Skip to content

สู่วิถีอสุรา 67

ตอนที่ 67 ลำดับหกขั้นรวมโลหิต

ศึกตัดสินบนยอดเขานี้ ซูหมิงและเยี่ยวั่งต่างสำแดงพลังทั้งหมดอย่างบ้าบิ่น โลหิตแผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่าของซูหมิง การฝืนดูดซับโลหิตหมานจากท่านปู่ของเยี่ยวั่ง เรื่องเหล่านี้ผู้คนบนลานด้านนอกส่วนใหญ่ไม่รู้แน่ชัด

ทว่ายามนี้ เมื่อศึกตัดสินถึงจุดที่ดุเดือดมากที่สุด อารมณ์ของผู้คนบนลานล้วนถึงขีดสุดเช่นเดียวกัน!

“ถึงใจจริงๆ นี่แหละที่เขาเรียกว่ามังกรปะทะพยัคฆ์!”

“เยี่ยวั่งทะยานจากแปดร้อยสี่สิบห้าขึ้นเป็นแปดร้อยหกสิบเอ็ดทันที ทว่าโม่ซูก็เช่นเดียวกัน ตามไม่ยอมปล่อยเลย ตอนแรกห่างถึงยี่สิบสามขั้น แต่ก็ตามมาจนถึงแปดร้อยห้าสิบเก้า ห่างจากเยี่ยวั่งเพียงสองขั้น!”

“พวกเขา ใครจะเป็นที่หนึ่งกันแน่!”

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ เสียงดังเกรียวกราว เสียงร้องตกตะลึง ดังขึ้นบนลานไม่หยุดหย่อน ความตื่นเต้นและเฝ้ารอของกลุ่มคน ในช่วงเวลานี้พลันลืมความซับซ้อนทุกสิ่ง แต่กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน นั่นคือพวกเขาอยากทราบว่าใครจะเป็นที่หนึ่ง

ใครจะเป็นที่หนึ่ง! คำถามนี้ก่อให้เกิดคลื่นลมพายุโหมกระหน่ำขึ้นในวงสนทนาของโอรสแห่งสวรรค์ห้าสิบอันดับแรกเช่นเดียวกัน ความตื่นเต้นของพวกเขาไม่มากไม่น้อยไปกว่าคนอื่นเลย ยิ่งพวกเขารู้จักเยี่ยวั่งมากเท่าไร ยิ่งทราบถึงความน่ากลัวของแรงต้านบนขั้นแปดร้อยกว่ามากแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งตื่นเต้น

“เยี่ยวั่งเป็นที่หนึ่งมาโดยตลอด ครั้งนี้…..เขาจะรักษาเอาไว้ได้หรือไม่”

“โม่ซูคนนี้แข็งแกร่ง…..แข็งแกร่งจริงๆ! ไม่อยากเชื่อว่าจะบีบเยี่ยวั่งได้ถึงขนาดนี้ อีกเพียงแค่สองขั้น!”

“ตอนแรกข้าคิดว่าโดยรอบแดนแปดทิศนี้ ในอาณาเขตปกครองของเผ่าร่องลมพวกเรา เยี่ยวั่งเป็นหมายเลขหนึ่งที่สมคำกล่าวขาน ไม่มีผู้อื่นเทียบเคียงได้ ทว่าวันนี้…ข้ารู้แล้วว่าข้าดูถูกผู้อื่น!”

เทียบกับคนเหล่านี้แล้ว เหล่าผู้นำจากแต่ละเผ่าล้วนยืนขึ้นทีละคน จ้องรูปปั้น สีหน้าของพวกเขาไม่ได้ดูตกใจแบบธรรมดาแล้ว แต่เป็นสั่นสะเทือนและตื่นตะลึง!

“โม่ซูมาจากเผ่าไหน?”

“เด็กนี่เป็นใคร!”

“หากเขาโค่นเยี่ยวั่งลงได้ จะต้องสั่นสะเทือนไปทั้งเผ่าร่องลมแน่นอน”

“โม่ซูคนนี้ ไม่ว่าอันดับจะเป็นอย่างไร ภายภาคหน้าจะต้องมีแต่คนรู้จักเขา!”

เป่ยหลิงกำหมัดแน่น ในใจของเขาราวกับมีเสียงร้องคำราม เขาหวังให้โม่ซูชนะ! อูลาที่อยู่ด้านข้างตื่นเต้นจนใบหน้าแดง ยืนมองการต่อสู้ระหว่างอันดับหนึ่งและสองตาไม่กะพริบ

และยังมีเฉินชง เขายืนเหม่อมองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น เวลานี้หากมีคนอื่นบอกเขาว่า ก่อนเริ่มงานประลองในด่านแรก ซูหมิงเคยตามกลุ่มคนเข้ามาโอบล้อมตัวเขา มองเขายิ้มและหัวเราะ มองเขาเดินไปหาไป๋หลิง เขาเฉินชงจะไม่เชื่อเด็ดขาด!

