Skip to content

สู่วิถีอสุรา 64

ตอนที่ 64 เยี่ยวั่งหน้าเปลี่ยนสี

ซูหมิงลืมตาขึ้น บนตัวของเขามีเส้นเลือดเพียงสามเส้น! ก้มหน้ามองเส้นเลือดทั้งสามที่พันรอบหน้าอก ก่อนยันกายขึ้น สูดลมหายใจเข้าลึก เขาไม่ได้เร่งรีบเดินต่อ แต่หันกลับไปมองหมอกหนาทึบ เขามองไม่เห็นด้านล่าง ทว่ากลับรู้สึกได้ว่ายามนี้ตนอยู่สูงมาก

“สามเส้นสุดท้าย ต้องไปที่ขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด” ซูหมิงมองยอดเขา ดวงตาค่อยๆ เป็นประกาย

“อีกอย่าง ข้าอยากรู้ด้วยว่าตัวข้าจะเดินไปได้ไกลเพียงใด!” ซูหมิงยกเท้าขึ้นเหยียบไปบนขั้นห้าร้อยหกสิบสี่ แล้วเดินต่อไปทีละก้าวอย่างไม่ลังเล

ทีละก้าว ทีละขั้น ซูหมิงไม่ได้ทะยานขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เพียงไม่กี่ลมหายใจก็หนึ่งร้อยขั้น และไม่มีการหยุดพักเหมือนก่อนหน้านี้ แต่เขาค่อยๆ เดินขึ้นไปอย่างมั่นคง

สีหน้าของเขาเรียบเฉยประดุจบ่อน้ำโบราณไร้คลื่น ค่อยๆ เดินขึ้นไปบนขั้นห้าร้อยเจ็ดสิบสาม ห้าร้อยเจ็ดสิบแปด ห้าร้อยแปดสิบสอง…และยังเดินต่อไปเรื่อยๆ

จากการเดินของเขา ทำให้เส้นเลือดปรากฏขึ้นทั้งหมด พลังโลหิตมหาศาลพลันปะทุขึ้น ในเวลาเดียวกัน มันยังปรากฏเพิ่มมาอีกหนึ่งเส้นขณะเขามุ่งไปข้างหน้า!

ทางเส้นนี้เป็นเส้นทางแห่งความแข็งแกร่งของซูหมิง นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ขั้นพลังเปลี่ยน และยังได้ตระหนักถึงความคิดนั้น

ขณะซูหมิงกำลังเดินต่อไปทีละก้าว ณ ลานด้านนอกเกิดการเปลี่ยนของจำนวนขั้นบันไดบนรูปปั้น ทุกการเลื่อนขึ้นของตัวเลข ล้วนทำให้หัวใจของผู้คนที่กำลังมองสั่นไหวตาม

“ห้าร้อยเก้าสิบเจ็ด ห้าร้อยเก้าสิบแปด ห้าร้อยเก้าสิบเก้า…..หกร้อย เขาเดินไปถึงหกร้อยขั้นแล้ว! นี่มันเป็นขีดจำกัดของเยี่ยวั่งเมื่อวาน!”

“ยังเดินต่อไปอีก หกร้อยหนึ่ง หกร้อยสอง…..หรือว่าเยี่ยวั่งไม่สังเกตเห็นกัน แม้เขาจะอยู่ห่างอีกไกล ทว่าหากเป็นเช่นนี้ต่อไป อีกไม่นานคงได้ถูกตามทันแน่!”

ณ บนลานเงียบสงัด เพราะการเคลื่อนไหวของซูหมิง ทำให้เริ่มมีเสียงสนทนาดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ว่าหากเทียบกับเสียงดังเกรียวกราวก่อนหน้านี้แล้ว ครั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นเสียงเบา

เทียบกับกลุ่มคนที่มองรูปปั้นอยู่ตลอดเวลาพวกนี้แล้ว ด้านในลานยังมีอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขาเป็นห้าสิบอันดับแรก ในกลุ่มคนเหล่านี้ โดยเฉพาะคนที่ติดหนึ่งในสิบ ได้สร้างวงสนทนาขึ้นกันเอง

“เยี่ยวั่งเป็นคนอวดดี…เขามีนิสัยชอบไม่มองอันดับรายชื่อบนตราหิน”

“ใช่ เยี่ยวั่งคิดเสมอว่าคู่ต่อสู้มีแค่ตัวเขาเอง คนอื่นไม่มีคุณสมบัติ”

“เฮอะๆ ไม่รู้ว่าครั้งนี้ โม่ซู่มีคุณสมบัติพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้หรือไม่ เดินไปถึงหกร้อยสามสิบห้าขั้นแล้ว โม่ซูคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ศักยภาพเขาข้าไม่อาจเทียบได้!”

