะล้วนสะอาดบริสุทธิ์ไม่จำเป็นต้องมีเด็กปัดกวาด ส่วนการกินดื่ม… ผู้บำเพ็ญนั้นยังต้องห่วงเรื่องกินดื่มด้วยหรือ
“วังน้อยทุกหลังต่างมีค่ายกลคุ้มกันไว้หากเจ้าต้องการปิดประตูบำเพ็ญก็เปิดค่ายกล เช่นนี้แล้ว นอกจากราชาเทวะใครก็เข้ามารบกวนเจ้าไม่ได้ ค่ายกลก็คือป้ายวังน้อยของเจ้า” จวงซานแนะนำมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอผงกศีรษะรู้สึกเกินคาด
“ศิษย์พี่จวงซาน ในดินแดนมีหนังสือเกี่ยวกับค่ายกลหรือว่าอาจารย์ที่เก่งกาจทางค่ายกลหรือไม่” มู่ชิงเกอถาม
วิชาค่ายกลนั้นนางค้นคว้าเรียนรู้ด้วยตัวเองมาตลอด และยังมีที่ได้รับรู้จากค่ายกลสุสานเทพอีกด้วย หากดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีอาจารย์ค่ายกลก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับนาง
แต่จวงซานกลับสั่นศีรษะว่า “การเรียนรู้ค่ายกลนั้นสิ้นเปลืองเวลามาก ทั้งเปลืองแรงสมอง มีคนน้อยมากที่เลือกวิชานอกสายตานี้ หนังสือน่ะพอมี หากเจ้าสนใจสามารถไปดูได้ แต่อย่าลุ่มหลงจนทำให้เสียเวลาบำเพ็ญของตัวเอง ส่วนอาจารย์ค่ายกลนั้น ในดินแดนฮ่วนเยวี่ยมีแต่ราชาเทวะที่เชี่ยวชาญที่สุดแล้ว”
คำอธิบายของจวงซานทำให้มู่ชิงเกอเริ่มจะเข้าใจว่า ทำไมวิชาค่ายกลจึงค่อยๆ สูญหายไป เนื่องจากในใจมนุษย์เทพที่บำเพ็ญเหล่านี้ต่างก็เห็นว่าวิชาค่ายกลเป็นเพียงวิชาย่อย ไม่คุ้มที่จะสิ้นเปลืองพลังและเวลาไปเรียนรู้
ไม่ว่าวิชาชนิดใดหากไม่มีผู้สืบทอด การขาดตอน ขาดการสืบทอดและสูญหายไปย่อมเป็นเรื่องช้าหรือเร็วเท่านั้น
นึกเสียดายในใจแล้วมู่ชิงเกอก็เข้าไปในวังน้อยพร้อมกับจวงซาน
วังน้อยแบ่งเป็นสามส่วนได้แก่ตำหนักหน้า ตำหนักกลาง และตำหนักหลัง
ตำหนักหน้าปกติใช้รับแขก ตำหนักกลางเป็นที่พักผ่อนอยู่อาศัยประจำวัน ส่วนตำหนักหลัง เรียกว่าห้องหลัง เป็นที่ปิดประตูบำเพ็ญ
จางซานบอกนางว่า วังน้อยทั้งเขานี้นอกจากค่ายกลปิดเขาที่อยู่ข้างนอกแล้ว ตำหนักหลังยังมีสองค่ายกลเล็ก หนึ่งคือค่ายกลป้องกันคนภายนอกบุกรุกเข้ามา อีกหนึ่งคือค่ายกลรวบรวมพลังเทพที่ปกคลุมเทือกเขา
ได้ยินเรื่องเหล่านี้แล้ว มู่ชิงเกอยิ่งรู้สึกว่าฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ตำหนักหน้านั้นยิ่งกว่าคุ้มนัก
เรื่องที่ต้องชี้นำก็ได้ชี้นำแล้ว จวงซานเดินออกจากวังน้อยของมู่ชิงเกอแล้วบอกนางว่า “เวลานี้เจ้าเป็นเจ้าสามฮ่วนเยวี่ย หากออกจากแดนเทพไปยังสถานที่ต่างๆ หรือไปแดนเทพอื่นล้วนสามารถใช้ชื่อนี้ได้ แม้จะมีคนไม่พอใจแซ่ของเจ้าก็ต้องคำนึงถึงดินแดนฮ่วนเยวี่ยด้วย”