ปี้ซู่กำหมัดแน่น จ้องรูปปั้น ดวงตามีเพลิงโทสะและความริษยาอย่างบ้าคลั่ง เขาคิดมาตลอดว่าเกียรติยศของโม่ซูในตอนนี้เดิมทีมันควรจะเป็นของเขา แต่เจ้าโม่ซูสมควรตายมาแย่งมันไป

ณ มุมห่างไกลมุมหนึ่งบนลาน สีหน้าของจิงหนานไม่ได้เรียบเฉยอีกต่อไป แต่เผยความตื่นตะลึง มองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น มองเยี่ยวั่งที่ทะยานขึ้นในชั่วพริบตา เขาคาดการณ์ได้ว่าเยี่ยวั่งจะต้องฝืนดูดซับโลหิตหมานเป็นแน่

“ซูหมิง…เป็นใครกันแน่ มีสายเลือดอะไร……ไม่อยากเชื่อเลยว่าเขา…เขาจะมีศักยภาพถึงเพียงนี้!” จิงหนานสูดลมหายใจเข้าลึก ความตื่นตะลึงบนใบหน้าไม่อาจปกปิดได้

“โม่ซัง เขา…เขาเป็นองค์ชายของต้าอวี๋จริงหรือ?” จิงหนานลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา

โม่ซังเพียงยิ้มบาง ไม่กล่าวสิ่งใด ทว่าความจริงแล้วในใจของเขาไม่อาจสงบลงได้ เกิดเป็นลูกคลื่นใหญ่ยักษ์เช่นกัน

บนเขา หมอกม้วนตัวเคลื่อนไหว ยอดเขาสั่นสะเทือน เสียงคำรามจากยอดเขาดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในเสียงคำรามดังกล่าวราวกับแฝงไว้ด้วยความหมายโดยนัยที่ไม่อาจกล่าวได้

ซูหมิงตัวสั่นเทา สีหน้าดูโหดเหี้ยมไร้สติ นิ้วชี้มือขวาของเขายามนี้กดลงบนดวงตาข้างขวา ในดวงตาถูกย้อมไปด้วยโลหิตครึ่งดวง!

นี่คือระดับความยากของเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สาม มันเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ ไม่นึกเลยว่ามีแรงต้านมหาศาลเช่นนี้เป็นตัวช่วยแล้วก็ยังทำไม่เสร็จสมบูรณ์

เทียบกับทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้แล้ว มันไม่อาจเปรียบกันได้เลย เหมือนกับว่าในครั้งที่สามนี้เป็นจุดตรวจ เป็นดั่งคอขวด!

เขายืนอยู่บนขั้นแปดร้อยห้าสิบเก้า ตรงนี้ยังไม่ใช่จุดที่เขาตามหา ภายใต้เพลิงโลหิตแผดเผา ราวกับเปลวเพลิงอาบไปทั้งตัวของซูหมิง โลหิตในร่างกายเหมือนกำลังมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง จากโลหิตธรรมดากลายเป็นเพลิงอย่างรวดเร็ว

ความเจ็บปวดในร่างกาย แรงต้านจากภายนอก ทำให้ซูหมิงคิดจะขอยอมแพ้ ทว่าพอนึกถึงวิกฤตในชนเผ่า นึกถึงใบหน้าโรยราที่ปิดซ่อนความกังวลของท่านปู่ ความเจ็บปวดทั้งหมด ซูหมิงล้วนทนไหว!

เขาอยากแข็งแกร่ง อยากช่วยท่านปู่ อยากปกป้องครอบครัวของตัวเอง ปกป้องชนเผ่าของเขา เขาอยากจะสังหารศัตรูเพื่อชนเผ่า เอยากใช้โลหิตบอกกับศัตรูอย่างเผ่าภูผาดำว่า จงอย่ามาเหยียบย่ำ!

ซูหมิงแผดเสียงคำรามราวกับอยากระบายความเจ็บปวด ขณะแผดเสียงร้อง เขาใช้นิ้วมือขวาป้ายไปในดวงตาต่ออย่างช้าๆ ทว่ากลับแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว

ในยามนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่คิดจะห้ามเขาซูหมิงไม่ให้ปกป้องชนเผ่าและชาวเผ่า ล้วนต้องเป็นศัตรูของเขาไปชั่วชีวิต!

