ตอนที่ 82 ซูหมิง เยี่ยวั่ง
ชีวิตคนเรามีสั้นมียาว มีรุ่งเรืองและตกต่ำ กฏเกณฑ์เหล่านี้ซูหมิงไม่เข้าใจ เขาเข้าใจเพียงว่าตนควรทำเช่นนี้ ชนเผ่าคือบ้านของเขา
ช่วงที่ปล่อยหมัดเข้าใส่ มีเสียงดังกรุบๆ มาจากมือขวาของเขา มันเป็นเสียงของกระดูกที่ไม่อาจแบกรับไหว เสียงของกล้ามเนื้อฉีกขาด ในตอนที่หมัดกระทบกับบานประตู พลันส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ราวกับสามารถทำให้เมฆลมเปลี่ยนสี ทำให้ลมพายุหิมะหยุดชะงัก
เห็นกับตาเลยว่าบานประตูดังกล่าวค่อยๆ แหลกสลายกลายเป็นเศษจำนวนมาก คลับคล้ายผืนป่าถูกคลื่นลมพายุซัดสาดจนโค่นล้ม
ส่งเสียงโครมดังก้องกังวานแปดทิศ ในเวลาเดียวกัน เทวรูปหมานหิมะเกิดรอยแตกจำนวนมาก ทว่าก็ยังไม่สลายเหมือนกับบานประตู
ตอนนี้เบื้องหน้าซูหมิงไม่มีบานประตู มีเพียงเศษชิ้นส่วนกองอยู่เต็มพื้น ทว่าเทวรูปหมานหิมะยังกั้นกลางเอาไว้ มันลอยเคว้งอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงสว่างอ่อนนุ่มเป็นม่านไร้ลักษณ์ที่ไม่เคยแหลกสลาย
ประตูบานนี้เสมือนเป็นเพียงที่ประทับแสงเท่านั้น จึงทำให้มันยากจะเปิดได้ถึงเพียงนี้ เมื่อประตูแหลกเป็นชิ้น สิ่งที่เผยให้เห็นคือผนึกที่แท้จริง!
แต่ถึงกระนั้นแสงกลับไม่สว่างจ้า และไม่ทึบเช่นเดียวกัน เห็นได้ชัดว่ามันยังคงแข็งแกร่ง
ซูหมิงไม่แปลกใจ เขาคาดการณ์เอาไว้แล้ว ผนึกของท่านปู่จะถูกทำลายลงอย่างง่ายดายได้อย่างไร แทบจะเป็นช่วงที่ม่านแสงปรากฏขึ้น ซูหมิงพลันเดินหน้าไปหนึ่งก้าว เส้นเลือดหนึ่งเส้นบนตัวเขายังคงเปล่งแสงโลหิตแสบตา มันคล้ายปะทุขึ้นพร้อมกับการเคลื่อนไหวของซูหมิง ซึ่งปล่อยหมัดเข้าไปอีกหนึ่งครั้ง
หมัดนี้เหมือนชกโดนอากาศ ทว่าความจริงแล้วอัดเข้าใส่ม่านแสงเต็มๆ ทำให้ม่านแสงพลันสั่นสะเทือน ทว่าแสงสว่างในตัวมันยังคงอยู่
ซูหมิงตาแดง โจมตีอย่างต่อเนื่อง ผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อแสงอ่อนลงถึงขีดสุด มีโลหิตไหลมาจากมุมปากของซูหมิง เขาถอยหลังไปหลายก้าว พลันยกมือขวาขึ้น สายตาจับจ้องม่านแสง ก่อนสับมือลงด้านขวา!
สามตัดสังหาร!