“ตามจริงแล้วข้าอยากให้เยี่ยวั่งดูตราหินสักหน่อย อยากรู้ว่าพอเห็นโม่ซูไล่ตามหลังมาแล้วจะเป็นอย่างไร จะไม่แยแสหรือไม่? หรือบางทีอาจสนใจก็ได้?”

ผู้คนบนลาน มีกลุ่มวงสนทนาอยู่สองระดับ มีคำพูดที่แตกต่างกัน เทียบกับพวกเขาแล้ว บนลานยังมีระดับที่สูงกว่า นั่นคือผู้นำจากแต่ละเผ่า ฐานะและขั้นพลังเป็นตัวกำหนดโลกทัศน์ของพวกเขา

ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬมองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น นัยน์ตาฉายแววจริงจังและสนใจ นางนึกไม่ออกเลยว่าเขาคนนี้เป็นใคร ทว่าก็แสดงความชื่นชม ในความคิดของนาง เขาคนนี้ไม่มีทางอยู่เผ่าร่องลมอย่างแน่นอน ฉะนั้นการปรากฏตัวของเขาช่างน่าสนใจยิ่งนัก

“น่าเสียดาย เขาคนนี้ไม่ได้อยู่เผ่ามังกรทมิฬ มิเช่นนั้นแล้วข้าจะทุ่มทุกอย่างเพื่อบ่มเพาะเขา!” ยายเฒ่าถอนหายใจเบาๆ มองซือคงและไป๋หลิงด้านข้าง

“ซือคงไม่มีความสามารถพอจะรับผิดชอบงานใหญ่ได้ เฮ้อ เผ่ามังกรทมิฬโรยราแล้ว…..ส่วนไป๋หลิง ก็แค่เกิดความรู้สึกดีกับซูหมิงเพียงชั่วครู่เท่านั้น แยกไม่ออกระหว่างบุญคุณกับความรัก ขอแค่เจ้าหนูนั่นไม่มาเกาะแกะ อีกไม่นานเดี๋ยวก็ลืมไปเอง ส่วนเจ้าซูหมิง เขามีสิทธิอะไรมาแตะต้องหลานสาวของข้า เว้นแต่เขาจะเป็นโม่ซูลึกลับคนนั้น…..”

ยายเฒ่ายิ้มเยาะ นัยน์ตาฉายแววเหยียดหยาม

ณ กลุ่มเผ่าภูผาดำไกลออกไป จ้าวเผ่ามีสีหน้าทะมึนยิ่งนัก จ้องชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น แววตาเย็นชา ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความสนใจและตื่นตะลึง

“ปี้ซู่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากจ้าวหมานมาตั้งแต่เล็ก ล้ำหน้าเหนือกว่ารุ่นเดียวกัน ถ้าไม่ใช่เพราะจ้าวหมานทะลวงพลังแล้วอยู่ระดับเดียวกับจิงหนานเผ่าร่องลมแล้วละก็ เขาไม่มีทางยอมให้ปี้ซู่เผยตัวแน่ แต่ว่าโม่ซูคนนี้กลับโผล่มาจากที่ไหน เป็นคนจากเผ่าใด…..คนแบบนี้จะต้องดึงมาอยู่กับเผ่าภูผาดำให้ได้ มิเช่นนั้นแล้ว ก็ต้องสังหารทิ้งเสีย!”

บนลาน หากกล่าวว่าใครมีฐานะสูงที่สุด ก็คงต้องตอบว่าจิงหนาน เขากำลังยืนมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น มองจำนวนขั้นหลังชื่อของโม่ซูกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ไปถึงหกร้อยเจ็ดสิบเจ็ดขั้นแล้ว เขาหรี่ตาลง ทว่าสีหน้ายังคงเรียบเฉย ราวกับว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีค่าพอให้เขาตื่นตะลึง

“โม่ซัง หลังจากจบงานประลองด่านนี้แล้ว ให้ซูหมิงอยู่ในเผ่าร่องลมของข้าเถอะ…ที่นี่ มีสิ่งที่ดีกว่าสำหรับเขา” เมื่อเห็นจำนวนขั้นบันไดเปลี่ยนเป็นหกร้อยแปดสิบสี่ จิงหนานจึงกล่าวขึ้นเรียบๆ

ได้ยินดังนั้น โม่ซังยิ้มเล็กน้อย ในใจของเขาเองยังตื่นตะลึงในตัวของซูหมิง นี่มันเกินกว่าที่เขาคิดเอาไว้เสียอีก ส่วนเรื่องที่เขาให้ซูหมิงปกปิดขั้นพลัง แน่นอนว่าเขาย่อมมีเหตุผลของตน

