ตอนที่ 78 สัญญา
หิมะลอยล่องประดุจม่านเงินงดงามปกคลุมแผ่นดินใหญ่ เชื่อมระหว่างฟ้าและดิน หลอมรวมอยู่ท่ามกลางกาลเวลา ทำให้ผู้คนยากจะลืมเลือน เกล็ดหิมะปลิวไสวตกลงเบื้องหน้าซูหมิง กลางลมหวีดหวิว หิมะบนพื้นถูกพัดขึ้นมาเริงระบำกับหิมะที่เพิ่งย่างกราย
อีกทั้งยังมีเกล็ดหิมะบางส่วนลอยอยู่หน้าไป๋หลิง พัดผ่านห่วงตุ้มหูกระดูกทั้งสองข้าง ก่อนตกลงไปในคอเสื้อหนาของนาง แล้วเริ่มละลาย
ซูหมิงได้ยินเสียงของนางแผ่วเบา ในใจเกิดความอบอุ่นแผ่ขยายไปทั้งตัว กลายเป็นความรู้สึกพิเศษ ความรู้สึกนี้มีชื่อที่ไพเราะนามว่างดงาม
ค่ำคืนที่งดงาม หิมะที่งดงาม คนทั้งสองที่งดงาม
ซูหมิงยิ้มอย่างเบิกบานใจ ยิ้มนั้นแฝงไว้ด้วยความจริงใจของเด็กหนุ่ม เขาชะงักฝีเท้า มองไป๋หลิงเด็กสาวท่ามกลางหิมะ ในยามนี้ราวกับกลายเป็นภาพชั่วนิจนิรันดร์ ฝังลึกอยู่ในความทรงจำของซูหมิง
หิมะสีขาว เสื้อสีขาว เด็กสาวงดงามเหมือนดั่งหิมะ และยังมีเสียงแผ่วเบา
ไป๋หลังงามนัก ขนตานางสั่นไหวเล็กน้อย เปื้อนด้วยหิมะบางๆ เมื่อซูหมิงเห็น เขารู้สึกว่าทุกสิ่งรอบตัวมลายหาย บนผืนฟ้าดินแห่งนี้เหลือเพียงเขากับนาง
ผ่านไปพักใหญ่ ตอนที่ไป๋หลิงถูกสายตาของซูหมิงจ้องมองจนแดงเรื่อ เขาใช้มือขวาถอดสร้อยเขี้ยวกระดูกบนคอตัวเอง จากนั้นเลือกชิ้นที่ใหญ่ที่สุด มีขนาดยาวประมาณนิ้วก้อย ส่งให้ไป๋หลิง
เขี้ยวกระดูกเป็นสีขาวทั้งชิ้น มีลักษณะเป็นจันทร์เสี้ยว ด้านบนสลักตัวอักษรเอาไว้สองตัว นั่นคือชื่อของซูหมิง ภายในราวกับแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังรวดเร็วและดุดัน
“กระดูกชิ้นนี้ท่านปู่ให้ข้าตอนเข้าร่วมพิธีชี้นำหมานครั้งแรกตอนเจ็ดขวบ เป็นของที่ข้าชอบมากที่สุด ข้า…ให้เจ้า” ซูหมิงเผยรอยยิ้ม ในใจตื่นเต้นเล็กน้อย ในชนเผ่า การให้ของประเภทนี้มีความหมายพิเศษซ่อนอยู่
ไป๋หลิงเม้มปาก ใบหน้าแดงยิ่งกว่าเก่า หัวใจของนางเต้นแรงเช่นเดียวกัน เสียงหัวใจของนางทำให้ทุกอย่างรอบตัวมลายหาย เหลือเพียงซูหมิง
ผ่านไปพักใหญ่ ไป๋หลิงจึงใช้มืองามรับเขี้ยวกระดูกไป ในช่วงที่มือสัมผัสกับเขี้ยวกระดูก นิ้วมือนางสั่นไหว รับเอาไว้อย่างเบามือ
ซูหมิงมีใบหน้าตื่นเต้น รออยู่ครู่หนึ่ง เห็นไป๋หลิงเพียงมองเขี้ยวกระดูก ไม่ได้มีท่าทีอย่างไรต่อ เขาจึงเกาศีรษะ ทำให้หิมะบนเส้นผมร่วงลงเล็กน้อย
ไป๋หลิงมองซูหมิงแวบหนึ่ง เห็นท่าทางทึ่มๆ ของเขาแล้ว ก็อดส่งเสียงหัวเราะน่ารักมิได้ นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ทว่ากลับทำให้รู้สึกอบอุ่น