ดวงตาทั้งสองข้างราวกับเปลวเพลิงแผดเผา ซูหมิงยกเท้าขึ้นและก้าวเดินต่ออย่างบ้าคลั่ง หนึ่งก้าว หนึ่งก้าว…จากแปดร้อยห้าสิบเก้าไปแปดร้อยหกสิบ แปดร้อยหกสิบเอ็ด แปดร้อยหกสิบสอง แปดร้อยหกสิบสาม…จนกระทั่งถึงแปดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด

ร่างกายของเขาพ่นหมอกโลหิตอีกครั้ง ขีดจำกัดของเขา…มาถึงแล้ว!

ขั้นแปดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด เขาไม่อาจก้าวเดินต่อไปได้แล้ว

“เพลิงโลหิตแผดเผา!” ในช่วงที่ถึงขีดจำกัด ซูหมิงแหงนหน้าร้องขึ้นฟ้า ยามที่มันดังกึกก้องกังวาน ดวงจันทร์บนท้องฟ้าพลันเปล่งแสงสว่างจ้าถึงที่สุดในค่ำคืนนี้ แสงจันทร์ที่ผู้อื่นไม่อาจมองเห็นตกลงจากฟากฟ้า หลั่งไหลเข้าไปในตัวของซูหมิง

ยอดเขาใต้ฝ่าเท้าซูหมิงสั่นสะเทือน หมอกราวกับดุเดือดขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน มันไหลเชี่ยวกรากปกคลุมโดยรอบแปดทิศ คลับคล้ายกลายเป็นรูปทรงพิลึกบางอย่าง มันเหมือนกับสัตว์ตัวใหญ่ยักษ์ ทว่ากลับเลือนรางมองไม่ชัด

ตามการสั่นสะเทือนบนยอดเขา กลิ่นอายพลังพิลึกที่ไม่อาจบรรยายได้พลันปะทุขึ้นจากภูเขาลูกนี้ ก่อนหลั่งทะลักด้วยความเร็วโดยมีซูหมิงเป็นศูนย์กลาง ในช่วงที่กลิ่นอายพลังทะลวงเข้าไปในร่าง ซูหมิงป้ายดวงตาขวาของเขาจนเป็นโลหิตสีแดงไปทั้งดวง

เพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สาม สำเร็จ!

มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวเกิดขึ้นในร่างของซูหมิง ก่อนพบว่าบนตัวเขามีเส้นเลือดปรากฏขึ้นทั้งหมด อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ปรากฏขึ้นทีละเส้น ทำให้ซูหมิงสัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งในตัวเขาที่มากขึ้นเรื่อยๆ

แทบจะในเสี้ยวลมหายใจ เส้นเลือดบนตัวซูหมิงมีมากกว่าหนึ่งร้อยเก้าเส้น เขาพลันทะลวงสู่ลำดับหกขั้นรวมโลหิต

ทว่าเส้นเลือดยังคงเพิ่มขึ้นทีละเส้นอย่างต่อเนื่อง ซูหมิงยกเท้าขึ้นบนขั้นแปดร้อยเจ็ดสิบแปด ในช่วงที่เหยียบลง ภูเขาทั้งลูกสั่นสะเทือนอีกครั้งทันที กลิ่นอายพลังพิลึกหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุดยั้ง ซูหมิงเดินขึ้นไปบนขั้นแปดร้อยเจ็ดสิบเก้า และยังคงเดินต่อไป!

แปดร้อยแปดสิบสาม แปดร้อยแปดสิบห้า แปดร้อยแปดสิบเก้า…จนกระทั่งถึงขั้นแปดร้อยเก้าสิบเก้า เส้นเลือดบนตัวซูหมิงมีมากถึงหนึ่งร้อยห้าสิบหกเส้น

โลหิตในร่างกายของเขาทั้งหมดราวกับกลายเป็นเปลวไฟ คลับคล้ายร่างกายแฝงไว้ด้วยเพลิงแผดเผาฟ้าดิน ทว่าจันทร์โลหิตในดวงตาของเขากลับค่อยๆ เลือนราง ถูกปกคลุมจนมืดมิด เหมือนกับว่าหากทำเพลิงโลหิตแผดเผาครั้งที่สาม ก็จะถูกกักเอาไว้ภายใน ไม่เผยให้เห็น!

