Skip to content

พลิกปฐพี 647

ตอนที่ 647

เช่นนั้นก็ลองแข่งกันดู

“ท่านดูแล้วก็ไม่ใช่คนดินแดนอู๋หวา จะสนใจทำไมว่าข้าเป็นใคร” มู่ชิงเกอยิ้ม

นางซ่อนเร้นความคิดสังหารมู่เทียนอินไว้ลึกมาก เนื่องจากนางรู้ว่าเวลานี้ยังไม่ใช่โอกาสที่ดีในการสังหารเขา

ประการที่หนึ่งคือ หากลงมือที่นี่ ผู้ที่ได้รับประโยชน์สุดท้ายคงเป็นราชาเทวะอู๋หวา

ประการที่สอง หากนางจะฆ่าเขาจะต้องใช้ใบหน้าแท้จริงของนางเอง ใช้ทวนหลิงหลงฆ่าเขาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ใช้ใบหน้าปลอม

สองตามู่เทียนอินหรี่ลง มีประกายโหดร้าย ทั้งยังมีแววแววพิฆาตอยู่ด้วย

ขณะที่แววพิฆาตผุดจากดวงตา มู่ชิงเกอกลับเตือนเหมือนพูดเล่นว่า “สหายท่านนี้ข้าขอเตือนเสียหน่อยว่า ก่อนจะลงมือควรคิดให้ดีก่อน การฆ่าข้าปิดปากนั้นไม่ใช่ ทำไม่ได้ แต่จะสามารถสังหารข้าให้ตายภายในกระบวนท่าเดียวได้ไหม หากทำไม่ได้ เพื่อเอาตัวรอดข้าจะต้องโจมตีกลับ เมื่อเป็นเช่นนั้นคงจะทำให้ทหารยามในเขาวงกตรู้ตัว ถึงเวลานั้นแล้ว ไม่ว่าท่านหรือว่าข้าคงไม่สามารถออกจากที่นี่ได้ สุดท้ายแล้ว ราชาเทวะอู๋หวาก็ต้องมา พวกเราทั้งคู่คงหนีไม่รอดแน่นอน”

คำพูดของนางทำให้แววพิฆาตในสายตามู่เทียนอินค่อยๆ จางลง เขาร้อง อือ ออกมา “ก็มีเหตุผล”

“จริงแท้แน่นอนอยู่แล้ว” มู่ชิงเกอยิ้ม

“แต่ข้าจ รู้ได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่ขวางทางข้า” เสียงมู่เทียนอินอันตรายขึ้นอีกครั้ง

มู่ชิงเกอแค่นยิ้มในใจ ‘ข้าย่อมต้องขวางทางเจ้า เจ้ามาเพราะอะไร ข้าก็มาเพราะอย่างนั้น หรือข้าต้องยอมเจ้าหรือ’

“ท่านมาที่นี่เพื่ออะไรหรือ” มู่ชิงเกอถามอย่างสบายๆ

มู่เทียนอินหน้าเครียด แข็งเกร็งไปทั้งใบหน้า

มู่ชิงเกอกลับยิ้มน้อยๆ ใบหน้าสุดแสนสามัญนั้นราวกับเพราะรอยยิ้มของนางจึงมีสีสันขึ้นไม่น้อย จนชวนให้รู้สึกว่าไม่ได้สามัญนัก “ในเมื่อท่านไม่ยอมพูดก็แล้วแต่ท่าน จุดประสงคของท่านข้าไม่รู้ จุดประสงค์ของข้า ข้าก็ไม ต้องบอก ต่างคนต่างรักษาความลับของตัวเองไว้ อวยพรให้ต่างฝ่ายต่างโชคดีแล้วกัน”

“หากสิ่งที่ข้าต้องการก็เป็นที่เดียวกับที่เจ้าต้องการเล่า” มู่เทียนอินรุกไล่ ไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ

หากสามารถฆ่านางปิดปากได้ มู่เทียนอินคงไม่เสียเวลาคุยเรื่องไร้สาระกับหญิงสาวหน้าตาสามัญเช่นนี้แน่ แต่นางก็พูดถูก หากสู้กันขึ้นมาจริงๆ ไม่เป็นผลดีสำหรับใครทั้งนั้น

