№ 631 วันลงชื่อรับสมัครของสำนักศึกษาหมอกดารา
ได้ยินเช่นนี้เฟิ่ง จิ่วก็ยิ้มเอ่ยอย่างหยอกล้อ “สิบผู้มีพรสวรรค์? นั่นล้วนเป็นผู้มีอิทธิพลในสำนักศึกษา หากข้าเข้าเรียนในสำนักศึกษาหมอกดาราจริง พี่เซียวจะปกป้องข้าจริงหรือ?”
“ฮ่าๆๆ พูดได้ดีๆ” เขาตบๆ ไหล่เฟิ่งจิ่วด้วยท่าทางว่าทุกเรื่องข้าจัดการได้
หลังจากสองคนชมการประลองไปสองสามรอบ เซียวอี้หานลงเดิมพันไปสองรอบชนะไปรอบเดียว รวมชนะทั้งหมดห้าร้อยเหรียญทอง และออกไปยังโรงเตี๊ยมก่อนพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว
สองวันต่อมา เฟิ่งจิ่วนอกจากฝึกบำเพ็ญในโรงเตี๊ยม บางครั้งก็ยังออกมากินข้าวพูดคุยด้วยกันกับเซียวอี้หาน รออยู่ในโรงเตี๊ยมสองวันก็ยังคงไม่เห็นว่าพี่ชายเธอจะมาหา จึงอดไม่ได้เป็นห่วงขึ้นมา
เช้าตรู่วันที่สาม เธอออกมาสอบถามเจ้าของร้านที่โรงเตี้ยมแต่เช้าก็ยังคงไม่มีข่าวคราว ทำให้เธอเป็นกังวลอยู่บ้าง ตอนที่ออกไปทำภารกิจกับพวกทหารรับจ้างคงไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง?
เซียวอี้หานเดินออกจากห้องมายังชั้นหนึ่ง เห็นร่างสีแดงนั่งกินอาหารอยู่ตรงนั้น ก็ประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ “เช้าเพียงนี้เชียว? คงจะไม่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างกระมัง?”
เห็นเขามาหา เฟิ่งจิ่วจึงเชิญเขานั่งลง และให้เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารเช้าเขาเข้ามา จากนั้นบอกว่า “เพิ่งตื่นมาสักพัก อยากจะลองไปดูทางด้านสำนักศึกษาแต่เช้าหน่อย หนำซ้ำจากที่นี้ไปต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองชั่วยาม จึงต้องตื่นเช้ามาเตรียมตัวเป็นธรรมดา”
เซียวอี้หานนั่งลง ยิ้มบอกว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เมื่อวานข้าสั่งคนไว้แล้ว ประเดี๋ยวจะมีรถลากสัตว์วิญญาณเข้ามารับ ประมาณหนึ่งชั่วยามก็ไปถึงสำนักศึกษา”
เขากินอาหารเช้าที่เสี่ยวเอ้อร์ยกเข้ามาพลางเอ่ย “หลักๆ ข้าจะฝึกพลังวิญญาณ รอบนี้ที่ลงชื่อคือทางสำนักพลังวิญญาณ น้องเฟิ่ง ข้าเห็นบนตัวเจ้าไม่มีกลิ่นอายพลังวิญญาณ วรยุทธ์พลังเร้นลับก็อยู่แค่ปรมาจารย์นักรบขั้นต้น พลังเช่นนี้อยากจะเข้าสำนักพลังเร้นลับยังยากไปบ้าง ไม่รู้ว่าเจ้าวางแผนเช่นไร?”
เฟิ่งจิ่วยกยิ้ม กล่าวว่า “ข้าหาข้อมูลการประเมินรับสมัครนักเรียนของสำนักศึกษาหมอกดารามาแล้ว พวกเขาไม่ได้ดูระดับสูงต่ำของพลัง แต่ขอแค่ผ่านการประเมินทั้งสามด่านก็พอ”
“เหอะๆ ถูกต้อง การประเมินครั้งนี้ไม่เหมือนกัน ผู้ฝึกบำเพ็ญพลังวิญญาณนอกจากมีพรสวรรค์ยังต้องดูแรงกายกับความสัมพันธ์กันของธาตุทั้งห้า ขอแค่ได้ถึงมาตรฐานปกติจะเข้าเรียนในสำนักศึกษาหมอกดาราได้ ส่วนการประเมินพลังเร้นลับ ข้าไม่ได้สนใจเท่าไร แต่ว่ากันว่านอกจากความแรงกาย ยังต้องดูความเร็วกับศิลปะการต่อสู้ด้วย”
“อืม เหมือนจะเป็นเช่นนั้น แต่ข้าคิดจะสมัครเข้าร่วมการประเมินสำนักกลั่นยาเซียน” เธอกล่าวยิ้มๆ กินข้าวต้มในชามเสร็จแล้วก็วางตะเกียบลง
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เขาแปลกใจเล็กน้อย “อ้อ? เจ้าอยากเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ? แม้บอกว่าไม่เป็นที่นิยม แต่ความยากยิ่งมากกว่า ถึงจะเป็นการประเมินผู้เรียนปรุงยาก็เข้มงวดยิ่งนัก”
“ไม่เป็นไร ข้าทำการบ้านมาอย่างดี ถึงเวลาก็พยายามให้ถึงที่สุดเป็นพอ หากไม่ได้ข้าก็กลับบ้าน” เธอพูดทีเล่นทีจริง
“ถูกแล้ว พยายามให้ถึงที่สุดก็พอ” เขาพยักหน้าและไม่ได้พูดอะไรอีก หลังจากจัดการอาหารเช้าอย่างรวดเร็ว รถลากสัตว์วิญญาณที่เข้ามารับพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยม
เฟิ่งจิ่วพาเหล่าไป๋ไปด้วยแต่ไม่ได้ขี่มัน แค่ล่ามมันไว้ด้านหลังรถลากสัตว์วิญญาณ ส่วนตัวเองก็นั่งรถคันเดียวกับเซียวอี้หาน ตรงไปยังสำนักศึกษาหมอกดาราพร้อมๆ กัน…
ส่วนทางเหนือของเมือง กวนสีหลิ่นที่ร่างกายแข็งแรงกำยำและทั่วร่างมีกลิ่นอายเด็ดเดี่ยวกระจายอยู่ถอดชุดทหารรับจ้างบนตัวออก พลางหยิบเสื้อผ้าชุดหนึ่งจากในถุงฟ้าดินมาสวมบนร่าง ถึงขั้นมาไม่ทันหาที่อาบน้ำ แค่ใช้น้ำล้างหน้าอย่างง่ายๆ แล้วมุ่งไปยังสำนักศึกษาหมอกดาราด้วยความรีบร้อน
…………………………………….