Chapter 5
“แม่นาง จะรีบไปไหนเล่า?”
หลินจื่อเซียน รีบเอายาป้อนใส่ปากเซี่ยจินเย่ซึ่งไข้ขึ้นสูงจนไม่ค่อยมีสติเท่าไหร่ ทันทีที่ยาเข้าปากก็ละลายกลายเป็นน้ำไหลลงคอไปอย่างรวดเร็ว หลินจินเซียนก็ป้อนน้ำตามไป จากนั้นเธอก็เอาผ้าผืนเล็กออกมาจากแหวนเก็บของ แล้วก็ถุงหนังใส่น้ำ เธอราดน้ำใส่ผ้าจนชุ่มแล้วบิดหมาดๆ เอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดตัวให้เซี่ยจินเย่ เธอเฝ้าเช็ดตัวให้เซี่ยจินเย่หลายรอบจนความร้อนลดลงไปมาก ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะยาออกฤทธิ์หรือเพราะการเช็ดตัวลดความร้อนกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นยังไง ไข้ลดก็ดีแล้ว
เซี่ยจินเย่รู้สึกสบายตัวขึ้นก็ผล๊อยหลับไปอย่างง่ายดาย หลินจื่อเซียนมองอาการเซี่ยจินเย่แล้วก็คิดว่า วันนี้คงต้องหยุดพักที่ตรงนี้แล้วล่ะ จากนั้นเธอก็ลุกไปเดินเก็บกิ่งไม้แห้งๆ มาไว้ใช้ทำฟืนก่อไฟ
หลังจากจัดการแค้มป์ชั่วคราวเสร็จแล้วเธอก็เดินกลับไปนั่งข้างๆเซี่ยจินเย่ คอยเฝ้าดูอาการอยู่ตลอดเวลา อาหาร เธอก็เอาเสบียงแห้งออกมาจากแหวนเก็บของแล้วกินอย่างง่ายๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก แค่กินให้ท้องอิ่มเท่านั้น
จนความมืดโรยตัวมีเพียงแสงไฟจากกองไฟส่องสลัวๆ แต่สำหรับสายตาของหลินจื่อเซียนแล้วไม่เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย เธอสามารถมองเห็นในความมืดได้อย่างชัดเจนราวกับกลางวัน ดังนั้นกองไฟที่ก่อไว้ก็เพื่อให้ความอบอุ่นกับเซี่ยจินเย่เท่านั้น
เซี่ยจินเย่นอนอยู่กับพื้น สักพักมือก็ควานไปรอบตัว พอเจอร่างกายอุ่นๆ นางก็ขยับตัวกอดเอาไว้แน่น หลินจื่อเซียนร้อง ฮื่อ คำหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้ผลักไส ก็คนไม่สบายไม่ได้สติ จะเอาอะไรนักหนาล่ะ
ครั้นถึงเวลากินยา หลินจื่อเซียนก็คอยเอายาป้อนใส่ปาก จนกระทั่งเกือบรุ่งเช้า ไข้ก็ลดลงจนเป็นปกติ จนกระทั่งสาย เซี่ยจินเย่ก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พอเห็นว่าตัวเองกอดพี่จื่อเซียนเอาไว้ก็ทำหน้าเจื่อนๆ “อา…พี่จื่อเซียน ขออภัยด้วย”