‘หญิงคนนี้สามารถเข้าเขาวงกตในเวลานี้ได้ แสดงว่าต้องมีฝีมือพอสมควรหากไม่มีฝีมือนางจะกล้ามาบุกรุกวังราชาเทวะของดินแดนอู๋หวาหรือดูแล้วคงต้องทำเช่น เดียวกับที่นางบอก ถือว่าต่างคนต่างไม่เห็นกัน’ มู่เทียนอินคำนวณในใจ

“หากเป็นจริงดังนั้นก็ต้องดูว่าใครไวกว่าใครแล้ว” มู่ชิงเกอยังคงยิ้มอยู่ เทียบกับสีหน้าดำคล้ำของมู่เทียนอินแล้ว นางดูโล่งสบายกว่ามาก

สองตามู่เทียนอินจับจ้องนางอยู่ราวกับจะมองนางให้ทะลุ สักครู่หนึ่ง เขาก็หรี่ตาแล้วแค่นหัวเราะว่า “ได้ ดูว่าใครไวกว่าใคร ครั้งนี้จะปล่อยเจ้าไปก่อน ครั้งหน้าเจอกันข้างนอก ข้าจะต้องฆ่าเจ้าแน่”

พูดจบ เขาสาวเท้ายาวๆ ขึ้นหน้าเดินมาถึงตรงกลาง เลือกทางหนึ่งแล้วหันกายเดินเข้าไป

มู่ชิงเกอมองเขาจากไปและหัวเราะเยาะในใจไม่หยุด คิดในใจว่า ‘เจอกันครั้งหน้า ข้าก็ต้องฆ่าเจ้าเพื่อแก้แค้น เพื่อหยวนหยวน เพื่อเจียงหลี เพื่อทวนหลิงหลงและเพื่อข้าเอง สิ่งที่ติดค้างข้าข้าจะเอาคืนทั้งต้นทั้งดอก’

มู่เทียนอินไปแล้ว มู่ชิงเกอยังยืนอยู่ที่เดิม

จากที่เห็นเมื่อครู่ นางเห็นชัดเจนว่าแขนขวาที่ถูกนางฟันขาด ทั้งยังเผาจนไม่เหลือซากที่หานชุนนั้นปรากฎขึ้นอีกครั้งที่ไหล่ขวาของมู่เทียนอิน

ไม่ ไม่ถูก

มู่ชิงเกอคิดทบทวนอย่างละเอียด ขณะที่มู่เทียนอินเดินเข้ามาหานาง นางสามารถมองออกได้ชัดเจนว่าแขนขวาเหมือนจะใหญ่กว่าแขนซ้าย ไม่สู้จะสมดุลกันนัก อีกทั้ง นิ้วทั้งห้าก็ซ่อนอยู่ในถุงมือ

‘แขนที่ต่อใหม่, ดวงตามู่ชิงเกอเป็นประกาย คำตอบผุดขึ้นในใจ

สองตามู่ชิงเกอค่อยๆ หรี่ลง แขนนั้นให้ความรู้สึกถึงความโหดร้ายทารุณอย่างหนักหน่วง ราวกับว่าภายในแฝงด้วยพลังรุนแรงยากต่อการควบคุม ทำให้นางไม่อาจไม่ระวังตัว

เป็นแขนของใครกัน แล้วมีพลังชนิดใด

คำถามเหล่านี้วนเวียนอยู่ในจิตใจมู่ชิงเกอ นางพบว่าหลังจากเจอมู่เทียนอินแล้ว จิตใจนางยังสามารถเผชิญหน้าได้โดยสงบ

การประจันหน้ากันเมื่อสักครู่นี้หากนางควบคุมตัวเองพลาดเพียงนิดเดียวก็คงจะไม่แยกกันไปโดยสงบเช่นนี้

การพบมู่เทียนอินในครั้งนี้เป็นเพียงการเริ่มต้นไม่ใช่จุดสิ้นสุด มู่ชิงเกอจำได้ที่นัดกับมู่เทียนอินว่า ใครไวกว่าใคร ดวงตาผุดสีสันแห่งความเชื่อมั่น มู่ชิงเกอหันกายเข้าไป ในเส้นทางที่ตรงข้ามกับมู่เทียนอิน ระหว่างที่เดิน มู่ชิงเกออดนึกไม่ได้ว่า…หากว่าวันหลังมู่เทียนอินรู้ว่าคนที่เจอในเขาวงกตเป็นนาง จะโกรธจนคิดฆ่าตัวเองไหมนะ