“ไม่ต้องรีบ รอจนกว่าจะสิ้นสุดงานประลองก่อนค่อยว่ากันอีกที” โม่ซังกล่าวช้าๆ มองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น นัยน์ตาฉายแววอ่อนโยน

เห็นโม่ซังรีบปฏิเสธทันที แววตาจิงหนานมีประกายวูบผ่าน ด้วยสติปัญญาของเขา แน่นอนว่าย่อมมองออก บางทีตนอาจจะเสนอเงื่อนไขน้อยเกินไป

“หากเขาเดินไปถึงขั้นเจ็ดร้อยห้าสิบได้ ข้าจะให้เขาเป็นบุตรของผู้นำสูงสุดในเผ่าร่องลมของข้า เหมือนกับเฉินชงและอูเซิน หากเดินได้มากกว่าแปดร้อยขั้น ข้าจะเตรียมให้เขาเป็นว่าที่บุตรหมาน!” จิงหนานกล่าวขึ้นเรียบๆ

“หากได้สูงกว่านั้นเล่า?” โม่ซังหันกลับมามองเขา

“สูงกว่านั้น? ดี หากเขาเดินได้มากกว่าแปดร้อยห้าสิบขั้น ข้าจะให้สิทธิพิเศษเหมือนกับเยี่ยวั่ง หากถึงเก้าร้อยขั้น แล้วเขายอมอยู่ในเผ่าร่องลม ข้าจะให้เขาแข่งกับเยี่ยวั่ง ใครทะลวงสู่ขั้นชำระล้างได้ก่อน คนนั้นได้เป็นบุตรหมานทันที!”

จิงหนานขบคิดเล็กน้อย มองโม่ซูพลางกล่าวขึ้นเรียบๆ

“ตอนนี้เจ็ดร้อยแล้ว” โม่ซังยิ้มกล่าว

เจ็ดร้อยขั้น! ซูหมิงหอบหายใจแรง เม็ดเหงื่อหยดลงพื้นไม่หยุดหย่อน ยืนอยู่บนขั้นเจ็ดร้อย ยามนี้ใกล้รุ่งอรุณ ดวงจันทร์อ่อนลงเล็กน้อย การจะเดินมาถึงจุดนี้ภายใต้แรงต้านมหาศาลเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก

ขณะเดินในร่างกายมีเส้นเลือดปรากฏขึ้นหลายเส้น ทว่ามีจำนวนเท่าไร ซูหมิงไม่ได้สนใจ ยามนี้เขามีเพียงความคิดเดียวคือต้องเดินต่อไป เดินจนกว่าจะถึงขีดจำกัดของตัวเอง!

หลังจากปรับลมหายใจให้เป็นปกติแล้ว ซูหมิงก็ก้าวเดินต่อไปบนขั้นเจ็ดร้อยหนึ่ง

เยี่ยวั่งในยามนี้กำลังนั่งขัดสมาธิบนขั้นแปดร้อยสาม ไม่ขยับร่างกาย ทั้งยอดเขาเงียบสงัดนัก ตรงจุดที่เขาอยู่ห่างจากซูหมิงราวกับทิศเหนือและใต้ แบ่งเป็นสองทางโดยสิ้นเชิง เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน เมื่อดวงจันทร์อ่อนแสงราวกับใกล้ฟ้าสว่าง เยี่ยวั่งลืมตาขึ้นแหงนหน้ามองท้องฟ้า

“หลังจากฟ้าสว่างก็จะเป็นการเข้าสู่เส้นชัยครั้งสุดท้าย ครั้งนี้ข้าจะใช้ความสามารถทุกอย่างเต็มที่จนกว่าจะเดินไปถึงขั้นเก้าร้อย!” เยี่ยวั่งกล่าวพึมพำ มุมปากยกขึ้นเผยรอยยิ้มมั่นใจ

“ตอนนี้คนบนเขาน่าจะเหลือไม่มากแล้ว ถ้าไม่นับตัวข้าก็น่าจะไม่ถึงสิบคน ไม่รู้ว่าจะมีคนเดินผ่านขั้นห้าร้อยหกสิบสองมาได้หรือไม่ แต่ดูแล้วไม่น่าจะมี!” สีหน้าของเยี่ยวั่งดูโอหัง ทว่าเมื่อขบคิดสักครู่หนึ่ง จึงหยิบตราหินขึ้นมาดู

เดิมทีเขาตั้งใจจะมองผ่านๆ ว่ามีใครเหลืออยู่บ้าง แค่มองกราดลงไปขณะที่รอฟ้าสว่างอยู่ก็เท่านั้น

สีหน้าของเขาเรียบเฉยยิ่งนัก กวาดสายตามองไปบนตราหินหนึ่งรอบ ทว่าในขณะที่เขากำลังจะละสายตา พลันชะงักงันไปทั้งตัว ก่อนตั้งใจมองอีกครั้ง

อันดับสอง โม่ซู เจ็ดร้อยสิบหกขั้น

“โม่ซู…เดินในยามค่ำคืน ช่างโง่เขลายิ่งนัก!”

