ตอนที่ 829
มาประชุมโต๊ะกลมกันเถอะ
มู่ชิงเกอเดินมาถึงหน้าประตูที่ไป๋สี่ปิดประตูบำเพ็ญ แววตาเกิดชะงักรีบพุ่งเข้าไป
ในถํ้านั้นไม่มีแม้แต่เงาของไป๋สี่ คงเหลือเพียงหนังงูที่ลอกคราบออกมา
‘ไป๋ลี่เล่า’
มู่ชิงเกอขมวดคิ้วนิดๆ เม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้กังวลความปลอดภัยของไป๋สี่เท่าไรนัก เนื่องจากที่นี่เป็นช่องว่างของนางเป็นโลกของนาง อยู่ที่นี่แล้วไป๋สี่ ย่อมไม่มีอันตรายใดๆ
นางเพียงแค่สงสัยว่าในเมื่อไป๋สี่ฟื้นแล้ว เหตุใดจึงไม่แจ้งให้นางรู้
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงสัตวคำรามแว่วมาจากป่าในช่องว่าง
เสียงคำรามของสัตว์ไม่ได้มีเพียงเสียงเดียว แต่ราวกับว่าเกิดความวุ่นวายในฝูงสัตว์ทั้งหมด สัตว์วิญญาณเหล่านี้ล้วนถูกนางใส่เข้าไปไว้ในช่องว่างเพื่อ
แก้ปัญหาเรื่องปากท้องของไป๋สี่
ต่อมาไป๋สี่มักแก้ปัญหานี้อยู่ภายนอกจึงทำให้ สัตว์วิญญาณในช่องว่างนี้แพร่พันธุ์มากขึ้นเรื่อยๆ
พอได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครมรวมทั้งไป๋สี่ไม่ได้อยู่ในถํ้าเวลานี้จึงทำให้มู่ชิงเกอเข้าใจในทันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
เงาร่างนางเกิดแสงวูบหนึ่งก็ไม่ได้อยู่ในถํ้าแล้ว แต่ไปอยู่ในสถานที่ที่ฝูงสัตว์เกิดความชุลมุนวุ่นวาย
จริงดังนั้น สิ่งที่ทำให้ฝูงสัตว์ปั่นป่วนก็คือไป๋สี่
เวลานี้นางแปลงกายเป็นอสรพิษกลืนสวรรค์วนเวียนอยู่บนท้องฟ้าที่หุบเขา อ้าปากมหึมาดูดเหล่าสัตว์ที่วิ่งพล่านบนพื้นดินเข้าปากไปทั้งหมด
มู่ชิงเกอยืนอยู่บนพื้นดิน ทั้งเสื้อผมเผ้าถูกลมพัดจนปลิวพลิ้วไสว แหงนหน้ามองไป๋สี่
ลำตัวงูของนางดูใหญ่โตกว่าเมื่อก่อนนี้จนดูเหมือนแทบจะกลืนฟ้าปิดตะวันได้
นอกจากขนาดใหญ่โตมหึมากว่าแต่ก่อนแล้ว นางกลับไม่เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ไป๋สี่ทะลวงขอบเขตในครั้งนี้
จนกระทั่งเหล่าสัตว์วิญญาณทั้งหมดบนพื้นดิน ถูกไป๋สี่กลืนกินจนหมดสิ้นแล้ว นางจึงแปลงร่างเป็นมนุษย์ลงมายืนอยู่ข้างมู่ชิงเกอ
“ชิงเกอ” เสียงแสนนุ่มนวลที่ไม่เข้ากับรูปร่างหน้าตาของไป๋สี่ดังขึ้นข้างหูมู่ชิงเก อ
มู่ชิงเกอเห็นไป๋สี่เดินเข้ามาหาตัวเองจึงยิ้มน้อยๆ รวมทั้งผุดรอยยิ้มในแววตา
“ยินดีด้วย” มู่ชิงเกอพูดกับไป๋สี่
ไป๋สี่ใช้สองมือเกาะแขนมู่ชิงเกอพลางพูดกับนางอย่างสนิทสนมว่า “ข้าออกจากการปิดประตูบำเพ็ญแล้ว ต่อไปนี้ข้าสามารถอยู่เคียงข้างเจ้าได้แล้ว”
“เวลานี้ตบะบำเพ็ญของเจ้าเป็นอย่างไร เจ้าฟื้นมาตอนนี้กำลังดีเลย เป็นจังหวะที่ข้าต้องทำงานใหญ่พอดี” มู่ชิงเกอยิ้มถาม
นัยน์ตาไป๋สี่กลอกไปมารอบหนึ่งแล้วยิ้มว่า “คงประมาณขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นแปดของเผ่ามนุษย์พวกเจ้ากระมัง”
