ตอนที่ 6 กรุณาธิคุณ
ซูหมิงกระโดดไปมาในป่าทึบ เงาร่างราวกับลูกศรพุ่งจากคันธนู ด้วยรูปร่างปราดเปรียวบวกกับความชำนาญเส้นทาง ไม่นานก็มองเห็นเขาทมิฬอยู่ไกลๆ
เขาข้ามผ่านป่าทึบ กระโดดขึ้นเขาทมิฬ
สำหรับซูหมิงที่เก็บสมุนไพรบนเขาแห่งนี้ตั้งแต่เยาว์วัย แทบทุกต้นไม้ใบหญ้าต่างขับกลิ่นอายทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย
“ในตำราหนังสัตว์กล่าวว่า ตอนที่ผู้ฝึกพลังหมานอยู่ในขั้นรวมโลหิต การหลอมโลหิตหมานในร่างจะไปกระตุ้นโลหิตให้เกิดพลัง จึงทำให้ร่างกายแข็งแกร่งอย่างขึ้นต่อเนื่อง ตอนแรกคิดว่าชั่วชีวิตคงไม่ได้สัมผัสความรู้สึกแบบนี้แล้ว แต่ตอนนี้ข้าได้สัมผัสมันจริงๆ!”
“ขั้นรวมโลหิตลำดับหนึ่งต้องมีสามเส้นเลือดในร่าง ตอนนี้ข้ายังมีไม่ครบด้วยซ้ำ แต่ความเร็วกลับเพิ่มขึ้นไม่น้อย กระทั่งพลัง…”
ซูหมิงขยับตัว กระโดดทะยานไปเบื้องหน้า ร่างลอยเคว้งกลางอากาศข้างต้นไม้ใหญ่ มือขวากำแน่นก่อนชกเข้าไปอย่างสุดแรง เสียงโครมดังสนั่น รอยหมัดจางๆ ปรากฏขึ้นบนไม้ต้นใหญ่ ทว่าซูหมิงก็รู้สึกมือชาเช่นกัน แต่ถึงกระนั้นกลับมีสีหน้าตื่นเต้น
ขณะกำลังดีใจ เงาแดงพลันพุ่งตามเข้ามา ส่งเสียงร้องแหลมอย่างลำพองใจ เพราะมันแซงหน้าซูหมิงไปได้
ซูหมิงยิ้มบาง ก่อนพุ่งตามเงาแดงไป แม้ความเร็วจะเพิ่มมากขึ้น ทว่ายังไม่อาจเทียบกับเจ้าลิงน้อยได้ หากเป็นแต่ก่อน เมื่อเขาไปถึงยอดเขาทมิฬจะต้องพบกับสีหน้าเหยียดหยามเบื่อหน่ายจากมันที่นอนรออยู่นานแทบทุกครั้งไป
ทว่าตอนนี้เพียงหนึ่งชั่วยามกว่า ซูหมิงปีนขึ้นเขาทมิฬ เมื่อถึงหินใหญ่ที่เว้าเข้าไปตรงกลางยอดเขาแห่งหนึ่ง ก็พบกับเจ้าลิงน้อยที่ยังคงมีสีหน้าเหยียดหยาม ทว่าบริเวณหน้าผากของมันมีคราบเหงื่อ ชัดเจนว่าแม้แต่มันก็มาถึงได้ไม่นาน
ซูหมิงยิ้มพลางลูบหัวมัน ก่อนวางตะกร้าสานลง ยืนบนหินก้อนใหญ่ มองหมอกที่ปกคลุมฟ้าดิน แล้วสูดลมหายใจเข้าลึก
เขาชอบยืนมองทิวทัศน์อยู่ตรงนี้ แม้ว่าอีกไม่กี่ก้าวเบื้องหน้าจะเป็นเหวลึกหมื่นจั้งก็ตาม หากมีลมหุบเขาพัดผ่านอาจทำให้รู้สึกโคลงเคลงเหมือนจะตกลงไปได้ ค่อนข้างอันตราย ทว่าซูหมิงปีนเขาลูกนี้ตั้งแต่เยาว์วัย มันจึงเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของเขา
“เสี่ยวหง อีกด้านของเขาเป็นอย่างไร…เจ้าเคยไปหรือไม่”
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น เสื้อหนังสัตว์กระพรือส่งเสียงดังพรึบพรับ มือขวาคลำเศษหินสีดำตรงอกโดยไม่รู้ตัว
ลิงน้อยด้านข้างปรายตามอง ก่อนมองทอดไกลออกไป ไม่สนใจซูหมิง ทว่ามันก็ก้มหน้าจับขนของตนราวกับกำลังหาอะไรบางอย่าง
เห็นลิงน้อยจดจ่อสางขนไม่สนใจเขา ซูหมิงจึงถูจมูกโคลงศีรษะพลางยิ้ม ก่อนนั่งขัดสมาธิลง
“เสี่ยวหง ครั้งนี้ข้าจะอยู่ที่นี่สักระยะ ยังไม่กลับเผ่า ตอนเจ้าออกไปเที่ยวอย่าลืมเก็บผลไม้ป่ามาฝากด้วย”
