ตอนที่ 684
มาได้ทัน เวลาพอดี
“เจ้าอาศัยอะไรมายืนยันว่าเขาเป็นนายน้อยตระกูลมู่” ราชาเทวะจื่อกวงแค่นเสียงเย็นออกมา
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วขึ้นแล้วถามว่า “ไม่ทราบว่า ราชาเทวะถามเช่นนี้มีเจตนาใดหรือ”
“เจตนาใด?” แววตาราชาเทวะจื่อกวงเย็นเฉียบ รอยยิ้มเย็นเยียบที่มุมปากค่อยๆ ขยายกว้างมากขึ้น “ตระกูลมู่เหลือเดนออกเพ่นพ่านอยู่นับหมื่นปีก็ไม่เคยถูกกำจัดจนสิ้นซากเลยสักครั้ง ถึงแม้เคยจับได้บ้างก็เป็นเพียงพวกหางแถว แต่เหตุใดพอเจ้ามาถึง แค่ไปฝึกซ้อมที่เก้าชั้นฟ้าเพียงครั้งเดียวก็โชคดีได้สังหารนายน้อย ตระกูลมู่แล้ว”
ได้ยินคำพูดราชาเทวะจื่อกวงแล้วมู่ชิงเกอก็หัวเราะว่า “ที่แท้ราชาเทวะสงสัยในความโชคดีของข้า”
“ใช่แล้ว โชคดี ลูกศิษย์ดินแดนเทพหลายพันคนล้วนสิ้นชีพกลับมีเจ้าคนเดียวที่ยังเหลือรอด” คำพูดราชาเทวะจื่อกวงแฝงด้วยเลศนัย นํ้าเสียงมีแต่ความไม่
เชื่อถือในตัวมู่ชิงเกอ
มู่ชิงเกอหลุบตายิ้มแล้วมองที่เขา “เช่นนั้น ราชาเทวะคิดว่าเรื่องจริงเป็นเช่นไรหรือ”
ราชาเทวะจื่อกวงนิ่งเงียบ สายตาเขามองไปที่มู่ชิงเกอ พลังบารมีขั้นศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่านลงมาทันที
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วนิดๆ แววตาเย็นเฉียบ นางแค่นหัวเราะ “ราชาเทวะตั้งใจใช้วิธีบีบบังคับหรือ”
นํ้าเสียงเย้ยหยันของนาง ทั้งยังแววตายังไม่ยอมอ่อนข้อ ไม่ได้กังวลแม้เพียงนิดว่าตัวเองจะไม่สามารถเดินออกจากวังราชาเทวะดินแดนจื่อกวงนี้ได้
สองตาราชาเทวะจื่อกวงหรี่ลงผุดประกายตาเย็นวาบ จ้องมู่ชิงเกอนิ่งๆ แต่ความกดดันที่กดอยู่บนตัวเขานั้นกลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย
‘ราชาเทวะจื่อกวงคิดจะทำอะไรแน่’ มู่ชิงเกอต้านรับแรงกดดันขั้นศักดิ์สิทธิ์พลางคิดอยู่ในใจ
แรกทีเดียวนางเข้าใจว่าราชาเทวะจื่อกวง เพียงสงสัยในคำพูดของนาง แต่คำพูดนางนั้นไม่มีช่องโหว่ใดๆ นางสามารถหาหลักฐานพยานที่จะมาสนับสนุนคำพูดของนางได้โดยง่ายดาย แต่ราชาเทวะจื่อกวงกลับไม่สามารถหาหลักฐานที่จะมาโต้แย้งคำพูดของนางได้
ดังนั้น นางจึงเยือกเย็นมาก ไม่มีอาการร้อนรนแม้แต่นิด
แต่ว่าจู่ๆ ตอนนี้ราชาเทวะจื่อกวงก็มากดดันนางกะทันหันราวกับเป้าหมายไม่ได้อยู่ที่ว่าฐานะของมู่เทียนอินที่นางสังหารจะใช่นายน้อยตระกูลมู่หรือไม่ แต่อยู่ที่เรื่องอื่น
จริงดังนั้น ขณะที่นางเข้าใจจุดประสงค์ของเขา ราชาเทวะจื่อกวงก็เปิดปากถามอีกว่า “ได้ เอาเป็นว่าคนที่เจ้าสังหารเป็นนายน้อยตระกูลมู่จริงๆ เจ้าสังหารเขาแล้วได้นำของติดตัวเขาไปด้วยหรือไม่”
ฮึ!