“ช่างเถอะ เจ้าดีขึ้นแล้วซินะ” หลินจื่อเซียนถามแล้วก็ใช้หลังมือวัดอุณหภูมิ พบว่าไม่มีไข้แล้วก็โล่งใจ เซี่ยจินเย่ขยับตัวลุกขึ้นนั่ง มองพี่จื่อเซียนอย่างซาบซึ้ง “ขอบคุณท่านพี่ที่ดูแลข้าเจ้าค่ะ”
“นี่ๆ อย่าพูดอะไรที่ทำให้ขนลุกได้ไหม พูดยังกับเป็นสามีภรรยากันงั้นแหละ” หลินจื่อเซียนโบกๆ มือ เซี่ยจินเย่อ้าปากค้างครู่หนึ่ง แล้วก็หน้าแดงแปร๊ด! หลินจื่อเซียนไม่สนใจท่าทีของอีกฝ่าย ลุกขึ้นนั่งแล้วก็ลุกขึ้นยืนอย่างฉับไว เซี่ยจินเย่คิดถึงยาที่ถูกป้อนเมื่อคืนก็คิดว่าคงเป็นยาที่เก็บมาจากคนชั่วช้าพวกนั้นกระมัง ไม่ได้นึกสงสัยว่าพี่จื่อเซียนเอายามาจากไหน
หลินจื่อเซียนเอาเสบียงออกมาจากแหวนเก็บของ ยื่นไปให้เซี่ยจินเย่ “กินซิ จะได้เดินทางต่อ”
“เจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่รับเสบียงมากินอย่างว่าง่าย รู้สึกว่าโชคดีนักที่ได้พี่จื่อเซียนช่วยเหลือ หากนางไม่ยื่นมือช่วย ตัวเองก็คงจะกลายเป็นศพที่ถูกขืนใจจนตายไปแล้วกระมัง คำพูดที่ว่าชีวิตของนางเป็นของพี่จื่อเซียนนั้นถูกต้องยิ่งนัก ชีวิตนี้เป็นพี่จื่อเซียนช่วยไว้ นางไม่มีสิทธิ์คิดที่จะทำลายชีวิตตัวเอง สายตาที่นางมองพี่จื่อเซียนจึงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งใจเต็มเปี่ยม
“ทำไมยังไม่กินล่ะ?” หลินจื่อเซียนถามอย่างสงสัย เซี่ยจินเย่จึงหลุบตาลง กัดเสบียงแห้ง หลินจื่อเซียนมองไปรอบๆ แล้วยกเสบียงแห้งขึ้นกัด เคี้ยวตุ้ยๆ ท่าทางไม่เรียบร้อยนัก ตอนนี้เธอไม่มีใจจะมาใส่ใจเรื่องมารยาทหรอกนะ สิ่งสำคัญก็คือต้องเรียนรู้สถานการณ์ในตอนนี้ให้มากที่สุด ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนเป็นปลาที่จู่ๆ ก็ถูกย้ายจากตู้เลี้ยงเดิมมาใส่ตู้ใหม่ แล้วในตู้ใหม่นี้มีอันตรายอะไรบ้างเธอก็ไม่รู้เลย คล้ายๆ คนตาบอดคลำทางนั้นแหละ แล้วเธอจะกลับไปหาพ่อหาแม่ยังไง นี่คือสิ่งที่เธอคิดอยู่ทุกวินาที
ครั้นกินเสร็จแล้ว หลินจื่อเซียนก็ปัดๆ มือ มองเซี่ยจินเย่ซึ่งกินใกล้จะเสร็จแล้ว
ในขณะที่เซี่ยจินเย่กำลังไข้ขึ้นจนต้องหยุดพักการเดินทาง หานรั่วเฟยก็มาถึงจุดที่ชายชั่วช้าถูกฆ่าตาย เป็นเพราะแร้งดำได้กลิ่นเลือด มันจึงบินพรูลงไปจิกกินศพ หานรั่วเฟยตามมาถึงก็มองดูอย่างสงสัย “หือ?”
เขาเดินไปดูร่องรอย พลางครุ่นคิด “คนพวกนี้เป็นใคร? เหตุใดจึงถูกฆ่าตายอยู่ที่นี่? ถูกใครฆ่า?”
