Chapter 5
เยี่ยมเยือนไม่ขาดสาย
ไป๋เมาพยักหน้ารับแล้วก็รีบเดินจากไปอย่างนึกตำหนิตัวเองที่ทำให้อาจารย์ต้องลำบากอีกแล้ว
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าลากศิษย์น้องเล็กไปอาบน้ำด้วยกันอีกเลย
แม้แรกๆไป๋เมาจะถูกเขม่นจากศิษย์พี่สามและศิษย์พี่สี่อยู่บ้างในฐานะเด็กฝากของเทพพฤกษา แต่เมื่ออยู่ร่วมกันไปนานวันเข้า ความน่ารักซุกซนของศิษย์น้องห้าก็ทำให้ศิษย์พี่ทุกคนรักและเอ็นดูศิษย์น้องเล็กยิ่งนัก
2 อาทิตย์ต่อมา เทพพฤกษาก็เสด็จมาเยือนตำหนักซีฮันอีกครั้ง
เทพสงครามออกมาต้อนรับพร้อมศิษย์รอง
“เจ้ามานี่มีธุระอันใดหรือ?” เทพสงครามถามหน้านิ่ง
“ข้าแค่แวะมาเยี่ยมไป๋เมา” เทพพฤกษาแจ้งความประสงค์แล้วก็มองหาไป๋เมา
เทพสงครามจึงหันไปสั่งศิษย์ว่า “ไปตามเจ้าห้ามา”
“ขอรับ” ศิษย์รองรับคำแล้วก็เดินเข้าไปด้านใน
จังหวะนั้นเองไป๋เมาก็รีบวิ่งออกมาเพราะได้ยินศิษย์พี่คุยกันว่าเทพพฤกษาเสด็จมา
“ท่านหนิงเฟิ่ง” ไป๋เมาเรียกอย่างดีใจ วิ่งเข้าไปกอดเทพพฤกษาอย่างคิดถึง
เทพพฤกษาเซไปเล็กน้อยที่ถูกโถมตัวเข้าใส่
“ไป๋เมา ข้าบอกเจ้าหลายหนแล้วว่าเจ้าชักจะตัวโตจนข้ารับเจ้าไม่ไหวแล้วนะ” เสียงหวานตำหนิเบาๆอย่างเอ็นดู
“เจ้าห้า สำรวมกริยาหน่อย” เทพสงครามตำหนิเสียงเรียบ แฝงไว้ด้วยความเอ็นดู
ไป๋เมาหน้าเจื่อน ค่อยๆผละจากเทพพฤกษา “ข้าขออภัย”
เทพพฤกษาแย้มยิ้มให้แล้วก็จับตัวไป๋เมาหมุนไปหมุนมาเพื่อดูสภาพความเป็นอยู่ “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าสบายดี” ไป๋เมาตอบยิ้มแฉ่ง
บ่าวรับใช้ยกน้ำชาเข้ามา ศิษย์รองจึงรีบรับแล้วยกไปให้เทพพฤกษา
“ข้ามีน้ำผึ้งบุปผามาฝากเจ้าด้วย แล้วก็ขนมกับผลไม้จากสวนของข้ามาฝากเจ้ามากมาย” เทพพฤกษาบอก
“จริงเหรอ” ไป๋เมาตื่นเต้นกับของฝาก
เทพสงครามและคนอื่นๆ รู้สึกเหมือนเป็นส่วนเกิน จนเทพสงครามต้องแกล้งกระแอมขัดจังหวะ “อะแฮ่มๆ”
เทพพฤกษาปรายตามองคนแกล้งขัดจังหวะ
“หากเจ้าไม่มีธุระกับข้า ข้าก็ขอตัวก่อน” เทพสงครามบอกแล้วก็เสด็จกลับเข้าไปด้านใน
ศิษย์รองรีบเดินตามอาจารย์ไป ในใจก็นึกสงสัยความสัมพันธ์ของเทพพฤกษากับศิษย์น้องเล็กยิ่งนัก “อาจารย์?”
