Skip to content

สู่วิถีอสุรา 99

ตอนที่ 99 ล่าสังหาร

ความใจร้อนของเด็กหนุ่ม ยามนี้ถูกเจียระไนจนเรียบไปไม่น้อย

เป้าหมายของซูหมิงในครั้งนี้ นอกจากช่วยท่านปู่ด้วยเคล็ดวิชามหานเพลิงจันทร์โลหิตแล้ว เขาตั้งใจว่าจะล่าสังหาร อีกทั้งยังพิจารณาและไตร่ตรองมาก่อนหน้านี้

จ้าวเผ่าภูผาดำบาดเจ็บสาหัส เสียความมุ่งมั่นในการต่อสู้ ส่วนอีกสามคนก็เป็นเช่นนั้น ทว่าถึงอย่างไรจ้าวเผ่าภูผาดำก็ไม่ใช่นักรบหมานธรรมดา การที่เขาไต่ขึ้นมาอยู่ตรงจุดนี้ได้ นอกจากขั้นพลังและเป็นคนสนิทของปี้ถูแล้ว เขายังมีสติปัญญาในการตัดสินใจอยู่เหนือกว่าผู้อื่น

หนานซงทำให้เขาตกใจกลัวได้ช่วงหนึ่ง แต่ไม่นานจะกลับมาเป็นปกติ เมื่อถึงตอนนั้น จ้าวเผ่าภูผาดำมีสองทางเลือก หนึ่งคือรอจนกว่ากำลังเสริมจะมาถึงแล้วเข้าจู่โจมพร้อมกัน หรือสองคือไม่รอกำลังเสริม เพียงแต่ปรับลมหายใจเล็กน้อยก่อนบุกโจมตีอีกครั้ง

‘ดูจากท่าทางของเขาหลังจากปี้ซู่ตาย น่าจะเลือกทางที่สอง!’

แววตาซูหมิงเป็นประกาย ขณะห้อเหยียดเขามองร่องรอยทุกอย่างโดยรอบตลอดเวลา รอยเท้ายุ่งเหยิงกับกิ่งไม้หักพวกนี้ บางทีในสายตาคนอื่นอาจจะไม่เข้าใจ แต่ในความคิดของซูหมิงที่เดินป่ามาแต่เยาว์วัย กลับมองออกอย่างชัดเจนถึงทิศทางการหลบหนีของพวกจ้าวเผ่าภูผาดำ

รอยเท้าบนพื้นหิมะแม้จะสับสนปนเป ทว่าส่วนใหญ่ไปทางเดียวกับซูหมิง มีบ้างเล็กน้อยที่ตรงเข้าไปในป่าทึบเบื้องหน้า ความตื้นลึกของมัน บอกอะไรหลายอย่างกับซูหมิง

‘ยังมีซานเหิน…เขาบอกทิศทางการอพยพของชาวเผ่า ทำให้เผ่าภูผาดำวางกับดักรอเอาไว้ ทว่าตลอดทางเขาก็สังหารคนไปไม่น้อย บาดแผลบนตัวเหมือนจะไม่ใช่ของปลอม…กระทั่งเขายังดูสมจริงมาก ตอนสู้กับจ้าวเผ่าภูผาดำก็บาดเจ็บจริง มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นถึงจะปิดบังท่านปู่หนานซงได้ แต่สุดท้ายเขาก็ยอมแบกรับโทสะของปู่หนานซง ตอนนี้จนตรอกแล้วเช่นเดียวกัน เพียงแต่ซานเหิน เขาทรยศชนเผ่าไปเพื่ออะไรกันแน่…..’

ความเจ็บปวดในแววตาแฝงไว้ด้วยความแค้น เขาไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใด

เขายังจำได้เสมอถึงภาพที่ซานเหินทำเพื่อชาวเผ่า มอบอาหารในส่วนของตนให้ผู้อาวุโส เพราะคำพูดของลาซูน้อย เขาจึงเข้าป่าเพื่อล่าเขี้ยวสัตว์มาจำนวนมาก ในขณะที่เด็กเหล่านั้นกำลังร้องด้วยความดีใจ แม้ใบหน้าเขาจะเย็นชา ทว่าความอ่อนโยนในแววตาไม่อาจปิดบังได้ คนแบบนี้ ซูหมิงนึกไม่ออกเลยว่าเพราะเหตุใดเขาถึงทรยศชาวเผ่า ทรยศเผ่าเขาทมิฬ

‘บางทีจิตใจของเขาอาจกำลังสับสนและต่อสู้ดิ้นรน เขาสังหารเผ่าภูผาดำเป็นจำนวนมาก ก่อนหน้านี้ยังปรามผู้นำกองรักษาการณ์กับเป่ยหลิงไม่ให้อยู่ เพียงแต่ว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่…’ ซูหมิงกำหมัดแน่น

‘แต่ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงพอจะลบล้างการทรยศของเขา เขา…จะต้องชดใช้!’ แววตาซูหมิงเย็นชา เขาแค้นเผ่าภูผาดำ ทว่ายามนี้ที่แค้นยิ่งกว่าคือซานเหินคนทรยศ!