เขาค่อยๆ สำรวจร่องรอยอย่างละเอียด เขาเดินดูรอบๆ จนทั่วรอบหนึ่ง แล้วก็กลับมายืนตรงจุดที่มีรอยก่อกองไฟ เขาเอาไม้มาเขี่ยกองขี้เถ้า พบว่าใต้กองขี้เถ้ายังมีถ่านคุอยู่เล็กน้อย ทำให้สามารถอนุมานเวลาได้ว่า กองไฟนี้คงก่อไว้เมื่อคืน ส่วนศพพวกนั้นดูจากสภาพศพแล้วน่าจะตายตอนช่วงสายของวัน สภาพศพไม่มีบาดแผลมากนัก คาดเดาได้ 2 ประการ ประการหนึ่งคือ คนฆ่ามีฝีมือพอตัว ลงมือไม่กี่ทีก็ฆ่าคนได้แล้ว ประการที่สองคือ คนตายมีฝีมือพอตัวจึงรับมือได้ดีทำให้ไม่มีบาดแผลมาก จนกระทั่งพลาดพลั้งถูกฆ่าตาย
“อืม…เป็นประการแรกหรือประการที่สอง?” เขาครุ่นคิด แล้วก็เห็นอาภรณ์สตรีกองอยู่กับพื้นกองหนึ่ง เขาหยิบขึ้นมาคลี่ดู ดูจากสภาพแล้วฉีกขาดเพราะถูกกระชากจนขาด เขามองหาศพสตรี แต่ก็ไม่เห็น “ถ้างั้นก็หมายความว่า สตรีนางนี้คงมาประสบกับชายพวกนี้ แล้วถูกชายพวกนี้ข่มเหง? สู้กันไปสู้กันมา จากนั้นสตรีผู้นี้ก็ฆ่าคนพวกนี้ได้งั้นรึ? อืม…”
เขาคิดๆ วิเคราะห์ตามสภาพการณ์ เมื่อไม่เห็นศพสตรีก็บ่งบอกได้ว่าสตรีผู้นี้คงจากไปแล้ว ส่วนจะได้รับบาดเจ็บมากน้อยเพียงใด ยังเป็นหรือตายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเขา ที่เขามาไกลถึงขนาดนี้ก็เพราะเจ้าคนชั่วช้าสารเลวนั่น แต่ถ้ายังมุ่งหน้าไปอีก ก็จะเข้าเขตแคว้นเฟิงมากเกินไป เขาตามมาไกลจนถึงขนาดนี้แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยอะไร คาดว่าเจ้าคนชั่วช้านั่นคงไม่ได้หนีมาทางนี้แน่
หลังจากคิดวิเคราะห์ดูแล้ว เขาจึงหันไปสั่งแร้งดำว่า “กลับ!”
“กี๊ด” แร้งดำส่งเสียงร้อง แล้วก็บินกลับไปตามทิศทางเดิม หานรั่วเฟยก็เดินกลับไปตามทางเดิมเช่นกัน เขาได้แต่หวังว่าคนอื่นๆ น่าจะจับตัวเจ้าสารเลวนั่นได้ ไม่เช่นนั้นหากถึงเวลาเจ้าสำนักตื่นขึ้นมา คงไม่มีใครรองรับโทสะของท่านเจ้าสำนักไหวสักคน แค่คิดถึงข้อนี้ ขนทั่วร่างก็ลุกชันอย่างเสียวสันหลังไม่หยุด
หลังจากเซี่ยจินเย่กินเสร็จแล้ว สองสาวก็ออกเดินทางต่อ หลินจื่อเซียนไม่จำเป็นต้องตรวจร่างกายของเซี่ยจินเย่ก็รู้ว่าสภาพร่างกายนางกลับสู่สภาพปกติแล้วด้วยการฟังเสียงหัวใจที่เต้นสม่ำเสมอก็รู้แล้ว ขณะที่เดินทางไปนั้นเธอก็ครุ่นคิดถึงรอยแยกเล็กๆ ที่มีต้นสมุนไพรออกมา อืม…ไอ้นั่นคืออะไร? อีกทั้งสมุนไพรที่ออกมาจากรอยแยกนั้นก็เป็นชนิดที่เธอต้องการพอดี น่าสงสัย อืม…น่าสงสัยมาก
เดินทางตอนสาย จนบัดนี้ตะวันเริ่มตรงหัวแล้ว หลินจื่อเซียนไม่เหนื่อย แต่เซี่ยจินเย่นั้นไม่ไหวแล้ว ด้วยสภาพร่างกายที่ผ่านการถูกขืนใจตลอดทั้งคืน อีกทั้งยังเดินทางอีกเกือบตลอดวัน ตกเย็นก็จับไข้เพิ่งจะหาย ทำให้สภาพร่างกายอ่อนแอกว่าปกติจนหมดแรงจนต้องเอามือยันต้นไม้ข้างทาง หลินจื่อเซียนไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา อีกทั้งได้ยินเสียงหอบหายใจจึงหันไปดู ดวงตาก็ทอประกายเห็นอกเห็นใจ เดินย้อนกลับไปถาม “เดินไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“ไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ” เซี่ยจินเย่ส่ายหน้า ยกมือปาดเหงื่อบนหน้าผาก หลินจื่อเซียนมองแล้วก็มองไปรอบๆ พลัน! หูก็ได้ยินเสียงพูดคุยดังแว่วมา เธอฟังเสียงแล้ว คำนวณได้ว่าเสียงที่ได้ยินนั้นอยู่ห่างจากตัวเองไปราว 1 กิโลเมตร ฟังๆ จากเสียงนั้น คาดได้ว่า ตรงนั้นมีคนอยู่ 5 คน
“เสี่ยวเอ้อร์ เอาชามาอีก”
“ขอรับๆ”
“พี่ใหญ่ อีกใกลไหมกว่าจะถึงแคว้นเฟิงน่ะ?”