“เอ่อ…อะแฮ่ม เจ้าลืมอะไรหรือเปล่า?” ซูหมิงโดนไป๋หลิงหัวเราะใส่ ก็หน้าแดงเหมือนกัน
“อะไร?” ไป๋หลิงยังคงหัวเราะ รอยยิ้มงดงามมาก เมื่อมีเกล็ดหิมะช่วยขับให้เด่นท่ามกลางลมหนาว ทำให้ยากจะลืมเลือน
ซูหมิงใบหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม ทว่าไม่นานก็กัดฟัน มองไป๋หลิงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก กล่าวอย่างจริงจังว่า “ไป๋หลิง ข้าเป็นคนช่วยชีวิตเจ้า…ข้า…”
“ข้ารู้แล้ว เจ้าเป็นคนช่วยชีวิตข้า ว่าแต่มันเกี่ยวอะไรกับที่ข้าลืม?” ไป๋หลิงกะพริบตา
“เกี่ยวแน่นอน เอ่อ…ไม่พูดดีกว่า หืม ตุ้มหูกระดูกเจ้างดงามมาก ถอดมาให้ข้าดูหน่อย” ซูหมิงกวาดตามอง กล่าวขึ้นทันที
ไป๋หลิงหัวเราะหนักขึ้น ก่อนใช้มือลูบตุ้มหูกระดูกสีขาวสะอาดใต้หูซ้ายอย่างเจ้าเล่ห์ตามนิสัย พลางมองซูหมิง
“สิ่งนี้ท่านแม่เก็บไว้ให้ข้า…ไม่ให้เจ้าหรอก” ไป๋หลิงยิ้มน่ารัก เห็นซูหมิงเบิกตากว้าง ราวกับพยามจะเข้ามาแย่ง นางก็รีบวิ่งหนีไปด้านหลังทันที เสียงหัวเราะสะท้อนไปไกลท่ามกลางลมพายุหิมะ ไพเราะเหมือนกับกระดิ่งเงิน
แม้ว่านางจะกล่าวเช่นนั้น ทว่าเขี้ยวกระดูกของซูหมิงยังคงอยู่ในมือของนางตลอดเวลา ราวกับมันเป็นสมบัติล้ำค่า
ซูหมิงถลึงตามองเหมือนไม่ยินยอม รีบตามไปทันที ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างมีความสุขท่ามกลางค่ำคืนหิมะ ไป๋หลิงยังคงไม่ให้ตุ้มหูกระดูกกับเขา ทว่าความอ่อนโยนในแววตาของนาง ซูหมิงกลับทึ่มทื่อ สัมผัสได้เพียงเล็กน้อย
“ซูหมิง สิบปีหลังจากนี้ พวกเราจะเป็นอย่างไร…จะยังมีความสุขแบบนี้หรือไม่…” ไป๋หลิงนั่งหอบอยู่บนพื้น มองหิมะบนท้องฟ้า ขณะกล่าวขึ้นเบาๆ
ซูหมิงใช้สองมือประสานท้ายทอย แล้วเอนกายนอนข้างไป๋หลิง พื้นหิมะนุ่มยิ่งนัก เขามองหิมะบนท้องฟ้าเช่นเดียวกันพลางฟังไป๋หลิง
“ยังโกรธอยู่อีกหรือ?” ไป๋หลิงหันกลับไปมอง ดวงตางามเป็นประกายวูบวาบ อมยิ้มมองซูหมิง
“อย่าโกรธเลยนะ”
“ข้าไม่ได้โกรธ” ซูหมิงทำเสียงหึ ทว่ายังคงมองไป๋หลิงตลอดเวลา ใบหน้าเผยรอยยิ้ม
“สิบปีหลังจากนี้ พวกเราจะต้องมีความสุขเช่นนี้อย่างแน่นอน…อีกทั้งตอนนั้น ขั้นพลังของข้าจะต้องสูงมากแน่!” แววตาซูหมิงแฝงไว้ด้วยการเฝ้ารอคอย
“เมื่อวานท่านปู่คุยกับข้าว่า จากนี้ไปข้าจะอยู่ในเผ่าร่องลม เป็นเหมือนกับเยี่ยวั่ง ได้จ้าวหมานเผ่าร่องลมช่วยบ่มเพาะ…บางทีสิบปีหลังจากนี้ ข้าอาจเฉียดใกล้ขั้นชำระล้างก็ได้” ซูหมิงส่งเสียงหัวเราะ
ได้ยินดังนั้น นัยน์ตาไป๋หลิงฉายแววเฝ้ารอเช่นเดียวกัน บนใบหน้ามีรอยยิ้มแห่งความสุข สนทนากับซูหมิงไม่รู้จบสิ้นท่ามกลางค่ำคืนหิมะ
ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ จนกระทั่งอีกสักพักจะเข้าสู่เช้าวันใหม่ แต่ท้ายที่สุดแล้วต้องมีวันเลิกรา ไป๋หลิงต้องรีบกลับเรือนพักของนาง ทั้งสองจึงกลับไปยังนอกเมืองหินโคลน
“ให้ข้าส่งเจ้ากลับเรือนพักเถอะ” ซูหมิงย่อตัวลง แสดงเจตนาให้ไป๋หลิงขึ้นมา
ไป๋หลิงยิ้มอย่างมีความสุข ก่อนพาดตัวไปบนหลังของซูหมิงอย่างว่าง่าย สัมผัสได้ว่าเขากำลังหัวใจเต้นแรง ความรู้สึกเช่นนี้ ทำให้ใบหน้าของนางดูเขินอายตลอดเวลา
“เจ้าทึ่ม…” ไป๋หลิงกล่าวขึ้นเบาๆ ขณะอยู่บนหลังของซูหมิงที่กำลังพุ่งทะยานแผ่วเบา
ซูหมิงห้อเหยียดตลอดทาง แบกไป๋หลิงกระโดดข้ามกำแพงเมืองตรงจุดห่างไกลผู้คน เมื่อเข้ามาในเมืองหินโคลนแล้ว ใบหน้าของเขากลายเป็นโม่ซู ชะงักฝีเท้าอยู่นอกเรือนเผ่ามังกรทมิฬ ก่อนไป๋หลิงจะลงจากหลังของเขาอย่างไม่เต็มใจนัก
นางมองซูหมิง มองชายหนุ่มตรงหน้า แม้ภายนอกจะดูแปลกตา ทว่าดวงตาทั้งสองข้าง นางไม่มีวันลืมไปชั่วนิจนิรันดร์
ซูหมิงก็มองนางเช่นเดียวกัน ทั้งสองสบตากันบนถนนท่ามกลางหิมะ
“เอาละ ไม่ต้องโกรธแล้ว” ไป๋หลิงจัดเครื่องแต่งกายให้ซูหมิงเหมือนตอนจากกันครั้งก่อน ปัดหิมะด้านบนให้เล็กน้อย ใบหน้าเผยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“ตุ้มหูกระดูกเจ้าสวยมากจริงๆ” ซูหมิงหัวเราะแหะๆ
เห็นท่าทางของซูหมิง ไป๋หลิงจึงส่งเสียงหัวเราะอีกครั้ง พลางมองเขาอย่างลึกล้ำ ความเขินอายบนใบหน้างามชัดเจนขึ้น ก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ซูหมิง…เจ็ดวันหลังจากนี้ สำหรับข้าแล้วมันเป็นวันที่สำคัญที่สุด……ทุกปีในวันนั้นจะเป็นวันที่ข้าอยู่กับท่านยาย…ปี้นี้ ข้าหวังจะอยู่กับเจ้า…ได้หรือไม่” ไป๋หลิงคล้ายเรียกความกล้า น้ำเสียงแผ่วเบายิ่งนัก ทว่าซูหมิงกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน นัยน์ตาของเขาฉายแววยินดี มองไป๋หลิงแล้วพยักหน้าหนักแน่น
“นี่เป็นคำสัญญานะ…” ไป๋หลิงยิ้มอย่างขวยเขิน มองตาซูหมิง
“อืม เป็นสัญญา เจ็ดวันหลังจากนี้ ไม่ว่าข้าจะอยู่ไหน ไม่ว่าข้าจะทำอะไร ข้าจะไปหาเจ้าอย่างแน่นอน…” ซูหมิงกล่าวอย่างจริงจัง
หิมะยังคงโปรยปราย ราวกับเป็นประจักษ์พยานของคนทั้งสอง สัญญาของพวกเขา…ไม่ทราบว่าจะเป็นสิ่งงดงาม หรือว่าจะเป็น…เสียงถอนหายใจ
“อืม ในวันนั้นข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ชนเผ่า…..ตุ้มหูนี้ ข้าจะให้เจ้าเมื่อถึงตอนนั้น” ไป๋หลิงลูบตุ้มหูกระดูก กล่าวเสียงเบา แม้แต่ใบหูยังแดงเรื่อ
“ข้าต้องไปแน่นอน!” ซูหมิงยิ้มอย่างมีความสุข สุขมากจริงๆ…..