มู่ชิงเกอร้องฮึในใจ ในที่สุดก็เผยหางจิ้งจอกออกมาแล้วสินะ
ความคิดของราชาเทวะจื่อกวงเวลานี้นางเข้าใจชัดเจนแล้ว พูดไปแล้วก็คงเป็นเช่นเหล่าลูกศิษย์ดินแดนเทพหลายพันคนในเก้าชั้นฟ้าที่คิดว่าเมื่อสังหารนายน้อยตระกูลมู่แล้วก็จะได้เคล็ดวิชาเทวะมา
ความจริงแล้ว ความคิดพวกเขาก็ไม่ผิดนัก
เนื่องจากเคล็ดวิชาเทวะสำหรับตระกูลมู่แล้วจะต้องเป็นคนที่สำคัญที่สุด ฐานะสูงส่งที่สุดเท่านั้น จึงจะมีกระทั่งสามารถบำเพ็ญได้
มู่เทียนอินเป็นนายน้อยตระกูลมู่ ไม่มีเหตุผลที่จะไม่บำเพ็ญเคล็ดวิชาเทวะ
ดังนั้น เคล็ดวิชาเทวะจะต้องอยู่ในตัวเขาแน่นอน อีกทั้งครั้งที่ราชาเทวะอู๋หวาทำของหาย มู่เทียนอินก็ไม่ใช่อยู่ด้วยหรือ ทั้งยังเป็นผู้ต้องสงสัยของราชาเทวะอู๋หวาอีก
ของอะไรที่หาย…พวกราชาเทวะต่างรู้กันดีอยู่แล้ว
มู่ชิงเกอสังหารเขาย่อมจะต้องได้ของบนตัวเขามา
มู่ชิงเกอยิ้มพูดเรียบๆ ว่า “ข้าสังหารเขา ทุกอย่างบนตัวเขาย่อมเป็นของข้า ราชาเทวะถามเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเกินจำเป็นไปหน่อยหรือ”
“ดีมาก เจ้ายอมรับก็ดีแล้ว” แววตาราชาเทวะเปลี่ยนเป็นรุนแรงขึ้นอีกหลายส่วน
เขาราวกับกำลังรอคำพูดนี้ของมู่ชิงเกอ
ร่างกายราชาเทวะจื่อกวงเอนมาข้างหน้าเล็กน้อยแล้วยื่นมือขวาออกมา ยื่นไปที่มู่ชิงเกอ “เอามา”
คิ้วมู่ชิงเกอเลิกขึ้น ยิ้มอย่างเย้ยหยัน “ราชาเทวะจะให้ข้าเอาอะไรออกมาหรือ”
“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้” ราชาเทวะจื่อกวงขมวดคิ้วนิดๆ แววตาเริ่มออกอาการรำคาญใจ
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่ใช่แกล้ง แต่ข้าไม่รู้จริงๆ”
คำตอบของนางทำให้ราชาเทวะจื่อกวงหน้าบึ้ง สีหน้าเย่อหยิ่งไร้นํ้าใจนั้นยิ่งเพิ่มความเย็นเยียบขึ้นไปอีก “เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าทำอะไรเจ้าหรือ”
มู่ชิงเกอแค่นหัวเราะในใจ ราชาเทวะจื่อกวง เหมือนกำลังคุยกับตัวเองอย่างนิ่งสงบ แต่แอบปล่อยพลังกดดันออกมา หากไม่ใช่เพราะนางรับไหวก็คงล้มลงไปนานแล้ว
“เช่นนั้นราชาเทวะจื่อกวงจะทำอย่างไรกับข้าเล่า” มู่ชิงเกอเปิดปากท้าทาย นิสัยของนางนั้นหากยิ่งกดดัน นางก็จะยิ่งต่อต้าน
“ชิ”
อาการของมู่ชิงเกอทำให้ราชาเทวะจื่อกวงโมโห เขาร้องออกมาคำหนึ่งแล้วปลดปล่อยพลังมากขึ้นไปอีก ไหล่ของมู่ชิงเกอราวกับมีเสียงกระดูกแตกร้าวดังออกมา
มู่ชิงเกออุทานเสียงตํ่าเล็กน้อยพลางเม้มปากแน่นมองราชาเทวะจื่อกวงอย่างเย็นชา แววตาไม่ได้ยอมแพ้แม้แต่นิด
ร่างกายนางแทบจะโดนบีบอัดจนแหลกลาญ หากเป็นคนอื่นคงจะสิ้นชีพคาที่ไปแล้ว
