Skip to content

สู่วิถีอสุรา 50

ตอนที่ 50 หนุ่มน้อย ข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน

ท่ามกลางสายตาที่มองมา ซูหมิงไม่เห็นพวกท่านปู่ เผ่าหมานตรงนี้ส่วนใหญ่แล้วเป็นเผ่าร่องลม เห็นชัดว่าเขาออกมาทีหลัง ทว่ากลับมาถึงก่อนพวกท่านปู่

หลังจากสือไห่ปล่อยซูหมิงลง ก็ส่งตราสีดำให้แก่เขาหนึ่งชิ้น ก่อนกลายเป็นหมอกแล้วจากไปโดยไม่กล่าวอะไร ซูหมิงยืนอยู่เพียงลำพัง มองไปรอบๆ ทว่าก็ไม่พบคนรู้จัก จึงเงียบสงบก้มหน้ามองตราสีดำในมือ พบว่าด้านบนมีอักษรเผ่าหมานเขียนไว้ว่า ‘หนึ่งร้อยเก้า’

ตราสีดำดังกล่าวมีลักษณะพบเห็นได้ทั่วไป แกะสลักมาจากก้อนหิน เมื่อถืออยู่ในมือให้ความรู้สึกเย็นเล็กน้อย

“งานประลองครั้งนี้ได้ยินว่ามีคนเข้าร่วมเยอะที่สุด มากกว่าหนึ่งร้อยคน!”

“ก็แค่หนึ่งร้อยกว่าคน เพียงแค่ด่านแรก น่าจะมีหลายคนที่ไม่ผ่านเข้ารอบ ถึงอย่างไรก็มีพลังไม่ถึงขั้น ทำได้เพียงยอมรับความอับอายของตนเท่านั้น”

“เจ้าพูดผิดแล้ว ในสามด่านนี้ ด่านแรกยากที่สุด! เพราะด่านที่สองเป็นความเร็ว ส่วนด่านที่สามเป็นทักษะในการต่อสู้ สองด่านนี้จำเป็นต้องมีขั้นพลังที่แน่นอน อีกทั้งยังต้องใช้โชคเข้าช่วยและปฏิบัติตามกันได้ ทว่ามีเพียงด่านแรกเท่านั้นที่ไม่เกี่ยวกับขั้นพลัง ความจริงแล้ว จุดสำคัญของด่านนี้คือจิตใจที่แน่วแน่กับศักยภาพ!

เรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน ทว่าก็โหดร้ายเช่นเดียวกัน! ไม่ว่าจะอยู่ขั้นพลังระดับใด หากได้คะแนนไม่ดีในด่านแรก ก็เท่ากับว่ามีจิตใจที่แน่วแน่ไม่พอ ศักยภาพไม่ถึง คนแบบนี้ไม่ค่อยได้รับความสนใจสักเท่าไร”

ซูหมิงก้มหน้าเล่นตราหินสีดำในมือ หูฟังเสียงสนทนาของผู้คนที่ดังขึ้นต่อเนื่อง

“ทว่าหากจะให้พูดจริงๆ งานประลองทุกครั้ง ห้าสิบอันดับแรกส่วนใหญ่จะเป็นนักรบหมานจากเผ่าร่องลมของพวกเรา เผ่าอื่นทำได้เพียงเฉียดใกล้ก็เท่านั้น โดยเฉพาะสิบอันดับแรก ได้ยินมาว่าไม่เคยมีชื่อเผ่าอื่นปรากฏให้เห็นมาก่อน”

“แน่นอน ครั้งนี้ก็คงเป็นเช่นนั้น ความจริงแล้วอันดับสิบไปจนถึงสี่สิบก็เป็นคนพวกนั้นอยู่แล้ว โดยเฉพาะสิบอันดับแรก นอกจากผู้มีพรสวรรค์ในเผ่าแล้วเหล่านั้นแล้ว ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้”

ซูหมิงฟังไปฟังมา เริ่มได้ยินเรื่องสนทนาทำนองนี้เยอะขึ้น ผู้คนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่ผู้เข้าร่วมงานประลอง ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นผู้ชมมากกว่า

ขณะฟังพลันนึกไปถึงตัวเลขหกตัวที่ท่านปู่ตั้งคำถาม ราวกับซูหมิงสัมผัสอะไรบางอย่างได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองข้างตัว พบว่าเป็นผู้อาวุโสท่านหนึ่งกำลังใกล้เข้ามาอย่างเงียบๆ ราวกับมาเฝ้าดูซูหมิง ผู้อาวุโสท่านนั้นรีบเผยรอยยิ้ม เดินเข้ามายืนอยู่หน้าเขา

ผู้อาวุโสท่านนี้สวมเสื้อหนังสัตว์ ตรงใบหูมีตุ้มหูกระดูกเล็กน้อย ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นคนจากเผ่าร่องลม