เทพสงครามหยุดก้าว หันไปมองศิษย์รอง “มีอะไร?”
“ข้าสงสัยว่าเหตุใดเทพพฤกษาจึงให้ความรักและเอ็นดูศิษย์น้องห้ายิ่งนัก? ถึงขนาดยอมให้ศิษย์น้องห้ากอดโดยไม่ถือโทษโกรธเคืองเช่นนี้?”
เทพสงครามนิ่งเงียบ
“หรือว่าศิษย์น้องห้าเป็นคนรักของเทพพฤกษา?”
คำถามคาดเดาทำให้เทพสงครามสะอึก นึกขำ “อุ…” เขารีบกลั้นหัวเราะเอาไว้
“ข้าว่าศิษย์น้องห้าต้องเป็นคนรักของเทพพฤกษาแน่ๆ”
“เจ้าอย่าได้คาดเดาส่งเดช เทพพฤกษาสนิทสนมกับเจ้าห้าเช่นไรก็เป็นเรื่องของพวกเขา หาใช่เรื่องที่เจ้าจะเอามาคาดเดาเรื่อยเปื่อยเช่นนี้ได้” เทพสงครามตำหนิ
“อาจารย์ ข้าขออภัยขอรับ” ศิษย์รองรีบพูดขอโทษที่ปากพล่อย
เทพสงครามโบกหัตถ์ไล่
ศิษย์รองรีบเดินออกไป
แล้วเทพสงครามก็เสด็จกลับตำหนัก
เทพพฤกษานั่งลง
ไป๋เมารีบรินน้ำชาให้
เทพพฤกษายื่นถุงของฝากให้
“ขอบคุณท่านมาก” ไป๋เมารับของมาอย่างดีใจ
“ของเล็กน้อยแค่นี้เอง ทำให้เจ้าดีใจข้าก็มีความสุข” เทพพฤกษาแย้มยิ้ม
“จริงซิ เสด็จพ่อเสด็จแม่แล้วก็ท่านพี่ของข้าเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีไหม?” ไป๋เมาถามอย่างคิดถึงครอบครัว
“ก็สบายดีกันทุกคน มีแต่แม่เจ้านั่นแหละที่อยากจะมารับเจ้ากลับไปเพราะนางกลัวว่าเจ้าจะลำบากยากเข็น กว่าข้าจะเกลี่ยกล่อมให้นางยอมได้ไม่ง่ายเลยสักนิด” เทพพฤกษาพูดเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ขอบคุณท่านมาก” ไป๋เมากุมมือคารวะ
“ดูเหมือนพลังเทพของเจ้าจะเพิ่มขึ้นนิดหน่อยนะ” เทพพฤกษามองสำรวจไป๋เมา
“รีบฝึกฝนเรียนรู้เข้าล่ะ อย่าให้ข้าเสียหน้าที่ออกหน้าแทนเจ้าจนได้เป็นศิษย์ของหนิงจ้านแล้วฝีมือไม่ได้เรื่องซะล่ะ” นางพูดเหมือนไม่ใส่ใจนัก
“ข้าจะตั้งใจฝึกฝนไม่ให้ท่านเสียหน้าแน่” ไป๋เมาบอกอย่างตั้งใจ
“ดีมาก” เทพพฤกษาแย้มยิ้มพอใจ “อ่อ…เกือบลืมไปข้าเอาเมล็ดดอกไม้มาฝากเจ้าด้วย ไว้ให้เจ้าปลูกรอบๆที่พักของเจ้า”
นางส่งถุงผ้าใบเล็กให้