“ขี่ม้าอีก 3 วันก็ถึงแล้วน้องเล็ก”
“หึ!”
เสียงพูดคุยเหล่านั้น หลินจื่อเซียนได้ยินทั้งหมด จึงสามารถคาดเดาได้ว่าตรงจุดนั้นน่าจะเป็นร้านขายของที่ดูๆแล้ว น่าจะคล้ายๆกับคาเฟ่เล็กๆที่เธอคุ้นเคย เธอจึงหันไปพูดกับเซี่ยจินเย่ว่า “เจ้านั่งพักก่อน หายเหนื่อยแล้วพวกเราค่อยเดินต่อเถอะนะ”
เธออยากไปให้ถึงตรงนั้น แต่เซี่ยจินเย่เดินไม่ไหวแล้ว ก็ได้แต่ต้องทำใจเย็นๆ ดีกว่า เซี่ยจินเย่พยักหน้ารับ แล้วนั่งลงกับพื้น หลังพิงต้นไม้อย่างหมดแรง นางเงยหน้ามองพี่จื่อเซียน ถามว่า “ท่านพี่ไม่เหนื่อยบ้างหรือ? ข้าไม่เห็นท่านมีเหงื่อเลย”
“ไม่เหนื่อย” หลินจื่อเซียนตอบ แล้วก็พูดว่า “ต่อไปเจ้าต้องออกกำลังกายให้เยอะๆ หน่อยจะได้แข็งแรง”
“ออกกำลังกาย?” เซี่ยจินเย่ทวนคำอย่างงุนงง “คืออะไรเจ้าคะ?”
พอถูกถามกลับ หลินจื่อเซียนก็รู้ตัวว่าตัวเองหลุดคำพูดที่เคยชินอีกแล้ว จึงยิ้มแล้วตอบว่า “หมายถึงออกแรงน่ะ เจ้าต้องออกแรงให้มากๆ หน่อย จะได้แข็งแรง”
“อ่อ” เซี่ยจินเย่พยักหน้าเข้าใจ
จนกระทั่งหายเหนื่อยแล้ว สองสาวจึงออกเดินทางต่อ เดินมาจนถึงทางแยก เซี่ยจินเย่ก็ลังเลขึ้นมา ไม่รู้จะไปทางไหนดี “นี่…”
แต่หลินจื่อเซียนไม่ลังเลเลย เลือกเส้นทางทางด้านซ้าย เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นอยู่ทางด้านซ้าย เซี่ยจินเย่จึงเดินตามไปติดๆ จนเดินไปเห็นเพิงน้ำชาเซี่ยจินเย่ก็ดีใจ รีบชี้มือไป “พี่จื่อเซียนตรงนั้นมีร้านน้ำชาเจ้าค่ะ”
หลินจื่อเซียนพยักหน้า “อืม”
เซี่ยจินเย่รีบเดินเร็วๆ พุ่งไปหาร้านน้ำชาอย่างดีใจราวกับอูฐกลางทะเลทรายที่เจอแหล่งน้ำอย่างไรอย่างนั้น หลินจื่อเซียนเดินตามไป เสี่ยวเอ้อร์เห็นคนเดินมาใกล้ก็รีบร้องว่า “น้ำชาร้อนๆ ขอรับ”
เซี่ยจินเย่ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าเพิงน้ำชา เพราะตัวเองก็เพิ่งจะออกจากหมู่บ้านเป็นครั้งแรก ไม่เคยไปร้านน้ำชาเลยสักครั้ง การกินอยู่ที่ผ่านมาล้วนแต่มีท่านแม่จัดเตรียมไว้ให้ เมื่อเสี่ยวเอ้อร์เห็นท่าทางเก้ๆ กังๆ ก็เบะปากดูแคลน เถ้าแก่เห็นเด็กสาวก็กำลังจะออกปากไล่ แต่พอเหลือบไปเห็นเด็กสาวอีกคนที่เดินตามหลังมา ปากที่กำลังจะอ้าก็หุบลงฉับ! เพราะท่าทางการเดินที่เอ้อระเหยลอยชายราวกับเดินอยู่ในบ้านตัวเองนั้นทำให้เถ้าแก่ไม่กล้าดูแคลน ประเมินได้ทันทีว่าเด็กคนหลังนั้นควรจะต้อนรับให้ดี