ลิงน้อยพลันแหงนหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าแปลกใจ หลังมองซูหมิงอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่งก็ดูมีท่าทียิ้มแย้ม ผงกศีรษะหลายครั้ง ปกติแล้วมันจะอยู่กับซูหมิงอย่างมากก็เพียงสามถึงห้าวัน เมื่อซูหมิงกลับเผ่าก็จะเหลือมันอยู่เพียงลำพังในป่าเขา พอได้ยินคำกล่าวของซูหมิงมันจึงดีใจอย่างมาก
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แหงนหน้ารับลมหุบเขา ปิดเปลือกตาอย่างช้าๆ เขาตั้งใจว่าหลังทะลวงสู่ลำดับหนึ่งขั้นรวมโลหิตแล้วจึงค่อยกลับ
ถึงอย่างไรเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเขาก็ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ในใจคิดจะเก็บเป็นความลับ ไม่อยากให้ผู้อื่นรับรู้
ระหว่างหลับตา ผ่านไปไม่นานบนตัวซูหมิงปรากฏเส้นเลือดหนึ่งเส้นเปล่งแสงสีแดงอ่อน ทว่าไม่ได้ขยับแสงวูบวาบ แต่ค่อนข้างมั่นคง แม้ว่าเส้นเลือดจะไม่ได้วูบวาบเหมือนเมื่อครึ่งเดือนก่อน ทว่ามันก็เด่นชัดสมบูรณ์
บางทีซูหมิงอาจจะไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกพลังหมาน แต่ถึงกระนั้นเขากลับมีจิตใจเด็ดเดี่ยวไม่ยอมแพ้ ยามนี้เขานั่งขัดสมาธิปล่อยเวลาผ่านไปช้าๆ
ตะวันขึ้นและลับขอบฟ้า หมอกกลางป่าเขาค่อยจางค่อยหนา เสียงร้องสัตว์ปีกดังก้องบางเวลา ความเงียบสงัดมีมากเป็นพิเศษ ภายใต้ความเงียบ ซูหมิงลืมตาขึ้นยามตะวันของวันถัดมาทอแสง บิดร่างกายสักเล็กน้อย หันกลับไปมองก็พบว่าลิงน้อยหายไปไหนแล้วไม่ทราบ ทว่าบนพื้นมีผลไม้ป่าวางอยู่หลายลูก และยังมีเมล็ดที่แทะเสร็จแล้วพ่นออกมาด้วย…
ซูหมิงหยิบผลไม้ขึ้นมากินไปหลายลูก ด้วยขนาดกระเพาะอาหารของเขาทำให้อิ่มเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น แม้เขาจะชอบกินผลไม้ป่า ทว่ากลับไม่ชอบกินทีเดียวสิบกว่าลูกเช่นนี้
หลังจากกินเสร็จซูหมิงก็นั่งขัดสมาธิอีกครั้ง ตกอยู่ในห้วงการรวมโลหิตหมาน ทว่าครั้งนี้ผ่านไปไม่กี่ชั่วยามเขาก็ลืมตาขึ้นด้วยความฉงน
“โลหิตเส้นแรกสมบูรณ์แล้ว ทว่าเส้นที่สองกลับเหมือนว่าเลือดในร่างไม่พอ…” ซูหมิงบอกไม่ถูกว่ารู้สึกเช่นไร เหมือนว่าโลหิตเส้นแรกจะสูบเอาเลือดของเขาไปจำนวนมาก ทำให้มีเลือดไม่เพียงพอสำหรับการรวมโลหิตเส้นที่สอง
จะว่าไปช่างดูลึกลับขัดแย้ง ยากจะเข้าใจได้ ทว่าซูหมิงกลับรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ
“เลือดไม่พอ…” ซูหมิงเกาศีรษะคิดไตร่ตรอง เขาไม่ทราบเลยว่าผู้ฝึกพลังหมานจำเป็นต้องมีร่างกายที่แข็งแกร่งสำหรับการฝึก โดยเฉพาะในช่วงแรก อีกทั้งยังต้องใช้สมุนไพรอีกจำนวนมาก สรรพคุณของมันจะช่วยให้ร่างกายสร้างเลือดใหม่ได้อย่างรวดเร็ว เพื่อนำมาใช้สำหรับการฝึกและสร้างเส้นเลือดเส้นต่อไป
ดังนั้นสำหรับนักรบหมานขั้นรวมโลหิต ขั้นพลังยิ่งสูง พลังโลหิตในร่างยิ่งแกร่งกล้า เพียงการระเบิด พลังจากร่างกายอย่างเดียวก็สามารถฉีกสัตว์ป่าตัวใหญ่ออกเป็นชิ้นๆ ได้ มันจึงถูกเรียกว่าหมาน!