มู่ชิงเกอเลิกคิ้วแล้วพยักหน้ายิ้มน้อยๆ ตบะบำเพ็ญของไป๋สี่ระดับนี้ สำหรับนางแล้วก็เท่ากับเพิ่มกำลังสนับสนุนขึ้นอีกมากมาย
“เวลานี้เก้าบรรจบของข้าได้ฟื้นตื่นหมดแล้ว ความแข็งแกร่งอยู่ที่จุดสุดยอด หากให้เวลาข้าอีกหน่อย ไม่แน่ว่าจะสามารถขึ้นได้ถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ชั้นเก้าของเผ่า มนุษย์ได้” ไป๋สี่พูดอย่างภาคภูมิใจ
จากนั้นนางก็บอกมู่ชิงเกอว่า “ชิงเกอ หากเจ้าคิดจะสังหารใครแล้วข้าล้วนสามารถช่วยเจ้าได้”
มู่ชิงเกอยิ้มบอกว่า “วางใจได้ ข้าไม่ลืมเจ้าแน่นอน ในเมื่อตื่นแล้วก็ตามข้าออกไปเถอะ”
ไป๋สี่ผงกศีรษะแล้วออกจากช่องว่างพร้อมกับมู่ชิงเกอ
ขณะที่พวกเขาปรากฎตัวในห้องอีกครั้งก็รู้สึกได้ว่ามีคนในห้องเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
ผมยาวสีเงินและดวงตาสีเลือดทั้งคู่นั้น ทำให้ทั้งสองรู้ฐานะของผู้ที่เพิ่งมาถึงได้ทันที
ส่วนหยินเฉิน ขณะที่เห็นไป๋สี่ปรากฎตัวพร้อมกับมู่ชิงเกอก็ชะงักไป ดวงตาสีเลือดนั้นเกิดประกายที่ไม่รู้ความหมายขึ้นมาแวบหนึ่ง
“หยินเฉิน เจ้าเองก็มาแล้วหรือ มาได้เวลาพอดีเลย” มู่ชิงเกอไม่ทันสังเกตอาการผิดปกติของหยินเฉิน
หยินเฉินเก็บงำความคิดจนไม่อาจสังเกตอะไรได้ ผงกศีรษะว่า “จัดเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“ดี พวกเรากลับดินแดนฮ่วนเยวี่ยกัน” มู่ชิงเกอพูด
หลายวันที่นางจากไป อาศัยความเร็วของราชาเทวะฮ่วนเยวี่ย สมควรที่จะเชิญเหล่าราชาเทวะมาได้แล้ว นางจะไปเจรจากับพวกเขาดูเพื่อจะได้กำหนดการ
เคลื่อนไหวขั้นต่อไป
เวลานี้อาศัยตบะบำเพ็ญของคนทั้งสาม การกลับดินแดนฮ่วนเยวี่ยเป็นเรื่องเพียงพริบตาเท่านั้น
ทั้งสามคนอาศัยป้ายราชาเทวะน้อยของมู่ชิงเกอไปปรากฎตัวที่ลานกว้างนอกวังราชาเทวะได้ทันที
เพียงแค่ลงถึงพื้น พวกเขาก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่แข็งแกร่งหลายสายอยู่ในวังราชาเทวะ ทั้งสามคนต่างสบตากัน ไป๋สี่กับหยินเฉินไม่รู้ถึงเรื่องราวที่มู่ชิงเกอตระ เตรียมไว้ ดังนั้นแววตาจึงดูระแวดระวังขึ้นมา
คงมีเพียงมู่ชิงเกอเท่านั้น ขณะที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายเหล่านี้แล้วก็เกิดความยินดีขึ้นมา บอกทั้งคู่ว่า “ดูแล้วพวกเรากลับมาได้จังหวะพอดี”
พูดจบแล้วนางก็เดินตรงไปที่ตำหนักหน้าของวังราชาเทวะทันที
พอก้าวเข้าไปในตำหนัก พลังบารมีที่แข็งแกร่งหลายสายล้วนพุ่งมายังมู่ชิงเกอ ทำให้นางไม่สามารถขยับเท้าที่ก้าวเดินได้แม้เพียงนิด
เวลานี้นางเองก็อยู่ในขั้นศักดิ์สิทธิ์ทั้งยังเป็นชั้นเจ็ดอีกต่างหาก การประจันหน้ากับคนที่อยู่ในระดับเดียวกันสักคนสองคน นางย่อมไม่ลำบากใจ แต่หากทั้งหกคนกดดันนางพร้อมกันอย่างเหนือความคาดหมายเช่นนี้ นางก็มีแต่ต้องถูกกดไว้เท่านั้น