เมื่อหลินจื่อเซียนเดินมาถึงเพิงน้ำชาก็ถามว่า “ทำไมไม่เข้าไปนั่งล่ะ? เมื่อยขาแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“ข้า…ไม่เคย” เซี่ยจินเย่ตอบตะกุกตะกักอย่างประหม่า หลินจื่อเซียนมองแล้วก็จับมือเซี่ยจินเย่เดินเข้าไปนั่งที่โต๊ะว่างในเพิงน้ำชา ซึ่งมีลูกค้าอีกโต๊ะหนึ่งนั่งกันอยู่ก่อน 3 คน คาดว่าคงเป็นคนที่เธอได้ยินเสียงคุยกันก่อนหน้านี้ล่ะมั้ง?
หลินจื่อเซียนมองเพิงน้ำชา เห็นมีซึ้งตั้งอยู่บนเตา ควันลอยกรุ่นๆ คาดว่าในซึ้งคงเป็นอาหาร จึงถามคนที่ดูท่าทางว่าจะเป็นเด็กเสิร์ฟว่า “ในซึ้งนึ่งอะไรเหรอ?”
“ซาลาเปา” เสี่ยวเอ้อร์ตอบเสียงแข็ง หลินจื่อเซียนจึงสั่งว่า “เอามา 4 ลูก น้ำชาด้วย”
เสี่ยวเอ้อร์พยักหน้ารับ แล้วเดินไปรับน้ำชากับซาลาเปาจากเถ้าแก่
“ยี้ สกปรก” เสียงพูดจากอีกโต๊ะหนึ่งดังขึ้น หลินจื่อเซียนกับเซี่ยจินเย่หันไปมอง แล้วทั้งสองก็ได้เห็นเด็กสาวที่อายุไล่เลี่ยกับพวกตนคนหนึ่งมองตรงมาที่พวกตนด้วยสายตาดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง แสดงสีหน้ารังเกียจอย่างเปิดเผย มีชายหนุ่มอายุราว 20 คนหนึ่งกับอายุ 18 นั่งอยู่ด้วยกันกับเด็กสาวคนนั้น
“น้องเล็ก!” ชายอายุ 20 ส่งเสียงปรามเด็กสาว เด็กสาวจึงหันไปมองเขาทีหนึ่ง แล้วทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นมานิดหนึ่ง แล้วชายอายุ 20 ก็เปิดปากพูดว่า “ขออภัยแม่นางทั้งสอง”
“ช่างเถอะ” หลินจื่อเซียนโบกมือไม่ใส่ใจ เพราะพวกเธอสองคนก็สกปรกจริงๆ นั้นแหละ ตั้งแต่ฆ่าคนพวกนั้น ก็ยังไม่ได้มีโอกาสอาบน้ำเลย คราบเลือดจึงยังเปรอะเปื้อนเนื้อตัวอยู่บ้าง ได้แต่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเอาเท่านั้น
เสี่ยวเอ้อร์ยกซาลาเปากับน้ำชามาวาง แล้วก็ถอยไป เซี่ยจินเย่จึงรินน้ำชาให้พี่จื่อเซียนก่อน แล้วค่อยรินให้ตัวเอง
