№ 706 หอคอยพลังเร้นลับชั้นเก้า
กวนสีหลิ่นพยักหน้ายิ้มๆ “อืม ถูกต้อง ข้าบรรลุเป็นบรรพชนนักรบภายในหอคอยพลังเร้นลับ อันที่จริงตอนข้าตามกลุ่มทหารรับจ้างไปฝึกวิชาสองสามเดือน ไม่ว่าความเร็ว ศิลปะการต่อสู้ หรือการโต้ตอบแบบทันท่วงทีก็ล้วนพัฒนาขึ้นตลอด ขาดแค่จุดพลิกผันบรรลุขั้นเท่านั้น การผ่านหอคอยพลังเร้นลับครั้งนี้ช่วยได้อีกแรงพอดี ถึงขั้นทำให้ข้าบรรลุเข้าสู่ระดับบรรพชนนักรบได้รวดเร็วเพียงนี้”
“หอคอยพลังเร้นลับนั้นคืออะไรกันแน่? ด้านในนั้นเป็นอย่างไร? คนเยอะหรือเปล่า?” เฟิ่งจิ่วถามอย่างอยากรู้อยู่บ้าง แค่ได้ยินว่าหอคอยพลังเร้นลับนั้นเป็นสถานที่ให้นักเรียนสำนักพลังเร้นลับพัฒนาศักยภาพตัวเอง เธอเข้าสำนักศึกษามาตั้งนานกลับไม่เคยเห็น
“ด้านในคนไม่เยอะ พวกที่เข้าไปล้วนเป็นนักเรียนระดับยอดปรมาจารย์นักรบ ภายในแบ่งเป็นเก้าชั้น ยิ่งสูงยิ่งผ่านยาก นักเรียนบางคนติดอยู่ชั้นสามชั้นสี่ไม่มีทางผ่านได้อีก ข้างในนี้นอกจากศิลปะการต่อสู้ ยังพัฒนาความเร็วท่าร่างและการยกระดับพลังเร้นลับของนักเรียนได้เร็วยิ่ง ส่วนที่ลึกลับยากคาดเดาที่สุดคือชั้นเก้า หอคอยพลังเร้นลับชั้นที่เก้าจะเปลี่ยนไปตามทุกคนที่เข้าไป ตอนนั้นข้าเข้าไปเจอแดนมายา ใช้เวลาครึ่งเดือนเต็มๆ ถึงจะเดินออกมาจากแดนมายาได้”
“ร้ายกาจเพียงนี้เชียว?” เธอลูบๆ คาง แววตาสั่นไหวเล็กน้อย
“ใช่ ข้าคิดว่าเจ้าหาเวลาไปลองที่หอคอยพลังเร้นลับเสียหน่อยได้” เขากล่าวจบก็เล่าเรื่องต่างๆ ที่เจอมาระหว่างฝึกวิชาด้านนอก สุดท้ายยังถามว่า “เจ้ายังไม่ได้สร้างรากฐานหรือ? ข้าจำได้ว่าเจ้าชะงักอยู่ระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณนานมากแล้ว”
“ยังเลย เมื่อวานคิดจะรับภารกิจออกไปเดินเล่น ใครรู้ว่าจะเจอเรื่องแม่ดอกไม้ขาวน้อยนั่นเข้าถึงได้ล่าช้า สำนักศึกษานี้ปล่อยคนออกไปตามใจชอบไม่ได้ ซ้ำยังไม่มีของกิน ช่วงนี้ข้าหิวโหยแทบตายแล้ว”
กวนสีหลิ่นได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มขึ้นมา “สำนักศึกษานี้ไม่มี แต่ข้าได้ยินว่าเจ้าเคยไปเทือกเขาหมื่นอสูรไม่ใช่หรือ ไปฝึกบำเพ็ญที่นั่นยังมีหมูป่าอะไรต่างๆ จับมาย่างได้”
“ข้าไปมาแล้ว ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแคว้นระดับหก สัตว์อสูรระดับสูงสุดมีแค่อสูรศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่สัตว์เทวะยังไม่เคยเห็น ไม่ได้ลำบากอะไรสำหรับข้าเลย ไปแล้วรู้สึกน่าเบื่อ” เธอโบกมือ เห็นเหล่าไป๋ที่เดิมทีเดินเล่นอยู่รอบๆ บิดบั้นท้ายส่ายหางวิ่งไปไม่ไกลด้วยท่าทางดีอกดีใจ
“ฮี่! เยี่ยจิงคนงาม เจ้าสวยขึ้นทุกวันเลย…”
มุมปากเฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่นกระตุกพร้อมกัน เยี่ยจิงมองเหล่าไป๋แล้วมองเฟิ่งจิ่ว ถามว่า “เหล่าไป๋เป็นอะไรไป? ทำไมถึงพูดได้?” ม้าประหลาดบ้ากามเพียงนี้ไม่พูดยังน้ำลายไหลใส่หญิงงามได้ หากพูดได้จะแย่สักเท่าไร?
เขาถึงกับคาดการณ์ได้ว่า ภายหน้าหากเฟิ่งจิ่วขี่มันไปบนถนน มันจะผิวปากหยอกล้อพวกสาวๆ ตามทางหรือไม่?
เฟิ่งจิ่วมองเยี่ยจิงที่นิ่งกับที่อย่างตกใจเล็กน้อย บอกอย่างจนปัญญาว่า “เมื่อวานมันกินยาสัจจะผิดแปลกที่ข้ากลั่นออกมาใหม่จึงกลายเป็นเช่นนี้ เหล่าไป๋ ข้าสั่งแล้วว่าไม่ให้เจ้าพูดต่อหน้าคนอื่นจะได้ไม่ทำให้ตกใจ แต่ดูท่าทางแค่เห็นสาวงามเจ้าก็ลืมไปหมดแล้ว”
เธอพูดพลางใช้ศอกกระทุ้งคนข้างกาย แล้วเผยรอยยิ้มเฝ้ารอออกมา “พี่สีหลิ่น ข้าขอบอกท่าน เยี่ยจิงคนนี้ไม่เลวเลย นางเป็นสาวงามอันอับหนึ่งของสำนักพลังวิญญาณ นิสัยใจคอไม่เลว วรยุทธ์ก็เช่นกัน ข้าคิดว่าน่ามองยิ่ง ครั้งก่อนว่าจะแนะนำให้ท่านรู้จักเสียหน่อย จริงด้วย แม่นางคนนี้ใจกว้างนัก แม้แต่เรื่องที่ข้าเป็นหญิงแต่งชายยังรู้เลย”
กวนสีหลิ่นได้ยินจึงยิ้มเอ่ย “คนที่ทำให้เจ้ารู้สึกเจริญตาได้ เห็นได้ชัดว่าต้องดีแน่นอน”
…………………………