“ขอบคุณศิษย์พี่จวงซาน” คำขอบคุณนี้มู่ชิงเกอพูดจากใจจริง พูดได้ว่า จวงซานเป็นคนที่นางพูดขอบคุณมากที่สุดในบรรดาคนรู้จักทั้งหมดก็ว่าได้ไม่ใช่เพราะมารยาท แต่ล้วนมาจากนํ้าใสใจจริงแท้ๆ
หากนางไม่ได้พบจวงซานก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องเดินทางคดเคี้ยวแค่ไหน
จวงซานยิ้ม “ขอบคุณข้าทำไม วันนี้ของเจ้าพูดได้เต็มปากว่าอาศัยความพยายามของเจ้าแลกมา”
จวงซานเตรียมจากไปแล้ว มู่ชิงเกอกลับพูดว่า “ศิษย์พี่มีธุระสำคัญหรือไม่ หากไม่มีสามารถไปวังน้อยอื่นๆ พร้อมข้าได้หรือไม่”
“เจ้าจะไปวังน้อยอื่นหรือ” จวงซานถามอย่างประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขายังไม่รู้ว่ามู่ชิงเกอมีความคิดเช่นนี้
มู่ชิงเกอผงกศีรษะ “ถึงอย่างไรเวลานี้ข้าก็เป็นหนึ่งในสิบลูกศิษย์ใหญ่ ย่อมต้องรู้จักอีกแปดคนบ้าง”
“นี่…” จวงซานขมวดคิ้ว ออกอาการลำบากใจเล็กน้อย
“ทำไมหรือ ศิษย์พี่ไม่สะดวกหรือ” มู่ชิงเกอถาม
จวงซานสั่นศีรษะช้าๆ ขมวดคิ้วว่า “ข้าเองไม่มีอะไรไม่สะดวก เพียงแต่ก่อนเจ้ามา ฐานะสามน้อยของเซียนสุ่ยนั้นเป็นมานานแล้ว ฐานะพวกเราสิบคนไม่เคยเปลี่ยนมาหลายร้อยปี ปกติแม้ไม่ติดต่อกัน แต่ก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ต่อกันอยู่บ้าง ครั้งนี้เซียนสุ่ยจากไป เจ้ากลายเป็นสามน้อย ในสายตาและในจิตใจคนไม่น้อย ต่างยังไม่ยอมรับ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไปเจอหน้าพวกเขาในเวลานี้”
มู่ชิงเกอพยักหน้า “ก็เพราะเช่นนี้ข้าจึงต้องไปเยี่ยมเยียน”
“ภายในครึ่งปีนี้ ต่อให้พวกเขาไม่พอใจก็ทำอะไรไม่ได้ เจ้าจะไปให้พวกเขาดูถูกทำไม” จวงซานพูดอย่างไม่เข้าใจ
มู่ชิงเกอยิ้มอธิบายว่า “ข้าชอบดินแดนฮ่วนเยวี่ยมาก ที่นี่นับเป็นบ้านข้าในแผ่นดินเทพ การแย่งชิงฐานะสิบลูกศิษย์ใหญ่ครั้งนี้เป็นเพราะปัญหาส่วนตัวของข้าจริงๆ เป็นการชนะอย่างฉวยโอกาสทำให้ศิษย์พี่เซียนสุ่ยต้องถูกเอาเปรียบ ที่พวกเขาไม่ยอมรับย่อมถูกต้องแล้ว แต่ว่า ในเมื่อทั้งหมดต่างเป็นสิบลูกศิษย์ใหญ่ หากยังมีช่องว่างระหว่างกัน เกิดการปิดกั้นก็คงไม่ดี ดังนั้นไม่สู้ข้าใช้วันนี้ที่เข้ามาอยู่ในวังน้อยแล้ว ขอเยี่ยมเยียนพวกเขา ส่งของขวัญเล็กน้อยถือเป็นมารยาทดีกว่า”
คำพูดของมู่ชิงเกอเป็นเหตุเป็นผลทำให้จวงซานตอบโต้ไม่ได้ สุดท้ายแล้วก็พยักหน้าคล้อยตาม
แต่เขาหารู้ไม่ว่าที่มู่ชิงเกอทำเช่นนี้ความจริงเป็นเพราะอยากลดความยุ่งยากหลังจากครึ่งปีไปแล้วต่างหาก นางไม่มีเวลามารับมือการท้าทายที่ต่อเนื่องไม่สิ้นสุดจริงๆ