ในเผ่าเขาทมิฬ เคล็ดวิชานี้เป็นหนึ่งในวิชาหมานที่แข็งแกร่ง ตำนานเล่าว่าได้รับสืบทอดมาจากเผ่าเขาทมิฬที่แท้จริงเมื่อหลายร้อยปีก่อน
หากคิดจะสำแดงเคล็ดวิชานี้ จุดสำคัญไม่ได้อยู่ที่การฝึกฝน เพราะการฝึกเป็นเรื่องที่ง่ายดายนัก เมื่อนานมาแล้ว ซูหมิงมักจะขบคิดถึงเคล็ดวิชานี้เป็นประจำ ทว่าเพราะไม่มีเส้นเลือดสองร้อยเส้น จึงไม่อาจใช้ได้
สิ่งที่ยากสำหรับการฝึกเคล็ดวิชานี้คือเงื่อนไขจำนวนเส้นเลือด จำต้องมีให้ถึงสองร้อยเส้นเท่านั้นถึงจะใช้ตัดสังหารแรกได้! ตอนนี้ซูหมิงมีสองร้อยสี่สิบสามเส้น ทะลวงสู่ลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต ฉะนั้นเคล็ดวิชาสามตัดสังหารที่อยู่ในความคิดของเขามาโดยตลอดนี้ จึงถูกสำแดงเป็นครั้งแรก!
สามตัดสังหาร อาจสังหารไท่ซุ่ย (เทพของจีน) สามตัดสังหารเรียกได้อีกอย่างว่า สามพิฆาต!
ท่ามกลางฟ้าดิน เจวี๋ย (ตัดขาด) ไท (จุดเริ่มต้น) และหยั่ง (เพาะบ่ม) สามฝ่ายนี้ เจวี๋ยเป็นมารแห่งการปล้นชิง ไทเป็นมารแห่งภัยพิบัติ หยั่งเป็นมารแห่งกาลเวลา! เรียกได้อีกอย่างว่าสามเคล็ดวิชา ปล้นชิงสังหาร ภัยพิบัติสังหาร และกาลเวลาสังหาร!
เมื่อนานมาแล้ว ไม่ทราบว่าเผ่าเขาทมิฬได้เคล็ดวิชานี้มาจากที่ใด เมื่อลองศึกษากันอย่างลงลึกแล้ว ทั้งชนเผ่าถึงกับสั่นสะเทือน
ไม่อยากเชื่อว่าบนโลกใบนี้จะมีมารทั้งสามอยู่จริง ทว่ามันก็เหมือนไม่มีอยู่จริง มองไม่เห็น ไม่อาจสัมผัสได้ บางทีอาจจะมี หรือบางที…อาจไม่มี
ทว่าเผ่าเขาทมิฬที่เคยแข็งแกร่งในตอนนั้นศึกษากันอย่างต่อเนื่อง และเริ่มพบเจอเบาะแสอะไรหลายอย่าง ในช่วงเวลาที่ต่างกันทุกวัน มารทั้งสามจะสำแดงเคล็ดวิชามหัศจรรย์ที่โด่งดังไปทั่วแปดทิศในตำแหน่งที่แตกต่างกัน นั่นก็คือสามตัดสังหาร!
ปราชญ์แห่งเผ่าเขาทมิฬคิดว่าฟ้าดินมีรูปแบบ มารทั้งสามเป็นเพียงส่วนหนึ่งของรูปแบบเท่านั้น ทว่ามันก็มีอยู่จริง พลังทุกสิ่งล้วนอยู่ในรูปแบบนี้ ฉะนั้นหากรูปแบบถูกทำลาย ก็จะระเบิดพลังแข็งแกร่งน่าเหลือเชื่อ
ส่วนความแข็งแกร่งของมันจะมีมากน้อยเพียงไหน แม้แต่เผ่าเขาทมิฬยังไม่อาจศึกษาจนละเอียด เคล็ดวิชานี้ลึกลับยิ่งนัก บ้างน่าสะพรึง บ้างธรรมดา แต่แม้มันจะธรรมดา ทว่าก็เพียงพอจะสังหารมนุษย์ได้!
ฉะนั้นเคล็ดวิชาสามตัดสังหารที่สืบทอดมาจึงค่อนข้างหยาบ ขอแค่มีเส้นเลือดที่เพียงพอก็สามารถสำแดงพลังได้แล้ว แต่ผู้ที่ใช้เคล็ดวิชานี้ได้ถึงแก่นอย่างแท้จริง กลับหาได้ยากยิ่งนัก
มันเป็นพลังที่ผู้คนในเผ่าเขาทมิฬยังไม่อาจเข้าใจ พวกเขาใช้ได้ แต่ควบคุมมิได้ กระทั่งจ้าวหมานเผ่าเขาทมิฬในตอนนั้นยังเคยกล่าวไว้ว่า ใครที่ควบคุมสามตัดสังหารได้อย่างแท้จริง ผู้นั้นจะเข้าใจในรูปแบบของทั้งแปดทิศ!