เรื่องเหล่านี้เป็นความลับในเผ่า มีเพียงบุคคลที่มีกายหมานเท่านั้นถึงมีสิทธิทราบ
“ปกติตอนคนในเผ่าบาดเจ็บจะมีเลือดไหลออกมามาก ใบหน้าขาวซีด ไม่มีแรงไปทั้งตัว ต้องกินสมุนไพรที่ใช้เสริมเลือด…” ซูหมิงแววตาเป็นประกาย เมื่อไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็รีบลุกขึ้นแบกตะกร้าสาน ก่อนกระโดดไปอีกด้านของภูเขา การเคลื่อนไหวของเขารวดเร็วยิ่งนัก เพียงครึ่งชั่วยามก็กลับมาที่เดิม
ตอนกลับมา ในตะกร้าสานมีสมุนไพรเปื้อนดินอยู่เล็กน้อย เมื่อล้างจนสะอาดแล้ว ซูหมิงจึงหยิบถ้วยหินจากตะกร้าสานมา ก่อนทำการบดสมุนไพรเข้ากับน้ำค้างจนออกมาเป็นของเหลวสีเขียวเข้ม ส่งกลิ่นหอมพิลึก
ทว่าเขาคุ้นชินกับกลิ่นมันแล้ว หลังสูดดมหลายครั้งก็เพิ่มสมุนไพรลงไปอีก จนท้ายที่สุดจึงทำเสร็จ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วยกถ้วยหินขึ้นพร้อมดื่มน้ำสมุนไพรอย่างไม่ลังเล
ซูหมิงขมวดคิ้วเพราะมันดื่มยากมาก พยามบังคับตัวเองให้ดื่มจนหมด ก่อนนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง กระทั่งถึงกลางดึก ซูหมิงเปิดเปลือกตา เขานั่งมองเบื้องหน้าอันมืดมิดอย่างเหม่อลอย
“มีผลอยู่บ้าง….แต่ก็น้อยมาก…วิธีน่าจะถูกต้อง แต่มีบางอย่างที่ข้าทำพลาดไป…”
ซูหมิงขมวดคิ้ว เขาจะถามท่านปู่ก็ไม่ได้ ทำได้เพียงขบคิดกับตนเอง
“ไม่ถูกต้อง!” นัยน์ตาซูหมิงฉายแวววาบผ่าน เขาเป็นแพทย์สามัญในเผ่า รับผิดชอบการเก็บสมุนไพรโดยตรง นึกขึ้นได้ว่าทุกครั้งที่เก็บสมุนไพรกลับไป ท่านปู่จะเลือกหยิบไปบางส่วน แล้วที่เหลือจะมอบให้คนในเผ่า เนื่องจากต้องเก็บสะสมไว้ ในยามต้องรักษาท่านปู่จึงใช้ยาน้ำที่ปรุงเอาไว้แล้ว
สมุนไพรหนึ่งในนั้นมีน้ำลายมังกรทมิฬรวมอยู่ด้วย เพียงแต่ว่าในช่วงหลังๆ มันไม่มีประโยชน์ต่อท่านปู่แล้ว จึงให้ซูหมิงเก็บไว้ใช้บำรุงร่างกาย
“น้ำลายมังกรทมิฬที่ได้มาครั้งก่อน พอให้เหลยเฉินไปแล้วยังมีเหลืออยู่อีกหน่อย” ซูหมิงพลันค้นตะกร้าสาน หยิบขวดดินเผาใบเล็กมา พอเปิดฝาออกกลิ่นหอมที่คุ้นเคยปะทะเข้าใส่หน้า เขย่าขวดก็พบว่าด้านในยังมีเหลืออยู่อีกเล็กน้อย
ซูหมิงถือขวดแนบชิดริมฝีปาก กระดกลงคอทั้งหมดเพียงอึกเดียวอย่างไม่ลังเล ก่อนนั่งขัดสมาธิและเข้าสู่ห้วงการรวมโลหิต ซูหมิงดื่มน้ำลายมังกรทมิฬมาตั้งแต่เล็ก ทุกครั้งที่ดื่มจะมีอาการวิงเวียนคล้ายมึนเมา ราวกับจะเข้าสู่นิทรา
ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เขาดื่มมันตามเคล็ดการฝึกพลังหมาน โลหิตในร่างไหลเวียน เขาสัมผัสได้ถึงกระแสความหนาวเหน็บที่อัดแน่นอยู่ในร่าง และลุกลามไปยังตำแหน่งอื่นๆ อย่างรวดเร็ว
ในช่วงกำลังลุกลาม มันก็ค่อยๆ หลอมรวมเข้าสู่เส้นเลือด ทำให้ความเร็วในการไหลเวียนโลหิตเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังมีแน้วโน้มจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
“ที่แท้เป็นเช่นนี้!” ในใจซูหมิงตื่นเต้น ขณะกำลังจะโคจรต่อ ทั่วร่างเขาพลันสั่นไหว เปิดเปลือกตาทั้งสองข้างที่ฉายแววเหลือเชื่อและไม่มั่นใจ
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้…ท่านปู่…”
ซูหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจน กระแสความเย็นที่เกาะทุกส่วนในร่างกายปรากฏเยอะขึ้น กระแสพวกนี้ราวกับอยู่มาหลายปี ถูกซ่อนมาเนิ่นนาน รอวันปรากฏตัวหลังจากโคจรเส้นโลหิต อีกทั้งน้ำลายมังกรทมิฬที่ซูหมิงดื่มก่อนหน้านี้ก็ให้ความรู้สึกแบบเดียวกัน!
ตอนนี้ราวกับกระแสน้ำไหลรินมารวมกันจากทั่วทุกสารทิศ คลับคล้ายมหาสมุทรก็มิปาน
ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ท่านปู่จะเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่ให้แก่เขา ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นน้ำลายมังกรทมิฬที่ใช้บำรุงร่างกาย หากซูหมิงฝึกพลังหมาน มันจะมีส่วนช่วยเขาในการฝึกช่วงแรกอย่างมาก หากไม่ได้ฝึกพลังหมานก็ทำได้เพียงเสริมร่างกายให้แข็งแรงเท่านั้น
ท่ามกลางความสับสน ซูหมิงหวนนึกถึงหลายปีมานี้ แววตาอ่อนโยนกับใบหน้าที่ชราลงตามกาลเวลา รวมถึงสายตาที่มองเขาอย่างมีความหวัง และความมืดมนเมื่อครึ่งเดือนก่อน
“ท่านปู่…” ซูหมิงพึมพำ ในร่างมีเสียงอู้อี้ดังก้อง พลังของน้ำลายมังกรทมิฬที่สั่งสมมานานหลายปี ยามนี้กำลังขับเคลื่อนโลหิต เส้นเลือดเส้นที่สองพลันปรากฏขึ้น อีกทั้งยังรวมจนสมบูรณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่นานเส้นเลือดเส้นที่สามก็ปรากฏตามมาติดๆ! กระทั่งเส้นที่สี่ยังขยับแสงเลือนราง
ในเวลาต่อมา ความสามารถในการมองเห็นของซูหมิงค่อยๆ แกร่งขึ้น การโคจรโลหิตและความแข็งแกร่งของมันช่วยให้ร่างกายของเขาเติบใหญ่ หากเป็นเช่นนี้รูปร่างเขาจะไม่อ่อนแออีกต่อไป แต่จะมีรูปร่างที่กำยำเหมือนกับคนในเผ่าหมาน ทว่าในขณะนั้นเอง เศษหินสีดำตรงอกซูหมิงพลันขยับแสงอ่อนจางแสบตาเหมือนตอนอยู่ในเทวรูปแห่งหมาน!
ลำแสงขยับเพียงหนึ่งครั้ง พลันเกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น!