ตอนที่ 732
หลักการคล้อยตาม!
องครักษ์เขี้ยวมังกรสองร้อยคนต่างเปล่งรัศมีสีเลือดออกจากร่าง รัศมีเหล่านี้รวมเป็นหนึ่งเดียวเชื่อมโยงพวกเขาไว้ด้วยกันและไม่ได้เลือกตำแหน่ง เพียงแค่เลือกยืนอยู่ตรงจุดใดจุดหนึ่งก็สามารถเชื่อมกลิ่นอายพวกเขาแต่ละคนไว้ด้วยกันได้
“กลิ่นอายเป็นหนึ่งเดียวกัน! ไม่ใช่สายเลือด ไม่ใช่ตระกูลเดียวกัน เหตุใดจึงสามารถมีกลิ่นอายเป็นหนึ่งเดียวกันได้!” ซวีซิวตะลึงเบิกตากว้างพึมพำอยู่คนเดียว
ควรรู้ว่ามีคนนับร้อยนับพัน ทุกคนก็ล้วนมีความคิดต่างกัน จิตใจแตกต่างกัน ไม่ว่าจะผ่านการฝึกฝนพิเศษเช่นไรก็ยากที่จะทำให้รู้ใจกันหรือมีกลิ่นอายหลอมรวมจนกลมกลืนกันได้หมดจด
เรื่องเช่นนี้จากอดีตถึงปัจจุบันมักเกิดขึ้นในคู่แฝด แต่ก็ใช่ว่าแฝดทุกคู่ต่างสามารถทำได้เช่นนี้
อีกทั้งองครักษ์ของมู่ชิงเกอเหล่านี้ ยังไม่ใช่พี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกันอีกด้วย
ใจของซวีซิวเกิดคลื่นโหมซัด เขาไม่เข้าใจว่าองครักษ์เขี้ยวมังกรสามารถทำได้อย่างไร เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าในใจองครักษ์เขี้ยวมังกรไม่ต้องมีสายเลือด ไม่ต้องมีเบื้องหลัง สายใยของพวกเขาต่างมาจากมู่ชิงเกอ ขอเพียงมู่ชิงเกออยู่ พวกเขาก็เหมือนพี่น้องร่วมอุทรที่มีมารดาคนเดียวกัน สามารถหลอมรวมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกันได้
รัศมีแสงสีเลือดพุ่งขึ้นสูงส่องสว่างไปทั่วทั้งบริเวณตำหนัก ขับไล่แสงเดิมที่มีอยู่ในตำหนักจนกระจายหายไปไม่น้อย
คนตระกูลมู่เหลือเดนที่เดิมคิดจะพุ่งขึ้นไปสั่งสอนองครักษ์เขี้ยวมังกรให้มู่ชิงเกอรู้สึกสำนึกเวลานี้ต่างหยุดลงโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาต่างมองแสงสีแดงที่ผุดออกมาจากร่างองครักษ์เขี้ยวมังกร ไม่เข้าใจว่านี่คืออะไร
กลิ่นอายบนร่างองครักษ์เขี้ยวมังกรไม่เปลี่ยน ขั้นบำเพ็ญก็ไม่เปลี่ยน การฝึกฝนก็ไม่เปลี่ยน แต่กลับรู้สึกว่าพวกเขามีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมาอีกไม่รู้กี่เท่า
หากแต่ก่อนนี้องครักษ์เขี้ยวมังกรอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเป็นเพียงแค่เด็กน้อยธรรมดาแล้วล่ะก็ ขณะนี้พวกเขาก็เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นดั่งยักษ์
มั่วหยางไม่ได้ร่วมต่อสู้ด้วย เขายังคงเฝ้าอารักขาอยู่ข้างกายมู่ชิงเกอ
แต่เมื่อเห็นการแสดงออกของเขี้ยวมังกร ดวงตาที่นิ่งสงบของเขาก็ผุดระลอกคลื่นแห่งความตื่นเต้นออกมา เขี้ยวมังกรรวมตัว พวกเขาฝึกกันมานานแต่มีโอกาสน้อยมากที่จะได้แสดงออก
เนื่องจากมู่ชิงเกอแข็งแกร่งเกินไป ไม่ว่าพบอันตรายใดๆ ยังไม่ทันรอให้พวกเขาแสดงฝีมือ นางก็จัดการเรียบร้อยไปแล้ว
บางขณะเขายังสงสัยว่าใครคุ้มครองใครกันแน่
วันนี้พวกตระกูลมู่เหลือเดนเหล่านี้ถึงขนาดกล้าสงสัยคุณชายของพวกเขา ก็ให้พวกเขี้ยวมังกรได้มีโอกาสทำให้พวกเขาสั่นสะท้าน ตบหน้าพวกเขาเสียบ้าง
“นี่มันอะไรกัน” ตระกูลมู่เหลือเดนมีคนอดไม่ได้ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
แต่แรกเขายังเข้าใจว่าการเอาชนะองครักษ์เขี้ยวมังกรคงใช้เพียงไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น แต่เวลานี้เมื่อมองดูองครักษ์เขี้ยวมังกรอีกครั้งแล้วกลับไม่มีความเชื่อมั่นแต่แรกหลงเหลืออยู่อีก
“ผู้ไม่เชื่อฟังคำสั่ง ฆ่า!”