“ท่านรู้ใจข้าจริงๆ ข้าว่าจะขอเมล็ดดอกไม้จากท่านอยู่พอดี” ไป๋เมายิ้มแฉ่ง
“ก็เจ้าชอบดอกไม้ หากไม่ได้เห็นดอกไม้ข้ากลัวว่าเจ้าจะเฉาตายเสียก่อนน่ะซิ” เทพพฤกษาเอื้อมมือไปลูบแก้มไป๋เมา
“เอาล่ะเห็นเจ้าอยู่ดีมีสุขข้าก็สบายใจแล้ว งั้นข้ากลับก่อนล่ะ” นางลุกขึ้นยืน
ไป๋เมาลุกตามโผเข้ากอด “แล้วมาหาข้าบ่อยๆ นะ”
เทพพฤกษากอดตอบพลางลูบหลัง “ข้าย่อมมาหาเจ้าบ่อยๆแน่”
นางผละออกแล้วก็เสด็จออกจากตำหนักไป
ไป๋เมามองตามจนลับตาแล้วก็หยิบถาดน้ำชากับของฝากไปเก็บ
จากนั้นนางก็เริ่มลงมือพรวนดินทำแปลงปลูกดอกไม้รอบๆที่พักตัวเอง หลังจากหว่านเมล็ดดอกไม้เสร็จแล้วนางก็เดินกลับไปอ่านหนังสือที่ยังอ่านค้างไว้ต่อพร้อมกับแบ่งของฝากจากเทพพฤกษาไปให้อาจารย์และศิษย์พี่ด้วย
1 อาทิตย์ต่อมา องค์ชายรองเผ่าสิงห์ก็เสด็จมาเยือนตำหนักซีฮัน
ลี่จิ่นออกมาต้อนรับแทนอาจารย์เพราะอาจารย์กำลังเข้าฌานอยู่
“ไม่ทราบว่าท่านเทพเสด็จมาด้วยธุระใดหรือขอรับ?” ลี่จิ่นกุมมือคารวะแขกผู้มาเยือน
“ข้ามาหาจะ…เอ่อ ไป๋เมาน่ะ” องค์ชายรองเกือบหลุดชื่อน้องสาวออกมา
“อ่อ…ถ้าเช่นนั้นข้าจะให้คนไปตามให้ขอรับ เอ่อ…ไม่ทราบว่าท่านคือ…”
“ข้าองค์ชายรองเผ่าสิงห์…เจียวหั่ว”
“เป็นเกียรติที่ได้พบองค์ชายรองขอรับ” ลี่จิ่นกุมมือคารวะอีกครั้ง
“ท่านคือ…” องค์ชายรองถามกลับ
ลี่จิ่นยืดตัวขึ้น “ข้า…ลี่จิ่น ศิษย์คนแรกของท่านอาจารย์ขอรับ”
“งั้นรึ” องค์ชายรองหน้ารับรู้
แล้วลี่จิ่นก็หันไปสั่งบ่าวว่า “ไปตามศิษย์น้องห้ามาพบแขก”
“ขอรับ” บ่าวรับคำแล้วก็เดินออกไป
บ่าวอีกคนเดินสวนเข้ามาพร้อมกับน้ำชารับแขก “น้ำชาขอรับ” หลังจากวางน้ำชาแล้วบ่าวก็เดินกลับไป
“เชิญขอรับ” ลี่จิ่นผายมือเชิญ
“ขอบใจ” องค์ชายรองนั่งลงจิบน้ำชา
ครู่ต่อมาไป๋เมาก็เดินเข้ามา พอเห็นหน้าแขกที่มาหาก็ตื่นเต้นดีใจ “พี่รอง”
ลี่จิ่นอึ้งไป “พี่รอง…” เจ้าห้าเรียกองค์ชายรองว่าพี่รอง เช่นนั้นเจ้าห้าเป็นอะไรกับองค์ชายรองเผ่าสิงห์กันแน่?