“ขอบใจ” หลินจื่อเซียนพูดอย่างเคยปาก ยกถ้วยชาขึ้นมาสูดกลิ่น แค่ได้กลิ่น ในสมองก็ผุดชื่อใบชาที่ใช้ชงชานี้ขึ้นมาชื่อหนึ่ง ซึ่งถ้าเทียบกับระดับชาที่เธอคุ้นเคย ชาชนิดนี้ก็เทียบได้กับชาทั่วไปที่ร้านอาหารทั่วๆไป ใช้ต้มทีละมากๆ บริการลูกค้านั้นแหละ
เธอจิบชา แล้วก็หยิบซาลาเปาขึ้นมากัด ซาลาเปาก็ไม่ได้เลิศรส แค่พอกินได้เท่านั้น ทำเธอคิดถึงซาลาเปาฝีมือป้าจางเหลือเกิน เซี่ยจินเย่ก็หยิบซาลาเปามากิน
“ไปเถอะ น้องรอง น้องเล็ก” ชายอายุ 20 พูดขึ้น วางเงินไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นเดินออกไป อีกสองคนก็เดินตามไป
“โอกาสหน้าเชิญอีกนะขอรับ” เถ้าแก่พูดส่งลูกค้า หน้าตายิ้มแย้ม
ตั้งแต่ต้นจนคนจากไป หลินจื่อเซียนยังไม่ได้ยินคนที่ถูกเรียกว่า ‘น้องรอง’ พูดสักคำ เห็นคนทั้งสามเดินไปขึ้นม้าคนละตัว ม้าที่นี่ก็เหมือนม้าที่เธอเคยเห็นนั่นแหละ ไม่ได้แตกต่างกันสักนิด มีเสี่ยวเอ้อร์คอยจับม้าไว้ให้ท่าทางพินอบพิเทา จากนั้นทั้งสามก็ขี่ม้าจากไปทิ้งไว้เพียงฝุ่นให้เสี่ยวเอ้อร์สำลัก
“ถ้ามีม้าก็ดีซิ” เซี่ยจินเย่มองตาม พูดลอยๆ ขึ้นมา หลินจื่อเซียนจึงถามว่า “ม้าตัวนึงราคาเท่าไหร่?”
“แพงยิ่งนัก” เซี่ยจินเย่ตอบ แล้วก็กระซิบว่า “ต่อให้ใช้เงินทองทั้งหมดในแหวนของท่านพี่ยังไม่พอจะซื้อเลยเจ้าค่ะ”
“อ่อ” หลินจื่อเซียนพยักหน้ารับรู้ แล้วคิดในใจ ที่นี่ก็ยังบูชาคนรวยเหมือนโลกของเธอนั่นแหละ
ขณะที่เธอกำลังคิดอยู่นั้น ก็มีม้าควบมาหยุดหน้าเพิงน้ำชาจนฝุ่นฟุ้งตลบ
“ฮี้” ม้า 4 ตัวหยุดใกล้ๆ กัน เสี่ยวเอ้อร์ก็ปราดไปต้อนรับลูกค้า ท่าทางพินอบพิเทา “เชิญขอรับๆ”
เถ้าแก่ก็ร้องว่า “เชิญขอรับๆ”
หลินจื่อเซียนเห็นการต้อนรับของเถ้าแก่กับเสี่ยวเอ้อร์ก็ยิ่งคิดในใจ อืม…ต้องมีเงินถึงจะมีอำนาจพอที่จะทำให้คนก้มหัวให้
คน 4 คนลงมาจากหลังม้า เดินอาดๆ เข้ามาในเพิง แล้วนั่งลงที่โต๊ะอย่างวางก้าม “เอาเหล้ามา! เจ้ามีอาหารดีๆ อะไรก็รีบยกมา”
“ขอรับๆ” เถ้าแก่รับคำสั่ง แล้วรีบหยิบไหเหล้าออกมา เสี่ยวเอ้อร์ก็รับไปยกไปให้ลูกค้า จากนั้นเถ้าแก่ก็คีบซาลาเปาใส้เนื้อออกจากซึ้งหลายลูกใส่จาน แล้วส่งให้เสี่ยวเอ้อร์ยกไปให้ลูกค้า
เมื่อเห็นซาลาเปา ชายคนที่สั่งเหล้าก็ตบโต๊ะปัง! “เถ้าแก่ เจ้าอยากตายรึ? เอาเนื้อมา!”