การที่มู่ชิงเกอยืนนิ่งไปเสียเฉยๆ ทำให้สีหน้าหยินเฉินกับไป๋สี่เปลี่ยนไป รีบรุด เข้าไปทันที
ขณะที่ทั้งคู่เข้ามาใกล้มู่ชิงเกอกลับยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้ แต่พอนางขยับกลับทำให้คนทั้งหกในตำหนักที่กำลังแอบสังเกตนางอยู่แปลกใจเล็กน้อย
หยินเฉินกับไป๋สี่หยุดนิ่งจากสัญญาณมือของมู่ชิงเกอ
ส่วนมู่ชิงเกอหลังจากยกมือแล้วก็ก้าวเท้าออกไปใหม่โดยเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว พอเดินหน้าก้าวนี้ได้ พลังบารมีทั้งหมดที่กดดันบนตัวนางต่างแตกสลายและ กระจายหายไปจนหมดสิ้น
ฉากนี้ทำให้คนทั้งตำหนักต่างตกตะลึง
ขณะที่มู่ชิงเกอก้าวเดินด้วยความมั่นคงและท่าทีปกติเข้าไปในตำหนัก สายตาประหลาดใจทุกคู่ก็ล้วนจับจ้องมาที่ตัวนาง
สายตาเหล่านี้มู่ชิงเกอรับรู้ได้ทั้งหมดแต่กลับทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร สายตาแน่วแน่เดินไปกลางตำหนัก ส่วนไป๋สี่กับหยินเฉินก็ติดตามนางอยู่ทางด้านหลังซ้าย ขวา
ขณะที่มู่ชิงเกอถูกกดดัน ไป๋สี่กับหยินเฉินก็แอบปล่อยพลังบารมีของตัวเองออกมาอย่างรู้กัน
พลังบารมีของเผ่าอสูรเมื่อเทียบกับเผ่ามนุษย์แล้วมีความรุนแรงกว่ามาก
พอทั้งคู่เคลื่อนไหวก็ทำให้สีหน้าของเจ็ดราชาเทวะในตำหนักต่างระแวดระวังขึ้นมา
“ที่แท้ยังมีเพื่อนเป็นเผ่าอสูรอีกด้วย” ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทวะ เอามือเท้าศีรษะ นัยน์ตาหงส์หรี่ลงครึ่งหนึ่งเอ่ยขึ้น
มู่ชิงเกอยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่มีพลังแฝงอยู่บ้าง ไฉนเลยข้าจะกล้ากล่าววาจาสามหาวต่อหน้าเหล่าราชาเทวะทั้งหลายว่าจะฟื้นฟูเก้าชั้นฟ้าขึ้นมาใหม่”
จากนั้นนางก็หลุบตาลงเล็กน้อยเอ่ยเสียงเบาว่า “หยินเฉิน ไป๋สี่”
ทั้งคู่เมื่อได้ยินถึงแม้จะไม่ยินยอม แต่ก็ยังเก็บงำพลังบารมีคืนกลับมา
เวลานี้สายตามู่ชิงเกอจึงค่อยๆ เคลื่อนไปมองคนทั้งหกที่อยู่ในตำหนักจากซ้ายไปขวา ราชาเทวะจงซาน กับราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั้นนางย่อมรู้จักอยู่แล้ว ที่เหลืออีกสี่คน นางยังไม่เคยเห็นตัวจริง แต่เคยเห็นภาพวาดที่ส่งมาจากเฟิงหลินเยี่ยตู้
มู่ชิงเกอมองดูคนที่อยู่เบื้องหน้าเทียบกับภาพวาดที่อยู่ในสมองจึงรู้ถึงฐานะของพวกเขา
จากซ้ายไปขวาเรียงตามลำดับคือ ราชาเทวะสือฟาง ราชาเทวะเซียนเหนี่ยว ราชาเทวะจินกวง ราชาเทวะเฝินไห่ ดินแดนซุยชิง ทั้งยังมีราชาเทวะจงซาน ส่วน ราชาเทวะฮ่วนเยวี่ยนั่งอยู่บนบัลลังก์ราชาเทวะ ไม่ได้นั่งรวมกับพวกเขา
เหล่าราชาเทวะที่นี่ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์เก้าชั้นฟ้าครั้งนั้นมากนัก เป็นฝ่ายที่นางสามารถดึงตัวมาได้