“เจ้า…” องค์ชายรองพอมองเห็นน้องสาวก็เกือบหลุดปากเรียกอย่างเคยชิน ดีที่ยั้งไว้ทัน “…ไป๋เมา”
พอหันไปเห็นสีหน้าสงสัยของลี่จิ่นเขาก็รีบแก้ว่า “คืออยู่แดนสิงห์ไป๋เมาเรียกข้าว่าพี่รองน่ะ”
ไป๋เมาก็รีบเสริมว่า “ใช่ๆ คือข้าเรียกตามคนอื่นจนติดปากน่ะ”
ข้าไม่ได้โกหกนะก็ข้าเรียกตามเสด็จพ่อเสด็จแม่แล้วก็พี่ใหญ่จนติดปากจริงๆ นะ ศิษย์พี่ใหญ่
“อ่อ งั้นหรือ” ลี่จิ่นพยักหน้ารับรู้ “หากไม่มีอะไรแล้วเช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อนขอรับ”
“เชิญ” องค์ชายรองอนุญาต ลี่จิ่นกุมมือคารวะแล้วก็เดินออกไป
เมื่อไม่มีใครแล้วไป๋เมาก็โถมตัวกอดพี่ชายแน่นด้วยความคิดถึง “ข้าคิดถึงท่านมากที่สุดเลยพี่รอง”
องค์ชายรองลูบหลัง “ข้าก็คิดถึงเจ้ามากนะรู้ไหมเจ้าสาม…อ่อ ไม่ซิต้องเรียกว่าเจ้าห้าซินะ”
พอได้กอดจนบรรเทาความคิดถึงลงแล้วไป๋เมาก็ผละออก องค์ชายรองมองสำรวจน้องสาว เห็นท่าทางสบายดีก็เบาใจ “เจ้าเนี่ยน้า…ซุกซนจนได้เรื่อง เป็นศิษย์เทพสงครามจนได้”
“ข้าก็แค่อยากเห็นเท่านั้นเองว่าเทพสงครามที่เขาร่ำลือนักหนามี 9 เศียรพันมือจริงหรือไม่” ไป๋เมาบอกเสียงอ่อยเพราะกลัวโดนพี่ชายดุ
เห็นน้องสาวทำหน้าจ๋อย คนเป็นพี่ก็โกรธไม่ลง “เอาล่ะๆ มาถึงขั้นนี้แล้วมีแต่ต้องปิดต่อไปล่ะว่าเจ้าเป็น…”
เขาไม่พูดต่อเพราะกลัวใครจะมาได้ยิน
“แล้วเป็นอย่างไร? ฝึกหนักหรือไม่? ลำบากอะไรหรือไม่?” เขาเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไม่เลย ไม่ลำบากอะไรเลย ข้าสบายดี อาทิตย์ก่อนท่านหนิงเฟิ่งก็เพิ่งมาหา เอาของกินมาให้ข้าตั้งมากมาย” ไป๋เมารีบบอก
“เรื่องที่ท่านหนิงเฟิ่งมาหาเจ้า พวกเรารู้แล้วล่ะ ก็เจ้าเป็นศิษย์ก้นครัวของนางเพียงหนึ่งเดียวในพิภพนี่น่า นางจะไม่คิดถึงเจ้าได้อย่างไรล่ะ” องค์ชายรองลูบศีรษะน้องสาวอย่างเอ็นดู “อยู่ที่นี่ดูเหมือนว่าพลังเทพของเจ้าจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าอยู่แดนสิงห์อีกนะ”
“ก็ข้าฝึกฝนทุกวันนี่น่า” ไป๋เมาคุยอวดยิ้มแฉ่ง
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” องค์ชายรองพยักหน้าแล้วก็หยิบถุงผ้ายื่นให้ “เอ้านี่ เสด็จ…เอ่อ…ท่านพ่อท่านแม่ฝากมา มีของพี่ใหญ่ด้วย ส่วนนี่ของข้า”