เถ้าแก่สะดุ้งโหยง พูดเสียงสั่นๆ ว่า “มะ…ไม่มี…ขะ…ขอรับ”
หลินจื่อเซียนเห็นว่าลูกค้ากลุ่มนี้เป็นพวกอันธพาล เธอจึงเอาเงินวางไว้บนโต๊ะ จับมือเซี่ยจินเย่กระซิบว่า “ไปกันเถอะ”
เซี่ยจินเย่รีบเคี้ยวซาลาเปาคำสุดท้ายแล้วรีบลุกไปพร้อมกับพี่จื่อเซียน
“แม่นาง จะรีบไปไหนเล่า?” เสียงหนึ่งดังตามหลัง หลินจื่อเซียนเหล่ตามองแวบหนึ่งแล้วจูงมือเซี่ยจินเย่เดินต่อไป
“นี่! ข้าพูดกับพวกเจ้าอยู่นะ!” คนๆเดิมพูดอีก เซี่ยจินเย่สะดุ้งเฮือก รู้สึกกลัวจนตัวสั่นน้อยๆ หลินจื่อเซียนยังคงจูงมือเซี่ยจินเย่เดินไป
“หนอย! กล้าดูแคลนข้าพยัคฆ์คำรามงั้นรึ!” คนๆ เดินตะคอกเสียงดังดุดัน หลินจื่อเซียนไม่สนใจยังคงจูงมือเซี่ยจินเย่เดินไป
พยัคฆ์คำรามจึงลุกขึ้น พุ่งตัวไป ยื่นมือไปจับไหล่เด็กสาวที่กล้าดูแคลนตัวเอง มือยังไม่ทันจับไหล่ ก็รู้สึกเจ็บจนหน้าเบ้ ตัวเซถอยหลังไปสี่ห้าก้าว สองมือกุมเป้าตัวเอง ร้องไม่ออก
หลินจื่อเซียนดึงเท้ากลับอย่างรวดเร็วจนคนมองไม่ทัน เห็นแค่พยัคฆ์คำรามเซถอยหลังไป หน้าตาเจ็บปวดจุกรวดร้าวเหลือประมาณเท่านั้น คนอีก 3 คนที่มาด้วยกันกับพยัคฆ์คำรามก็นั่งบื้อใบ้ งงเป็นไก่ตาแตก ไม่รู้เช่นกันว่าพี่ใหญ่เป็นอะไร
พยัคฆ์คำรามพยายามชี้นิ้วขึ้นมา สั่งเสียงตะกุกตะกักว่า “พะ…พวกเจ้า…จะ…จับมัน…หะ…ให้ข้า!”
อีก 3 คนพอได้ยินพี่ใหญ่สั่งเช่นนั้นก็รีบลุกขึ้น กรูไปหาเด็กสาวสองคนนั่นทันที เซี่ยจินเย่กลัวจนใช้พลังธาตุไม้ของตัวเอง แต่ไอพลังสีดำเข้มก็เพียงแค่แผ่ออกมารอบๆ ตัวเท่านั้น
“หึ! เป็นแค่ขั้นสีดำที่ยังไม่ถึงขั้นหนึ่ง คิดสู้กับพวกข้ารึ! ฮ่าๆๆๆ” คนหนึ่งดูแคลนพลางหัวเราะเยาะเย้ย เขาใช้พลังธาตุไม้สีดำขั้นสองของตัวเองออกมา เถาวัลย์ก็พุ่งออกมาจากตัวเขา พุ่งไปจับเด็กสาวทั้งสองคน เซี่ยจินเย่ร้องอย่างหวาดกลัว “อย่า!”