เยี่ยวั่งเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนละสายตากลับมา นั่งขัดสมาธิหลับตาต่อรอฟ้าสว่าง ราวกับไม่มีท่าทีร้อนใจแม้แต่น้อย ทว่าเปลือกตาของเขากลับสั่นไหวอยู่บ่อยครั้ง แสดงให้เห็นว่ายามนี้กำลังจิตใจว้าวุ่น

ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ เดินขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง เวลานี้ในศีรษะของเขาขาวโพลน รู้เพียงแค่ต้องผลักดันร่าง

กายให้ก้าวเดินต่อไปเท่านั้น ขณะเดียวกัน ในร่างกายเริ่มมีเส้นเลือดเพิ่มมากขึ้น ทุกครั้งที่ปรากฏหนึ่งเส้น เขาจะรู้สึกราวกับยังมีแรงเหลือ

ซูหมิงก้าวเดินอย่างบ้าคลั่งจนผ่านขั้นเจ็ดร้อยยี่สิบห้า เจ็ดร้อยสามสิบแปด เจ็ดร้อยห้าสิบเอ็ด เจ็ดร้อยหกสิบสาม เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเก้า…..

ในร่างกายของเขามีเสียงดังสนั่นไม่หยุด ทว่าขาทั้งสองข้างกลับสั่นเทา ร่างกายเหมือนจะซวนเซล้มลง โดยเฉพาะเท้าของเขา ราวกับว่าเชื่อมกับพื้นภูเขา ทุกครั้งที่ยกเท้าขึ้นจะรู้สึกเจ็บปวด

ซูหมิงกัดฟัน ยกเท้าขึ้นเหยียบไปบนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบ ห่างจากเป้าหมายของเขาเพียงหนึ่งขั้น!

ดวงตาของเขาแดงก่ำราวกับเปลวเพลิงกำลังลุกโชติช่วง เหมือนจะแผดเผาซูหมิงจนเป็นเถ้าถ่าน ตอนนี้เหลือเพียงก้าวสุดท้ายเท่านั้น ซูหมิงพลันโคจรเส้นเลือดทั้งตัว เค้นพละกำลังยกเท้าขึ้น จนในที่สุดก็เหยียบไปบนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดได้สำเร็จ

ในช่วงที่เหยียบเท้าลง ร่างกายของเขาราวกับไม่อาจทนรับแรงต้านไหว

ขณะกำลังจะล้มลง ซูหมิงพลันแหงนหน้าส่งเสียงคำราม เขาจะต้องขึ้นไปให้ได้ จะต้องทำให้ได้!

ซูหมิงกัดนิ้วชี้มือขวาตรงมุมปาก ก่อนนำไปป้ายดวงตาทั้งสองข้าง เขาจะทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สามที่นี่!

ในช่วงที่นิ้วชี้อาบโลหิตสัมผัสกับดวงตาของเขา ภูเขายักษ์ทั้งลูกราวกับฟ้าถล่มดินทลาย ส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เสียงคำรามของสัตว์ป่าพลันดังกึกก้องในหมอกดำบนยอดเขา!

ณ ขั้นแปดร้อยสาม เยี่ยวั่งที่กำลังพยามทำจิตใจสงบพลันตื่นตะลึง เขาได้ยินเสียงคำรามดังมาจากยอดเขา อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่ายอดเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนและส่งเสียงดังสนั่น ประหนึ่งเกิดการเปลี่ยนแปลงน่าเหลือเชื่อขึ้น

เขาพลันลืมตาขึ้น ก่อนหรี่ลงทันที มีลางสังหรณ์ว่าเรื่องนี้จะต้องเกี่ยวกับคนชื่อโม่ซูอย่างแน่นอน!

เยี่ยวั่งรีบหยิบตราหินขึ้นมาดูเป็นครั้งที่สอง เมื่อได้เห็นจำนวนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดหลังชื่อของโม่ซู สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ก่อนพลันลุกพรวดขึ้น!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!