ซูหมิงในยามนี้ก็เป็นเช่นนั้น ที่เขาใช้มือขวาฟันลงไปก็เพราะว่าตอนนี้เป็นกลางดึก ตามหลักของสามตัดสังหารแล้ว ช่วงเวลานี้ มารทั้งสามแห่งรูปแบบฟ้าดินจะอยู่ตรงทิศเหนือ!
และด้านขวาของซูหมิงก็เป็นทิศเหนือ! ในช่วงที่เขาฟันมือขวาลงไป เส้นเลือดทับซ้อนหนึ่งเส้นบนตัวเขาเปล่งแสงโลหิตสว่างจ้าละลานตา
เส้นเลือดในแสงโลหิตเคลื่อนไหวพิลึก หลังจากพันแขนขวาของเขาครบเก้ารอบแล้ว จึงไหลไปตามมือออกนอกร่างกาย ก่อนหลอมรวมเข้ากับความว่างเปล่า
นี่คือจุดสำคัญที่ว่าเหตุใดสามตัดสังหารจึงต้องมีเส้นเลือดสองร้อยเส้น นั่นก็เพราะความพิสดารของมัน เส้นเลือดราวกับไหลออกจากร่าง หากไม่มีโลหิตที่เพียงพอ ก็ยากจะทำสำเร็จ
ทันใดนั้น ซูหมิงเกิดความรู้สึกประหลาด ด้านขวาของเขาว่างเปล่าราวกับทุกสรรพสิ่งเลือนหาย ในช่วงที่เขาฟันลงไป ราวเส้นเลือดกลายเป็นมีดคมกริบ ผ่าความว่างเปล่า เหมือนตัดตะกอนดินทราย มันเป็นความรู้สึกที่แปลกยิ่งนัก เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เขาเข้าใจคือสำแดงพลังเท่านั้น!
หนึ่งฝ่ามือผ่าลง ความรู้สึกแปลกเมื่อครู่พลันมลายหาย ทุกสิ่งกลับมาเป็นเหมือนเดิม ทว่าในขณะเดียวกัน ม่านแสงอ่อนเบื้องหน้าซูหมิงพลันสั่นสะท้านอย่างรุนแรง หากมองอย่างละเอียด จะเห็นได้ชัดว่าสิ่งที่สั่นไหวไม่ใช่เพียงแค่ม่านแสง แต่มีซูหมิงเป็นใจกลาง แปดทิศรอบตัวเขากำลังสั่นสะเทือน แม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าหลังจากม่านแสงหยุดสั่นสะท้าน ก็ยังคงเป็นเหมือนเดิม เหมือนกับว่าทุกสิ่งที่ซูหมิงทำไม่ได้ส่งผลต่อมันมากนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นผนึกของท่านปู่ ระดับความแข็งแกร่ง ไม่ใช่แค่ซูหมิงกินสมุนไพรกับโลหิตหมานแล้วจะทำลายได้!
ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสำแดงเคล็ดวิชาสามตัดสังหาร แต่ด้วยขั้นพลังของเขา จึงทำได้เพียงตัดเดียวเท่านั้น อานุภาพพลังพิลึกทำให้จิตใจเขาสั่นไหว กระทั่งเมื่อได้เห็นม่านแสงแล้ว สีหน้าค่อยๆ เผยความสิ้นหวัง เขาลองมาทุกวิธี ใช้ทุกอย่างที่มีแล้ว ทว่าม่านแสงกลับเป็นเหมือนหุบเขาระหว่างฟ้าและดิน ไม่อาจข้ามไปได้
ซูหมิงมีใบหน้าขาวซีด ซวนเซถอยไปหนึ่งก้าวคล้ายหมดแรง ก่อนจะถอยไปอีกก้าว
ในช่วงที่ซูหมิงถอยหลัง สีหน้าพลันเปลี่ยน สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงแรงสั่นสะเทือนใต้ฝ่าเท้า
ณ เขาร่องลมที่ถูกปิดผนึกบนที่ราบนอกเผ่าร่องลม ท่ามกลางหมอกดำโอบล้อม ยามนี้มีเสียงร้องคำรามของสัตว์ป่าดังขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด ดินแดนที่ถูกปิดผนึกพลันสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแยกใหญ่ยักษ์พลันถูกฉีกออก เผยให้เห็นเขาร่องลมตั้งสูงตระหง่านเสียดฟ้าภายใน
“ยังไม่ถูกข้าทำลายจากภายในอีกรึ!” ภายในเสียงคำรามสัตว์ป่า มีน้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้น
ในช่วงที่รอยแยกถูกฉีกออกเผยให้เห็นเขาร่องลม ณ เมืองหินโคลนที่ห่างไกล พลันเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว สิ่งก่อสร้างในเมืองหินผากับผนึกเขาร่องลมมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างประหลาด ยามนี้ผนึกถูกเปิดออก จึงเชื่อมโยงไปถึงเมืองหินโคลน ทำให้ทั้งเมืองสั่นสะเทือน ผู้คนล้วนตื่นตระหนก
ซูหมิงสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจน อีกทั้งยังรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นผืนดินแทบพลิก เขาเห็นทันทีว่าผนึกของท่านปู่อ่อนแสงลงเป็นครั้งแรกหลังจากการสั่นสะเทือน!
ซูหมิงมีจิตใจฮึกเหิม แผดเสียงร้องต่อ ดวงตาทั้งสองข้างเริ่มปรากฏเงาจันทรา
ทว่ายามนี้พายุหิมะปกคลุมด้านนอก จึงไม่เห็นดวงจันทร์ เงาจันทราในแววตาของซูหมิงกลับเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ
แทบจะเป็นช่วงที่เงาจันทร์ปรากฏในแววตา ซูหมิงพลันพุ่งเข้าใส่ม่านแสงครั้งแล้วครั้งเล่า พร้อมกับเหตุการณ์แผ่นดินสั่นสะเทือน ทำให้ม่านแสงอ่อนลงเรื่อยๆ
ผ่านไปครู่หนึ่ง แผ่นดินสั่นสะท้านอย่างรุนแรงถึงขีดสุด ราวกับเมืองหินโคลนกำลังจะถล่มทลายในชั่วพริบตา ม่านแสงส่งเสียงโครมคราม ก่อนแตกไปครึ่งหนึ่ง แสงมอดดับประหนึ่งใกล้พังทลาย ยามนี้ซูหมิงหายวับไป ไม่นานมีแสงสีแดงวูบผ่านด้านขวาของเขา ดุจมีเส้นสีแดงปรากฏขึ้นกลางอากาศ แล้วทะลวงเข้าไปในมือขวา เส้นเลือดหนึ่งเส้นที่รวมจากสองร้อยสี่สิบสามเส้นพลันปะทุขึ้นอีกครั้งในทันใด
หอกเกล็ดโลหิตตรงมือขวาก่อตัวขึ้นกลายเป็นอินทรียักษ์สีโลหิต แผดเสียงคำราม พุ่งชนเข้าใส่ม่านแสง
ในช่วงที่เสียงโครมดังสนั่น ม่านแสงสั่นสะท้าน ก่อนแหลกสลายกลายเป็นเศษจำนวนมาก เทวรูปหมานหิมะทลายลงจนสิ้น กลายเป็นเกล็ดน้ำแข็งกระเซ็นไปโดยรอบ แล้วม้วนตัวขึ้นดั่งปะทะกับหิมะจากท้องฟ้า ก่อนส่งเสียงดังกังวานต่อเนื่อง
ซูหมิงทำลายผนึกจนสำเร็จ!
เขาตัวสั่นเทา กระอักโลหิตมาหนึ่งกอง เลือดบนพื้นดูน่าสะพรึงยิ่งนัก แสงโลหิตจากเส้นเลือดทับซ้อน ยามนี้เริ่มอ่อนลง คลับคล้ายยังไม่เสถียรภาพ ก่อนแตกกระจายกลับเข้าไปในร่างของซูหมิง
ใบหน้าซูหมิงซีดเซียว โลหิตอาบชโลมไปทั้งตัว เส้นผมยุ่งเหยิง ทว่าในแววตาเขากลับยังมีประกายแสงวูบวาบ นั่นคือความยึดมั่นและแน่วแน่!