ไป๋หลิงกัดริมฝีปาก ความเขินอายบนใบหน้ายังไม่เลือนหาย นางหมุนตัวก่อนเดินเข้าไปในเรือนพัก ในช่วงที่เปิดประตูใหญ่แล้วเดินเข้าไป
นางหันกลับมามองซูหมิงแวบหนึ่ง แล้วหายลับเข้าไปในเรือน
ซูหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม หัวใจอัดแน่นไปด้วยความสุข อีกทั้งยังเฝ้ารอสัญญาในอีกเจ็ดวันให้หลังนี้
“เจ็ดวัน…” ซูหมิงยิ้มเบิกบาน ก่อนหมุนตัววิ่งทะยานกลับไปยังเรือนพักของตน
หิมะโปรยปรายจากท้องฟ้า ประหนึ่งทราบถึงความยินดีของซูหมิง มันคอยติดตามข้างกายเขา หมุนวนไปรอบๆ ถูกลมพัดขึ้นมาผสานเข้ากับผืนฟ้าดิน
ซูหมิงห้อเหยียดด้วยความเร็ว ความปีติในจิตใจกลายเป็นความอบอุ่นปกคลุมทั้งตัว ทำให้เขาลืมความทุกข์ใจ ลืมความกลัดกลุ้ม ไม่นานเขาก็กลับมาถึงเรือนพักเผ่าเขาทมิฬ
ช่วงที่กลับมาถึง ซูหมิงคืนร่างดังเดิม มองเรือนพักเผ่าเขาทมิฬกลางหิมะที่อยู่ไม่ไกลนัก สูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปทีละก้าวด้วยหัวใจเป็นสุข
ภายในเรือนเงียบสงบ แม้จะเป็นคืนเดือนมืด ทว่าหิมะบนท้องฟ้ากลับสะท้อนแสงเงินให้ความสว่าง ประตูใหญ่เผ่าเขาทมิฬปิดสนิท คลับคล้ายอบอวลไปด้วยแรงกดดันมหาศาล เมื่อซูหมิงเข้าไกล้ ราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
โดยเฉพาะเมื่อผลักประตูเข้าไป หลังจากกวาดสายตามองไปในลานบ้านแล้ว ซูหมิงพลันแข็งค้างไปทั้งตัว ความสุขในใจก่อนหน้านี้หายไปในชั่วพริบตา แล้วแทนที่ด้วยความตื่นตระหนก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน!
ในลานบ้านมีผู้นำกองรักษาการณ์ ซานเหิน เป่ยหลิง เหลยเฉิน และอูลาอยู่กันครบ สีหน้าพวกเขาส่วนใหญ่ดูสับสน แฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวและร้อนใจ ตรงหน้าพวกเขา ท่านปู่มีใบหน้าขาวซีด กำลังนั่งขัดสมาธิหอบหายใจแรง เกล็ดหิมะสีขาวบนใบหน้ายังมีโลหิตดำน่าสะพรึง
ในช่วงที่ซูหมิงเปิดประตูเข้ามา ทุกสายตาพลันจับจ้องมาที่ตัวเขา
“ท่านปู่!” มีเสียงโครมครามดังขึ้นในสมองของซูหมิง
ความคิดขาวโพลน วิ่งไปหาท่านปู่เหมือนคลุ้มคลั่ง เห็นใบหน้าชราของท่านปู่เผยความอ่อนแรงเป็นครั้งแรก โดยเฉพาะโลหิตดำบนเกล็ดหิมะ กระทั่งยังมีเปื้อนอยู่บนผ้าเนื้อหยาบด้วยเล็กน้อย ซูหมิงตัวสั่นเทา