“ผู้ไม่ยอมคุณชาย ฆ่า!”
“ผู้ไม่จงรักภักดี ฆ่า!”
“ผู้ไม่ยอมให้สั่งสอน ฆ่าฆ่าฆ่า!”
เขี้ยวมังกรสองร้อยคนคำรามเสียงสูงอย่างพร้อมเพรียงกันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ เหนือศีรษะพวกเขาที่มีแสงสีแดงมารวมตัวกัน ปรากฎกระบี่จำแลงใหญ่โตมโหฬารและคมกริบขึ้น
ภาพนี้ทำให้สองตามู่ชิงเกอหรี่ลง
ครั้งนั้น ในช่องว่างแห่งการทดสอบของอาณาจักรเซิ่งหยวน เพื่ออารักขานางองครักษ์เขี้ยวมังกรก็ได้สำแดงเดชการหลอมรวมเป็นครั้งแรก แต่ในเวลานั้นที่พวกเขาหลอมรวมออกมาครั้งแรกเป็นโล่สีนํ้าเงิน
เวลานี้พวกเขาเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า การคุ้มครองที่ดีที่สุดก็คือการบุกอย่างกล้าหาญขึ้นหน้าไป
“หลอมรวมเป็นรูปร่าง!” ซวีซิวตกตะลึง
คนที่ไม่รู้ไม่มีวันเข้าใจว่าการทำได้ถึงขั้นนี้นั้นยากเย็นแสนเข็ญเพียงไหน
นี้ไม่ใช่การหลอมรวมกลิ่นอายของคนสองคน ห้าคนหรือสิบคน แต่เป็นสองร้อยคน! แสดงว่าจิตใจของสองร้อยคนนี้เป็นหนึ่งเดียว ต่างคนต่างเชื่อมั่นจนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน
การทำได้เท่านี้ก็ยากพอๆ กับการปีนขึ้นฟ้าแล้ว!
อีกทั้งพวกเขายังสามารถใช้จิตนี้ พลังบารมีนี้ ฝึกฝนจนสามารถหลอมสิ่งของออกมาได้
ความยากนี้ไม่ใช่เพียงหนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง!
เมื่อกลิ่นอายทั้งสองร้อยคนรวมเป็นหนึ่งแล้ว พลังบารมีที่เปล่งออกมาก็เทียบเท่ากับขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นกลาง ขณะที่กระบี่สีเลือดนั้นออกจากฝัก ก็เกิดพลังกดดันรุนแรงชนิดที่ไม่เคยปรากฎมาก่อน กดดันจนคนตระกูลมู่เหลือเดนร่วมพันคนไม่สามารถขับเคลื่อนพลังเทพในร่างได้สะดวก
คนร่วมพันสีหน้าแปรเปลี่ยน แววตาหวาดหวั่น มองดูกระบี่คมกริบสีแดงฉานที่ชี้มายังพวกเขาโดยไม่สามารถต่อต้านได้เลย
พวกเขาเริ่มตื่นกลัวเริ่มคิดจะหลบหนี
แต่เวลานั้นเอง กระบี่คมกริบสีเลือดแดงฉานนั้น กลับพุ่งลงมาที่พวกเขาโดยฉับพลัน
“เร็ว! รีบต้านไว้!” ในกลุ่มคนมีคนโพล่งออกมา
คนร่วมพันพยายามขับเคลื่อนพลังเทพตัวเอง ต่อต้านพลังบารมีกดดันจากฟากฟ้านี้
ปัง!