ดวงตาราชาเทวะจื่อกวงมีประกายประหลาดใจวาบผ่าน เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างแรงพิงบัลลังก์แล้วพูดว่า “มู่ชิงเกอ เวลานี้เจ้ายังไม่ใช่ราชาเทวะ ต่อหน้าข้ายังต้องสำรวมหน่อยจะดีกว่า ที่นี่ไม่ใช่แผ่นดินเทพตะวันออก ไม่ใช่ดินแดนฮ่วนเยวี่ย การที่ข้าจะไว้หน้าราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยกี่มากน้อยนั้นก็ต้องขึ้นกับอารมณ์ของข้าเอง”
เขาหยุดไปนิดหนึ่งแล้วถามยํ้าหนักขึ้นว่า “ของสิ่งนั้น เจ้าจะให้หรือไม่ให้”
“ไม่ให้” แววตามู่ชิงเกอเย็นเฉียบเอ่ยประโยคนี้ ลอดไรฟันออกมา ไม่ยอมประนิประนอมแม้แต่นิด
“เจ้ารนหาที่ตาย!” ดวงตาราชาเทวะจื่อกวงคมปลาบ รังสีพิฆาตผุดขึ้นมาทันที
เป็นไปตามคำพูดของเขา มู่ชิงเกอรู้สึกถึงแรงบีบอัดรุนแรงขึ้น พลังระดับขั้นศักดิ์สิทธิ์แทบจะป่นร่างนางเป็นผุยผง
ใบหน้ามู่ชิงเกอผุดเส้นเลือดปูดโปน สีหน้ากลายเป็นม่วงเข้ม ดวงตาใสกระจ่างกลายเป็นลีเลือด แต่หัวเข่านางไม่ได้งอลงเลยสักนิด หลังก็ไม่ได้ค้อมลงแม้เพียงนิดเดียว
นางค่อยๆ เงยหน้าจ้องราชาเทวะจื่อกวง ด้วยแววตาคมกริบภายใต้แรงบีบอัดที่รุนแรงนี้
แววตาเช่นนี้ในสายตาของราชาเทวะจื่อกวง ก็คือการท้าทายอย่างแท้จริง
“ไม่รู้กาลเทศะ!” ราชาเทวะจื่อกวงร้องฮึขึ้นมากำลังจะสั่งสอนมู่ชิงเกอต่อ เวลานี้เองกลับมีลูกศิษย์ด้านนอกร้องว่า “รายงานราชาเทวะ คนของดินแดนฮ่วนเยวี่ย แผ่นดินเทพตะวันออกมาถึงแล้ว พวกเขาว่ามาตามบัญชาราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยเพื่อรับตัวราชาเทวะน้อยของพวกเขากลับไปขอรับ”
‘มาแล้ว!’ เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วมู่ชิงเกอก็บอกตัวเอง
แววตาราชาเทวะจื่อกวงเปลี่ยนแปลงไปมาหลายรอบแล้วจึงกล่าวว่า “ให้พวกเขาเข้ามา”
“ขอรับ”
คนนอกตำหนักถอยออกไป
แรงบีบอัดบนตัวมู่ชิงเกอหายไปในทันที
ขณะที่ใจนางกำลังถอนใจที่เหล่าศิษย์พี่ดินแดนฮ่วนเยวี่ยมาได้ทันเวลา หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงต้องลำบากแน่นอน เสียงราชาเทวะจื่อกวงก็ดังขึ้นอีก “มู่ชิงเกอ ความจริงแล้ว ของในมือเจ้า หากมอบมันให้ข้า เจ้าก็จะสามารถลดความยุ่งยากลงไปได้มาก แต่หากยังยืนยันไม่ยอม เกรงว่าคนที่เจ้าจะพบต่อไปคงไม่ได้พูดคุยดีๆ เช่นข้าอีก เจ้าพิจารณาให้ดี อย่าได้ใช้อารมณ์ชั่ววูบจนทำลายตัวเอง”
หลังจากเตือนมู่ชิงเกอแล้ว นอกตำหนักก็มีคนเดินมาสี่คน
คนเดินนำย่อมเป็นลูกศิษย์ดินแดนจื่อกวงที่นำทาง
มู่ชิงเกอมองไปยังสี่คนที่เดินเข้ามา พอเห็นชัดแล้วนางก็รู้สึกผิดคาด นึกไม่ถึงว่าคนที่มาครั้งนี้ล้วนเป็นคนคุ้นเคยทั้งหมด ทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ดีอีกด้วย