หลินจื่อเซียนมองเฉย เมื่อเถาวัลย์พุ่งมารัดข้อมือ เธอก็ขยับตัวพุ่งไปทางเถ้าแก่ เถ้าแก่ร้องลั่น “อ้า…”
หลินจื่อเซียนยื่นมือไปคว้าท่อนฟืนในเตาไฟออกมา แล้วฟาดท่อนฟืนที่กำลังลุกไหม้ใส่เถาวัลย์ที่รัดข้อมือตัวเอง ผั๊วะ
เถาวัลย์โดนไฟ คนๆ นั้นก็ร้องลั่น “โอ๊ย!”
เถาวัลย์หดกลับไปอย่างรวดเร็ว คนๆ นั้นคำรามลั่น “เจ้า!”
หลินจื่อเซียนเหยียดมุมปากอย่างดูแคลน พลังห้าธาตุงั้นรึ เฮอะ! ในเมื่อคนๆ นี้เป็นธาตุไม้ ธาตุไม้ก็ย่อมต้องแพ้ไฟนะซิ
“…” เสี่ยวเอ้อร์กับเถ้าแก่อ้าปากค้าง
หลินจื่อเซียนถือท่อนฟืนเอาไว้ในมือ ท่าทางสงบนิ่งมาก ชายอีกคนซึ่งเป็นธาตุไม้ก็ไม่กล้าเข้าใกล้เด็กสาว เพราะกลัวจะถูกท่อนฟืนติดไฟตีเอา อีกคนซึ่งเป็นธาตุน้ำ จึงใช้น้ำดับไฟบนท่อนฟืน รวมถึงไฟในเตาทั้งหมด ซ่า!
ไฟในเตาดับลง แต่ไฟบนท่อนฟืนกลับไม่ดับยังคงลุกไหม้อยู่อย่างเดิม ชายธาตุน้ำจึงร้องออกมา “นางมีธาตุไฟ!”
“ธาตุไฟแล้วอย่างไรเล่า! เจ้ามีธาตุน้ำ เจ้าก็จัดการนางซิ” ชายธาตุไม้ที่ถูกตีเอ่ยขึ้น ชายธาตุน้ำหน้ากระตุก เมื่อครู่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจัดการแล้วรึ! แต่ฟืนในมือนางก็ยังไม่ดับ เห็นได้ชัดว่าขั้นพลังของนางสูงกว่าเขา
“ข้าไม่หาเรื่องใคร แต่ถ้าเรื่องมาหาข้า ข้าก็ไม่กลัว” หลินจื่อเซียนพูดเนิบนาบ ทำชายทั้งสี่รู้สึกขนคอลุกชันอย่างแปลกประหลาด หลินจื่อเซียนขว้างท่อนฟืนพุ่งไป ฟิ้ววววว
ชายธาตุไม้เห็นท่อนฟืนลอยมาก็เอียงหัวหลบ โป๊ก!
เพล้ง!
เขามึนจนทรุดลงไปยกมือขึ้นกุมหน้าผากตัวเอง ตรงพื้นมีกาน้ำชาแตกกระจาย เขาได้แต่มองดูเศษกานั้นอย่างบื้อใบ้ ขว้างมาตอนไหน!?
ส่วนท่อนฟืนลอยวืดไปตกอยู่บนพื้นดินข้างหลังชายธาตุไม้
หลินจื่อเซียนพุ่งไปหาชายธาตุน้ำ ดาบทั้งฝักฟาดโคร้ม! ใส่ซอกคอชายธาตุน้ำอย่างถนัดถนี่ ปึก!
“โอ๊ะ!” ชายธาตุน้ำเซลงไป ยังไม่ทันจะได้มองอะไร ก็เห็นเงาชุดเขียวๆ มาอยู่ตรงหน้าแล้ว ปึก!
ตัวเขาล้มหงายหลังลงไปนอนแอ้งแม้ง พอเงยหน้ามองก็เห็นเด็กสาวธาตุไฟคนนั้นยืนเหยียบ อกตัวเองเอาไว้ เขาขยับจะลุก เท้าเล็กๆ ข้างนั้นก็กระทืบลงมา ปึก!