เสียงระเบิดที่ดังจนหูแทบหนวก สั่นสะเทือนจนตำหนักใต้ดินแทบถล่มทลาย ยังดีที่ที่นี่มีราชครูใช้ค่ายกลคํ้ายันเอาไว้หลังจากสั่นไหวแล้วจึงค่อยๆ กลับคืนสู่สภาวะปกติ ไม่เห็นแม้แต่รอยร้าวสักรอย
เมื่อพลังบารมีจากกระบี่นี้สลายไปแล้ว กระบี่สีเลือดก็ยังคงลอยอยู่เบื้องบน จับจ้องคนร่วมพันบนพื้น เหล่าตระกูลมู่เหลือเดนต่างหกคะเมนตีลังกาบนพื้นตำหนักใหญ่ ร้องครวญครางกันไม่หยุด
มู่ชิงเกอสั่นศีรษะช้าๆ มองไปที่ซวีซิว
ซวีซิวตกอยู่ในความตกตะลึงจึงไม่ทันสังเกตแม้สายตาที่มู่ชิงเกอมองมา
จนมู่ชิงเกอพูดเสียงเย็นเฉียบว่า “จะอาศัยคนพวกนี้ไปฟื้นฟูตระกูลมู่หรือ”
คำพูดนี้ไม่มีความรู้สึกเย้ยหยันแม้เพียงนิดเดียว เพียงแค่พูดความจริง
แต่คำพูดที่เป็นความจริงนี้กลับทิ่มแทงใจซวีซิว และเหล่าตระกูลมู่เหลือเดนจนพรุนไปหมด
เพียงแต่สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ทำให้พวกเขาไม่กล้าตอบโต้คำพูดมู่ชิงเกอง่ายๆ อีก
บทเรียนยังอยู่ กระบี่สีเลือดที่คมกริบยังจ่ออยู่ที่คอหอย ทำให้พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ ยังไม่ใช่สิ่งที่เลวร้ายมากที่สุด
“ถอย” มู่ชิงเกอโบกมือตามสบาย
เหล่าองครักษ์เขี้ยวมังกรต่างกลับเข้าประจำที่ ยืนตรงนิ่งแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า กระบี่สีเลือดคมกริบค่อยๆ จางหายสลายไป
พวกเขาคงยืนอยู่ที่นั่นราวกับไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้สามารถเอาชนะคนร่วมพันได้ในกระบวนท่าเดียวแต่ใบหน้าพวกเขาก็ยังคงไม่ฉายแววหยิ่งยโสออกมาแม้แต่นิด
นี่เป็นกองทัพที่ทำให้คนต้องสั่นสะท้าน!
ซวีซิวมององครักษ์เขี้ยวมังกรด้วยอาการแน่นิ่ง เขาราวกับเห็นกองทัพตระกูลมู่ครั้งที่รุ่งเรืองที่สุด
อานุภาพของกองทัพแผ่ไปทั่วแผ่นดินเทพทั้งสี่สมุทร สะเทือนไปทั่วแดนมารรกร้าง
การที่มู่ชิงเกอสามารถฝึกองครักษ์เช่นนี้ออกมาได้ ทำให้เขาสั่นสะท้านยิ่งนัก
“เห็นแล้วหรือยัง เวลานี้พวกเจ้ายังภูมิใจในตัวเองอยู่ไหม ยังรู้สึกว่าการที่ข้ารับพวกเจ้าไว้เป็นการเอาเปรียบอีกไหม ข้าจะบอกพวกเจ้าให้นะว่าจำนวนพวกเขาไม่ได้มีเพียงเท่านี้” นํ้าเสียงมู่ชิงเกอผุดความน่าเกรงขามออกมาบางส่วน
ไม่เพียงเท่านี้ ไม่ใช่เพียงเท่านี้หรือ เขายังมีลูกน้องระดับนี้อีกเท่าไรกัน!
มู่ชิงเกอนั่งตัวตรงบนเก้าอี้ ก้มมองตำหนักข้างล่างจากบันไดเก้าขั้นนี้ นางพูดว่า “การที่จะอยู่ข้างกายข้าได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือต้อง เชื่อฟังข้า! ยอมคล้อยตามข้า”