‘ข้าออกมาได้แล้ว! จะต้องรีบกลับชนเผ่าให้เร็วที่สุด!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เขาทราบดีว่าที่ออกมาครั้งนี้ได้ ก็เพราะการสั่นสะเทือนประหลาดเมื่อครู่ ทว่าตอนนี้เขาไม่มีเวลาคิดมานัก พลันทะยานร่างไปเบื้องหน้าด้วยความเร็วสูงสุด แทบจะเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดอยู่บนพื้น
สิ่งที่เขาชำนาญมากที่สุดคือความเร็ว ก่อนเป็นนักรบหมาน เขาก็มีความเร็วที่ปราดเปรียวยิ่งนักแล้ว ยามนี้ทะลวงสู่ลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต ฉะนั้นความเร็วจึงบรรลุถึงจุดที่น่าสะพรึง
เขาออกมาจากเรือนเผ่าเขาทมิฬ พุ่งทะยานไปตามถนน ก่อนกระโดดข้ามกำแพงเมืองหินโคลน ความร้อนใจเหมือนดั่งเปลวเพลิงแผดเผา ทำให้เขาต้องเร่งความเร็วขึ้นอีก และมากขึ้นอีก!
ขณะห้อเหยียดอย่างต่อเนื่อง เหตุเพราะเขาดูดซับโลหิตหมานและใบตาข่ายเมฆาจำนวนมากจนน่าเหลือเชื่อ เคล็ดวิชาหมานอำพรางของท่านปู่จึงเกิดรอยร้าวบนตัว ขั้นพลังของเขาหลั่งทะลักประดุจน้ำเชี่ยวกราก ไม่อาจปกปิดได้ทั้งหมด
หิมะบนท้องฟ้าเบาบางลงมาก ยามนี้เพียงตกปรอยๆ เสมือนหิมะครั้งใหญ่เดินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเด่นชัดขึ้น
แผ่นดินกว้างใหญ่เป็นผืนสีเงิน ทว่าในค่ำคืนนี้ไม่งดงามนัก เพราะมันแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร…บนท้องฟ้าห่างไกล ปรากฏขอบสีขาวเลือนราง วันใหม่กำลังมาเยือน
เพียงแต่ความมืดมิดก่อนยามรุ่งอรุณ ไม่รู้เมื่อไรถึงจะหลอมละลาย
ทั้งเมืองหินโคลนในยามนี้มีเสียงดังเกรียวกราว ผู้คนจำนวนมากล้วนเดินออกมาด้วยความหวาดกลัวและสับสน พวกเขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น กระทั่งตอนนี้ ยังมีบ้านเรือนหลายหลังพลันถล่มทลายเหมือนเป็นวาระสุดท้ายของโลก
ซูหมิงไม่มีเวลามาสนใจสิ่งเหล่านี้ แทบจะเป็นช่วงที่เขาอาศัยจังหวะชุลมุนกระโดดข้ามกำแพงเมือง พลันมีภัยร้ายตรงเข้ามาโอบล้อมเอาไว้
“เจ้าไปไม่ได้!” น้ำเสียงเย็นเยือกดังขึ้น ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า ตรงเงามืดด้านหลังเขามีบุคคลหนึ่งเดินเข้ามา สวมชุดสีแดงทั้งตัว มีเปลวเพลิงที่ราวกับแผดเผาผู้คนรอบข้างได้ ใบหน้าเย็นชาเผยความหยิ่งยโส เขาก็คือเยี่ยวั่ง!
“ด้วยนามของจ้าวหมาน คืนนี้ไม่ว่าใครก็ห้ามออกจากเผ่าร่องลม! เจ้าแข็งแกร่งมาก ทว่ากลิ่นอายพลังกลับยุ่งเหยิง ในเขตนี้ข้าเป็นคนรับผิดชอบ เจ้า….ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” เยี่ยวั่งมองซูหมิง กล่าวขึ้นเรียบๆ
ซูหมิงพลันหมุนตัวไปจ้องเยี่ยวั่ง ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย ดูดุร้ายและบ้าคลั่ง มองลึกเข้าไปในแววตาของเยี่ยวั่ง ทำให้เยี่ยวั่งตื่นตะลึง แววตานี้เขาคุ้นเคย…