‘โง่เขลา’ มู่ชิงเกอสะท้อนใจ

เพียงแต่ มู่เทียนอินสามารถเดินมาถึงที่นี่ได้โดยไม่ได้ทำให้อาคมและทหารยามรู้ตัว นี่กลับทำให้นางรู้สึกเกินคาดไปบ้าง

“หรือว่า เขาเองก็เข้าใจเรื่องอาคมค่ายกลด้วย” มู่ชิงเกอพึมพำ แต่ไม่นานนางก็โยนปัญหานี้ทิ้งไป

เวลานี้ที่สำคัญที่สุดไม่ใช่มู่เทียนอิน แต่อยู่ที่ทำอย่างไรจึงจะเดินออกจากเขาวงกตเข้าไปในศาลาอีเยี่ยได้และตรวจดูให้แน่ชัดว่าส่วนหนึ่งของเคล็ดวิชาเทวะส่วน

ล่างอยู่ในดินแดนอู๋หวาหรือไม่ต่างหาก

เก็บงำความคิดแล้ว มู่ชิงเกอก็แหงนหน้าดูท้องฟ้า

เวลานี้ ความมืดแห่งราตรีค่อยๆ จางลง ฟ้าเริ่มจะสางแล้ว เวลาของนางเหลือน้อยแล้ว ชักช้าไม่ได้อีก

มู่ชิงเกอเร่งความเร็ว หาทางต่อในเขาวงกต ทันใดนั้นนางก็หยุดลงกะทันหัน

สมองของนางราวกับมีอะไรแวบผ่าน แต่นางไม่สามารถจับประเด็นได้ทัน

“เป็นอะไรกันนะ” มู่ชิงเกอขมวดคิ้วถามตัวเอง

ทำไม…ทำไมภายในเขาวงกตที่ซับซ้อนเช่นนี้ทั้งๆ ที่มีหลุมพรางอาคมอยู่มากมาย แต่ยังต้องมีทหารยามคอยเฝ้าผลัดเปลี่ยนตลอดเวลา

คำถามเดิมนี้ผุดขึ้นมาอีกครั้งภายในสมองมู่ชิงเกอ

แต่ครั้งนี้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคำถาม นั้นคือ ทำไมทหารยามเหล่านั้นต่างเฝ้าอยู่ที่ทางตัน แต่ไม่ได้เฝ้าอยู่ที่จุดตัดสำคัญต่างๆ ในเขาวงกต

เรื่องเหล่านี้

สมองของมู่ชิงเกอผุดภาพจุดที่นางผ่านต่างๆ ที่มีทหารยามอยู่ ทันใดนั้น นางก็ค้นพบเรื่องที่ค่อนข้างประหลาดจุดหนึ่ง

นางพบว่า สถานที่เยามเฝ้าอยู่เหล่านั้น ท่ายืนของพวกเขา ถึงแม้จัดตามแบบค่ายกล แต่ทิศทางที่พวกเขาหันเข้าหานั้นล้วนเหมือนกัน อีกทั้งทิศทางที่หันเข้าหากันนั้นชวนให้คนรู้สึกแปลกประหลาด ราวกับกำลังคุ้มครองอะไรอยู่

ผนังกำแพง มีอะไรให้เฝ้าหรือ ทันใดนั้น นัยน์ตามู่ชิงเกอเปล่งประกายวูบหนึ่ง สิ่งที่นาง คิดไม่ตกราวกับสว่างวาบขึ้นมาในบัดดล ใช่แล้ว ก็แค่ ผนังกำแพง มีอะไรให้เฝ้าเล่า

มุมปากมู่ชิงเกอเชิดขึ้นมา บางครั้งอะไรที่คงอยู่อย่างไร้เหตุผลเองก็เป็นช่องโหว่อย่างหนึ่ง

เมื่อได้แนวทาง มู่ชิงเกอก็ไม่รอช้า นางจำได้ว่า ห่างจากนางไปไม่ไกลนักก็มีชุดทหารยาม การคาดเดาของนางจะถูกต้องหรือไม่ อีกไม่นานก็จะได้รู้แล้ว

มู่ชิงเกออาศัยความจำในเส้นทางต่างๆ เดินกลับไป เพียงครู่เดียวก็เห็นทหารยามชุดหนึ่ง พวกเขาราวกับไม่ได้ขยับเลยตั้งแต่ตอนที่นางผ่านไป

มู่ชิงเกอคำนวณในใจ ‘หากว่าผนังที่พวกเขาเฝ้าอยู่เป็นประตู แล้วประตูนั้นไปยังศาลาอีเยี่ยได้ในเขาวงกตนี้มีทหารยามเช่นนี้กี่ชุด เท่าที่ข้าผ่านไป…’