เขาแบมืออีกข้าง ปิ่นทองประดับมุกโลหิตก็ปรากฎขึ้นบนฝ่ามือ
“นี่มันของล้ำค่าของท่านไม่ใช่หรือ?” ไป๋เมาจ้องมองปิ่นอย่างงงๆ เพราะปิ่นนี้พี่ชายต้องเก็บไว้หมั้นหมายกับหญิงสาวที่จะอภิเษกสมรสด้วย
“ข้าให้เจ้ายืมก่อน ไว้ข้าเจอหญิงที่ข้ารักเมื่อไหร่ข้าค่อยมาขอคืนจากเจ้า ปิ่นนี้มีพลังของข้าอยู่ ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหนข้าก็จะตามไอพลังจากปิ่นนี้ได้อย่างไรล่ะ” องค์ชายรองอธิบาย
“งั้นหรือ” ไป๋เมาพยักหน้ารับรู้
แล้วองค์ชายรองก็ยัดถุงผ้าใส่มือน้อง จากนั้นก็ปลดปิ่นไม้จันทร์ออกจากครอบผมบนเรือนผมนุ่มแล้วก็เสียบปิ่นมุกโลหิตเข้าไปแทน
“เสร็จแล้ว” เขาบอกแล้วก็ดึงน้องเข้าไปกอด “ข้าต้องไปแล้ว เจ้าก็ดูแลตัวเองดีๆล่ะ อย่าซนให้มากนัก อย่าทำอะไรให้เสียชื่อแดนสิงห์ได้ล่ะ”
“อึ้ม” ไป๋เมาพยักหน้ารับพลางกอดตอบพี่ชาย “ท่านพี่ก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองด้วย ฝากความคิดถึงไปถึงเสด็จพ่อเสด็จแม่ด้วย”
องค์ชายรองดันตัวน้องออกแล้วก็แย้มยิ้ม จากนั้นก็เสด็จจากไป
ไป๋เมามองตามจนพี่รองหายวับไป แล้วนางก็เดินกลับเข้าไปด้านใน
ศิษย์รองศิษย์สามและสี่ยืนแอบดูอยู่ไกลๆ ด้วยความอยากรู้ เพราะได้ยินว่าองค์ชายรองเผ่าสิงห์มาหาศิษย์น้องห้า
“จากท่าทางที่พูดคุยกัน ทั้งสองมีความสนิทสนมกันไม่ธรรมดาทีเดียว” ศิษย์สี่ออกความเห็น
“นั่นซิ เจ้าห้าเป็นแค่แมวป่า แต่ทำไมถึงได้สนิทกับเทพพฤกษาแล้วก็องค์ชายรองเผ่าสิงห์ขนาดนั้นได้ล่ะ” ศิษย์รองครุ่นคิด
“ข้าว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ” ศิษย์สามบอก
“พวกเจ้าว่างมายุ่งเรื่องคนอื่นนักหรือ?” เสียงถามดังขึ้นเบื้องหลัง
ทำให้ทั้งสามคนตกใจหันไปมอง “ศิษย์พี่ใหญ่!”
“ถ้าพวกเจ้าว่างมากก็มาฝึกวิชากับข้าดีกว่า” ศิษย์พี่ใหญ่บอกแล้วก็เดินนำออกไป
ศิษย์น้องทั้งสามรีบตามไป เพราะขืนชักช้าอาจถูกศิษย์พี่ทำโทษหนักก็เป็นได้
ไป๋เมาเอาของไปเก็บแล้วก็เดินชมดอกไม้รอบๆที่พัก “ข้าตัดดอกไม้พวกนี้ใส่แจกันไปให้อาจารย์บ้างคงจะดี”
แล้วนางก็เดินเข้าไปหยิบมีดมาตัดดอกไม้ใส่แจกันแล้วก็ถือไปตำหนักอาจารย์
“ประตูตำหนักยังปิดอยู่ อาจารย์คงยังไม่ออกจากฌาน ข้าเอาดอกไม้ไปวางไว้บนโต๊ะนั่นล่ะกัน”