จนถึงตอนนี้ เคล็ดวิชาหมานเพลิง นับว่าสำเร็จในขั้นตอนแรก ซูหมิงพลันยกเท้าเหยียบบนขั้นเก้าร้อย เขายืนมองไปด้านบน จากจุดนี้เห็นเหมือนกับว่าบนยอดเขามีรูปปั้นสัตว์นอนคว่ำหน้าอยู่

ความรู้สึกเหลือเชื่ออบอวลไปทั้งกายและใจของซูหมิง รูปปั้นสัตว์ดังกล่าวมองดูแล้วคล้ายพยัคฆ์ตัวหนึ่ง ทว่ากลับมีปีกใหญ่ทั้งสองข้าง เหมือนมันกำลังดิ้นรนบินขึ้น ทว่ากลับถูกตรวนเหล็กพันธนาการเอาไว้ กลิ่นอายความแค้นตลบอบอวลอย่างรุนแรง ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความอ้างว้าง

เขามองรูปปั้นสัตว์ดังกล่าว มีความรู้สึกว่ารูปปั้นสัตว์ตัวนี้กำลังมองเขาอยู่เช่นเดียวกัน หนึ่งคนหนึ่งสัตว์ บนเขาลูกนี้ ห่างกันเพียงหนึ่งร้อยกว่าขั้น เหมือนกางกั้นด้วยกาลเวลา ต่างมองกันและกันอย่างสุขุม

ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงหลับตาลง เขาสัมผัสได้ว่าบนรูปปั้นสัตว์ตัวนั้น มีกลิ่นอายพลังที่เขาคุ้นเคยอยู่ มันเป็นของ…เผ่าหมานเพลิง…

นี่คือรูปปั้นสัตว์ประหลาดของเผ่าหมานเพลิง!

ขณะหลับตา ซูหมิงยังสัมผัสได้อีกว่าบนขั้นเก้าร้อยแห่งนี้ เป็นจุดที่มีแรงสมดุลอย่างที่เขาตามหา เส้นเลือดหนึ่งร้อยห้าสิบหกเส้นบนตัวค่อยๆ หายไปอย่างรวดเร็วตามความคิดของเขา ตั้งใจว่าเมื่อฟ้าสว่าง ซูหมิงจะทำการขัดเกลาในขั้นสุดท้าย

เยี่ยวั่งมีเส้นผมยุ่งเหยิง สีหน้าดูเหี้ยมโหดไร้สติถึงขีดสุด เขาเดินไปไม่ถึงสิบก้าวก็ทุบไปยังหน้าอกของตัวเองอย่างไม่ลังเล เขาแหลมเลือนรางลงเรื่อยๆ อีกทั้งแสงสีแดงยังเริ่มอ่อนลงเช่นเดียวกัน เขาเดินต่อโดยไม่แยแสทุกสิ่ง ความหยิ่งผยองของเขา ทำให้เขาแพ้ไม่ได้!

แปดร้อยแปดสิบเอ็ด แปดร้อยแปดสิบสอง…..จนกระทั่งถึงแปดร้อยเก้าสิบเจ็ด แปดร้อยเก้าสิบเก้า…เยี่ยวั่งใช้มือขวาทุบหน้าอกอีกครั้ง ภาพเขาแหลมพลันหายไป แล้วแทนที่ด้วยพลังเฮือกสุดท้ายของเขาที่อัดแน่นไปทั้งตัว เขาแผดเสียงคำราม เดินขึ้นไปบนขั้นเก้าร้อย และยังเดินต่อไปอีกหลายก้าว จนมาถึงขั้นเก้าร้อยห้า

ทันใดนั้น เยี่ยวั่งกระอักโลหิต ลำตัวค่อยๆ ล้มลง ตราหินในมือหล่นลงพื้น กระเด็นห่างจากตัวเขา ก่อนกลายเป็นหมอกดำโอบล้อมตัวเยี่ยวั่งแล้วหายวับไปจากยอดเขา

ภูเขาทั้งลูกนี้เหลือเพียงแค่ซูหมิงคนเดียว!

โดยรอบเงียบเป็นเป่าสาก บนลานก็เช่นเดียวกัน เมื่อเยี่ยวั่งปรากฏตัวขึ้นก็หมดสติไปในทันที สีหน้าของจิงหนานมืดครึ้ม สั่งให้คนเข้ามาพยุงเยี่ยวั่งโดยเร็ว ก่อนจะพาไปปรับลมหายใจตรงมุมหนึ่ง

บนรูปปั้นทั้งเก้า มีเพียงชื่อเดียวที่ยังไม่เป็นสีเทา

อันดับสอง โม่ซู เก้าร้อยขั้น

ทุกคนต่างกำลังเฝ้ารอ…..

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!