“หนุ่มน้อยท่านนี้ ข้าเป้ยฉง เห็นตราในมือเจ้าก็รู้ว่าเป็นผู้เข้าประลองด่านแรกเช่นกัน จึงมาทักทาย ไม่มีเจตนาร้าย” ใบหน้าของผู้อาวุโสท่านนี้ดูน่าขบขันเล็กน้อย ปากแหลมมีแก้มลิง หัวเราะทีใบหน้าราวกับสั่นไหว เพียงพบเห็นเป็นต้องจำได้อย่างแน่นอน

ซูหมิงมีสีหน้าเรียบเฉย เมื่อฟังผู้อาวุโสกล่าวจบ จึงพยักหน้าเล็กน้อย

“หนุ่มน้อย ข้าจะพูดตรงๆ นะ เจ้าอย่าถือสา แม้ขั้นพลังข้าจะไม่สูง ทว่าก็อยู่มาจนป่านนี้แล้ว ดวงตาของข้ามีแวว ดูจากลักษณะของเจ้าแล้ว…เอ่อ…ดูธรรมดามาก” ผู้อาวุโสขยิบตา

“ข้ามาดูงานประลองครั้งใหญ่ทุกครั้ง ลักษณะแบบเจ้า เกรงว่ายากจะติดหนึ่งในห้าสิบ ด้วยประสบการณ์ของข้า น่าจะอยู่ประมาณหนึ่งร้อยเท่านั้น…..แต่ว่า…..”

ผู้อาวุโสขยับเข้ามาใกล้ สีหน้าดูลึกลับ ก่อนมองไปรอบๆ เมื่อไม่มีใครสังเกตเห็นจึงรีบกล่าวขึ้นเสียงเบา

“แต่ว่าดีที่เจ้าเจอข้า นับว่าเป็นวาสนาดี ข้ามีสมุนไพรอยู่ชนิดหนึ่ง สามารถเพิ่มศักยภาพได้ในเวลาอันสั้น เป็นเช่นนี้แล้วในด่านแรกเจ้าจะต้องติดหนึ่งในห้าสิบอย่างแน่นอน! หากซื้อไปเยอะๆ แล้วกินพร้อมกัน กระทั่งสิบอันดับแรกก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้” ผู้อาวุโสกล่าวเสียงเบา ถกเสื้อขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นสมุนไพรด้านในก่อนรีบปิดลงอย่างรวดเร็ว ใบหน้าดูมีเลศนัยมากยิ่งขึ้นราวกับกลัวผู้อื่นพบเห็น

ซูหมิงงุนงงเล็กน้อย มองผู้อาวุโส นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ไม่กล่าวอะไร

“ไม่เชื่อรึ?” ผู้อาวุโสเห็นสีหน้าของซูหมิง พลันกล่าวด้วยเสียงเบาอีกครั้งว่า “หนุ่มน้อย เจ้ายังเด็กนัก เรื่องแบบนี้หากไม่เชื่อจะลองดูก็ได้ ถึงอย่างไรหากเจ้าได้อันดับดี ความสำคัญของเจ้าในเผ่าจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดูจากลักษณะของเจ้าแล้ว คงจะเป็นพวกไร้ค่าในชนเผ่า”

“เอาละ หากสมุนไพรของเจ้าดีจริง เหตุใดงานประลองทุกครั้ง อันดับห้าสิบแรกถึงได้เป็นเผ่าร่องลมเสียส่วนใหญ่ อีกทั้งสิบอันดับแรกยังไม่เคยมีชื่อเผ่าอื่นปรากฏ สิ่งนี้ข้าไม่ซื้อ เจ้ารีบไปขายให้คนอื่นจะดีกว่า” ซูหมิงขมวดคิ้ว ถอยห่างหลายก้าว

ผู้อาวุโสเบิกตาโต ยกนิ้วโป้งให้ซูหมิง กล่าวชมเชยไม่หยุด

“สุดยอด หนุ่มน้อยเจ้าเป็นคนเก่งจริงๆ ไม่นานก็นึกได้ถึงจุดนี้ ดูท่าข้าคงจะมองคนผิดไป ลักษณะของเจ้าแม้จะไม่ผ่าน ทว่ามันสมองกลับเฉลียวฉลาดยิ่งนัก แต่ว่าหนุ่มน้อย ครั้งนี้เจ้าพูดผิด สิบอันดับแรกในด่านที่หนึ่งไม่ใช่ว่าไม่เคยมีเผ่าอื่นปรากฏขึ้นมาก่อน เมื่อห้าสิบปีก่อนเคยมีอยู่คนหนึ่งได้อันดับหนึ่งติดต่อกันหลายครั้ง