มู่ชิงเกอพิจารณาอย่างละเอียดก็ได้คำตอบออกมา

‘ห้าแห่ง’ ส่วนลึกในดวงตานางเปล่งประกายออกมา

มู่ชิงเกอหลับตากะทันหัน ปล่อยปัญญาเทวะตัวเองออกมา ใช้ปัญญาเทวะแทนเท้า ตรวจสอบเขาวงกตทั้งหมดอย่างรวดเร็ว

เวลาธูปหนึ่งก้าน ปัญญาเทวะนางถอยกลับมาแล้ว มู่ชิงเกอลืมตา รู้แจ้งแล้วว่าทหารยามในเขาวงกตมีทั้งหมดกี่ชุด นางเห็นแม้กระทั้งมู่เทียนอินที่ยังคงเดินวนอยู่ในเขาวงกต

‘สิบสองแห่ง’

ในเขาวงกต มีทหารยามสิบสองแห่ง

เหตุใดต้องเป็นสิบสอง

มู่ชิงเกอผุดความคิดที่พิสดารออกมา

‘หากที่ข้าคิดไว้ไม่ผิด จุดที่มีทหารยามได้ซ่อนประตูอยู่บานหนึ่ง หากประตูบานนี้เปิดในเวลาที่ถูกต้องก็จะเข้าไปในศาลาอีเยี่ยได้หากเปิดผิดเวลาหรือเปิดไม่ออก หลังประตูจะเป็นหลุมพรางที่อันตรายถึงแก่ชีวิต…เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ในเวลานี้ประตูที่ถูกต้องควรจะเป็นประตูไหน’ มู่ชิงเกอคำนวณในใจ

ทหารยามสิบสองจุดทำให้นางคิดถึงเวลาสิบสองชั่วยามขึ้นมาโดยง่ายดาย

ความคิดพิสดารในใจนางก็คือ ทุกหนึ่งชั่วยาม ประตูต่างเปิดได้ต่างกัน เพียงแค่นางคำนวณได้ถูกต้องถึงประตูที่เปิดได้ในชั่วยามนี้นางก็จะเข้าไปในศาลาอีเยี่ยได้

‘หากข้ามองเขาวงกตทั้งหมดเป็นอาคม เป็นค่ายกลใหญ่’ มู่ชิงเกอหลับตาอีก สมองนางผุดภาพแผนผังเขาวงกตขึ้นมา ภาพนี้นางเพิ่งรวบรวมได้จากการใช้ปัญญาเทวะสำรวจเส้นทางอาจผิดเพี้ยนไปบ้างเล็กน้อย แต่ส่วนใหญ่ถูกต้อง

ลักษณะเขาวงกตในสมองนางค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ต่อมานางก็ใส่จุดที่มีทหารยามสิบสองจุดลงบนแผนผังในสมองนั้น

ทันใดนั้น นางก็ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น เกิดประกายสดใสในดวงตา

นางโชคดีไปหน่อยหรือไม่

มุมปากมู่ชิงเกอยกขึ้นมา หากนางคำนวณไม่ผิด ราชาเทวะจัดค่ายกลเรียงตามเวลาชั่วยาม เช่นนั้นแล้ว ในชั่วยามนี้ประตูที่สามารถเปิดได้และสามารถเข้าไปในศาลา อีเยี่ยได้อย่างปลอดภัยก็คือประตูเบื้องหน้านาง มู่ชิงเกออยากหัวเราะเสียงดังในใจ แต่ความระมัดระวังตามนิสัยทำให้นางระงับความดีใจนี้ลงได้ เนื่องจากเรื่องทั้งหมดยังเป็นเพียงแค่การคาดเดาของนาง จะเป็นจริงหรือไม่ต้องผ่านการพิสูจน์จึงจะรู้ได้ หากนางคาดเดาถูกต้อง นางก็สามารถเข้าศาลาอีเยี่ยได้ก่อนมู่เทียนอิน หากนางคาดเดาผิดก็จะทำให้ทหารยามเหล่านี้รู้ตัว อาจทำให้ราชาเทวะอู๋หวาต้องมาดูเอง ทำอย่างไรดีจะสู้หรึอไม่สู้

มู่ชิงเกอเม้มริมฝีปากแน่น คิ้วขมวดเล็กน้อย ตัดสินใจแล้วว่า ‘สู้’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!