ชื่อของเขาเจ้าก็น่าจะเคยได้ยิน เขาคือโม่ซังจ้าวหมานเผ่าเขาทมิฬ! เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดเขาจึงทำสำเร็จ ก็เพราะว่าเขาซื้อสมุนไพรของข้าทุกครั้ง

อีกอย่างตอนนั้นยังมีใครมาอีกนะ อ้อ เผ่าภูผาดำก็มาซื้อสมุนไพรของข้าไปเหมือนกัน ได้อันดับสี่สิบกว่า และยังมีเผ่ามังกรมิฬอีกหลายคน เรื่องก็เป็นเช่นนี้

เฮ้ย เจ้าอย่าเพิ่งไป ข้าจะเล่าเรื่องใกล้ตัวให้ก็ได้ งานประลองครั้งก่อน หนุ่มน้อยนามเป่ยหลิงก็ติดหนึ่งในห้าสิบ ก็เพราะซื้อ…..”

ผู้อาวุโสพูดเป็นต่อยหอย ซูหมิงฟังจนขมวดคิ้วขึ้นและถอยห่างอีกครั้ง

“หนุ่มน้อย ข้ากับเจ้ามีวาสนาต่อกัน ดังนั้นข้าก็เลยขายให้แก่เจ้า หากเป็นคนอื่น ขอร้องอย่างไรข้าก็ไม่ขาย สมุนไพรนี้ข้าขายให้คนอื่นสิบเหรียญหินต่อหนึ่งต้น แต่ข้าจะขายให้เจ้าเพียงสามเหรียญหินพอ ว่าอย่างไร นี่ถูกมาแล้วนะ ว้า สมุนไพรถูกขนาดนี้ หากข้าตะโกนป่าวประกาศจะต้องมีคนมารุมล้อมอย่างแน่นอน วันนี้พวกเราสองมีวาสนาต่อกัน เจ้าซื้อหนึ่งข้าแถมให้อีกหนึ่ง ข้า…” ผู้อาวุโสพูดพร่ำไม่หยุด น้ำลายกระเซ็น ขณะกล่าวก็ปรบมือราวกับตื่นเต้นกับคำพูดของตนเอง ซูหมิงงุนงงและถอยห่างอีกหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว

ขณะผู้อาวุโสกำลังจะกล่าวต่อ ผู้คนโดยรอบบนลานพลันส่งเสียงฮือฮา ก่อนพบว่าท้องฟ้าบิดเบี้ยว มีงูเหลือมทมิฬใหญ่ยักษ์ทะลวงเข้ามา บนงูเหลือมดังกล่าวมีคนยืนอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาคือกลุ่มของท่านปู่

“เผ่าเขาทมิฬ!”

“จ้าวหมานเผ่าเขาทมิฬ ได้ยินว่ามีพลังสูงส่ง ทว่าน่าเสียดายไร้ผู้สืบสานต่อ แต่ก็เคยได้ยินเหมือนกันว่ามีรุ่นเยาว์นามเป่ยหลิง ติดอันดับที่สี่สิบเก้าในงานประลองครั้งก่อน”

งูเหลือมทมิฬแหลกสลาย กลุ่มของท่านปู่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่งของลาน

มองซูหมิงอยู่ไกลๆ แวบหนึ่ง ก่อนละสายตาจากไป เป่ยหลิงยืนอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน สีหน้าของเขาอวดดีและเย็นชา ส่วนเหลยเฉินและอูลากำลังมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นเต้น

“เห็นตาแก่กับเจ้าเด็กใบหน้าเย็นชานั่นหรือไม่ พวกเขาก็คือโม่ซังกับเป่ยหลิงที่ข้าเล่าให้เจ้าฟังก่อนหน้านี้” ผู้อาวุโสยืนอยู่ข้างซูหมิงรีบกล่าวขึ้น สีหน้ามีเลศนัยไม่ลดน้อยลง ขณะกล่าว ผู้คนโดยรอบส่งเสียงฮือฮาขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้ดังกว่าครั้งก่อนอย่างเห็นได้ชัด พบว่าด้านนอกลานบิดเบี้ยว มีคนเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าห้าคน คนที่อยู่หน้าสุดสวมเสื้อคลุมดำ ไม่มีเส้นผม เขาคืออูเซินชายหนุ่มหัวล้านเมื่อคืนวาน สีหน้าของเขาเคร่งเครียด แฝงไว้ด้วยความเกรี้ยวกราด เรื่องเมื่อคืนวานทำให้รู้สึกอัปยศในตัวเองยิ่งนัก โดยเฉพาะโลหิตสีเขียวเข้มของเขา…ยิ่งทำให้จิตใจวิตกกังวล ทว่ากลับไม่เผยให้เห็นบนสีหน้าก็เท่านั้น

ทั้งสี่คนด้านหลังของเขาล้วนเงียบขรึม ค่อยๆ เดินตามอูเซินเข้ามาใกล้ลาน

“อูเซิน!”

“งานประลองครั้งเขาจะต้องติดหนึ่งในสามอย่างแน่นอน ได้ยินว่าเคล็ดการฝึกพลังหมานของเขาพิสดารนัก…..”

“เบาเสียงหน่อย เขายิ่งเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้ายอยู่….”

“หุบปากให้หมด!” ทันใดนั้น มีเสียงตะโกนดังขึ้นจากในกลุ่มของอูเซิน โดยรอบพลันเงียบสงัด อูเซินเดินผ่านหน้าซูหมิงด้วยใบหน้าเคร่ง ทว่าในช่วงที่เดินผ่าน เขาหันกลับมากวาดสายตามองซูหมิงอย่างเย็นชา นัยน์ตาฉายแววสงสัย

ทว่าเมื่อมองอย่างละเอียดแล้วไม่พบว่าเป็นคนที่ตามหา จึงทำเสียงหึแล้วเดินจากไป เขาไปนั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ โดยมีคนทั้งสี่ล้อมเอาไว้เพื่อเป็นการคุ้มกัน ซูหมิงมองอูเซิน ทั้งยังมองเป่ยหลิงอีกหลายครั้ง ก่อนละสายตากลับ

“การฝึกฝนของอูเซินคือเคล็ดวิชาพลังซากศพสูบโลหิต เทวรูปที่เขาคารวะเป็นเทวรูปชั่วร้ายแห่งเผ่าร่องลม ทั้งตัวเต็มไปด้วยกลิ่นอายป่าเถื่อน อุปนิสัยมืดมน ไม่ใช่พวกที่ดี!” ผู้อาวุโสข้างกายซูหมิงราวกับโมโหเล็กน้อย ทั้งยังกลัวอีกฝ่ายได้ยิน จึงกล่าวเสียงกระซิบ ดูจากท่าทางของเขาแล้วคงจะกลัวอูเซินน่าดู

“ข้าว่านะหนุ่มน้อย เจ้าอย่าไปล่วงเกินเขาจะดีกว่า…..แต่หากล่วงเกินไปแล้วก็ไม่เป็นไร เพราะข้ายังมีสมุนไพรอีกชนิด รับประกันว่าหลังเจ้ากินไปแล้ว จะทำให้กำลังเพิ่มมากขึ้น…..” ผู้อาวุโสกลอกตาไปมา พร้อมกับกล่าวโน้มน้าว

ซูหมิงขมวดคิ้วขึ้น รู้สึกว่าผู้อาวุโสท่านนี้จะพูดมากกว่าเหลยเฉินเสียอีก กระทั่งหากเทียบกันแล้ว เหลยเฉินราวกับเป็นคนพูดน้อยทันที

ผู้อาวุโสกล่าวโน้มน้าวไม่หยุด อารมณ์ประมาณหากเจ้าไม่ซื้อ ข้าก็จะไม่ยอมอย่างไรอย่างนั้น

ขณะนั้นเอง ด้านนอกลานพลันบิดเบี้ยวอีกครั้ง ครั้งนี้มีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาสิบกว่าคน ส่งเสียงจ้อกแจ้กจอแจ มีเสียงพูดคุยและเสียงหัวเราะ คนที่อยู่ตรงกลางสุดเป็นดั่งดาวล้อมเดือน รูปร่างไม่สูงนัก ค่อนข้างท้วม หัวเราะเสียงดังสนทนากับผู้คนข้างกายไม่หยุด บางครั้งยังขยับมือวาดอะไรบางอย่าง

ตัวของเขาแฝงไว้ด้วยพลังที่ไม่อาจกล่าวได้ ดูเด่นชัดที่สุดในกลุ่มสิบกว่าคน เพียงมองแวบเดียวก็ต้องสังเกตเห็นเขาได้เป็นคนแรก

“เฉินชง!” อูเซินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ ลืมตาขึ้น จ้องมองชายร่างท้วม หรี่ตาทั้งสองข้าง

ซูหมิงก็มองไปที่เขาเช่นเดียวกัน รู้สึกถึงพลังบางอย่างในร่างกายอีกฝ่ายกำลังขยับวูบวาบได้อย่างชัดเจน มันไม่ใช่พลังโลหิต แต่เป็นความรู้สึกที่ยากเกินจะกล่าว

“เฉินชง ในเผ่าร่องลมไม่มีใครไม่รู้จักเขา อีกทั้งยังเป็นคนดี แข็งแกร่งกว่าอูเซินหลายเท่านัก” ผู้อาวุโสรีบกล่าวเสียงเบา

“ข้าจะบอกเจ้าให้ เจ้าอย่าไปบอกใครล่ะ เฉินชงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของข้า เขามักจะมาซื้อสมุนไพรของข้าอยู่บ่อยๆ”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!