ซูหมิงตามร่องรอยในป่าทึบประดุจเงามืด พริบตาเดียวก็รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ จากรอยเท้าบนพื้นและร่องรอยโดยรอบ ซูหมิงมั่นใจว่าพวกจ้าวเผ่าภูผาดำอยู่ไม่ไกล อีกทั้งรอยเท้าบนพื้นยังลึกมากขึ้น นี่แสดงว่าบาดแผลของพวกเขาทั้งสี่คนสาหัสขึ้นเรื่อยๆ

‘พวกเขาน่าจะหาที่ปลอดภัยเพื่อรักษาบาดแผล…’ ซูหมิงชะงักฝีเท้า ย่อตัวลงจ้องมองเกล็ดหิมะหลอมละลายจากหยดโลหิตท่ามกลางรอยเท้าบนพื้น ใช้นิ้วมือกดลงเล็กน้อย มุมปากแสยะยิ้ม

‘เลือดยังไม่แข็งตัว…อยู่ข้างหน้านี่!’ ซูหมิงยืนขึ้น ขณะกำลังออกตัว พลันชะงักอีกครั้ง สีหน้าเงียบขรึม แฝงไว้ด้วยความเศร้า

เขาเห็นเบื้องหน้าไม่ไกลนัก มีชาวเผ่าที่เลือกขอหยุด เพราะไม่อยากถ่วงขบวนอพยพก่อนหน้านี้ นอนแน่นิ่งหดตัวแข็ง หมดลมหายใจ

ซูหมิงเดินเข้าไปเบาๆ มองใบหน้าคุ้นเคย ดวงตาทั้งสองข้างเปิดอ้า หากไม่ใช่เพราะล้มลง ก่อนตายดวงตาของเขาคงจะมองไปทางขบวนชาวเผ่าอย่างแน่นอน วิงวอนต่อสวรรค์ขอให้ปกป้องชาวเผ่าของตน และถึงเผ่าร่องลมอย่างปลอดภัย

นี่เป็นศพชาวเผ่าคนแรกที่ซูหมิงเห็นหลังจากกลับเข้ามาในป่าทึบ เขาทราบดีว่านี่ไม่ใช่คนสุดท้าย บนเส้นทางสายนี้ ขณะอพยพมีชาวเผ่าจำนวนมากเลือกขอหยุด ไม่อยากให้ร่างกายบาดเจ็บของตัวเองส่งผลกระทบต่อความเร็วในการอพยพ

“เผ่าจะปลอดภัย…” ซูหมิงกล่าวเสียงเบา มองดวงตาเปิดอ้าของชาวเผ่าคนนั้น ก่อนใช้มือขวาปิดเปลือกตาเบาๆ ความเศร้าเสียใจบนใบหน้าถูกซ่อนจนมิด เขาพลันยืนขึ้น ก่อนห้อเหยียดต่อด้วยจิตสังหารรุนแรง

ความเร็วของเขาอยู่ในระดับสายตายากจะมองเห็น เห็นเพียงรุ้งโลหิตหนึ่งสายกำลังเคลื่อนไหว ราวกับวาดเป็นเส้นเลือดโค้งงอ เปลี่ยนรูปพร้อมกับพุ่งทะยานไปเบื้องหน้า

สายโลหิตดังกล่าวคือแสงจันทร์โลหิตจากในแววตาของซูหมิง เป็นเงาสะท้อนของจันทร์เต็มดวงบนท้องฟ้าในยามนี้! ขณะทะยานไปเบื้องหน้า แสงจันทร์ตกลงมาเข้าโอบล้อมตัวเขา กลายเป็นเส้นแสงจันทราวงกลมหลายวง ด้วยความเร็วของเขา จึงถูกดึงไปอยู่ด้านหลังจำนวนมาก มองดูแล้วคล้ายเสื้อคลุมแสงจันทร์บนตัว

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ครึ่งก้านธูปต่อมา เบื้องหน้าซูหมิงห่างไปเกือบหนึ่งร้อยจั้ง มีกิ่งไม้กองอยู่บนพื้นหิมะเป็นจำนวนมาก จ้าวเผ่าภูผาดำนั่งขัดสมาธิ ชาวเผ่าอีกสามคนโอบล้อมเขาเอาไว้ตรงกลาง กำลังทำสมาธิรักษาบาดแผลอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้าที่พวกเขาจะหยุดลง ใบหน้าจ้าวเผ่าภูผาดำดูมืดทะมึน จ้องไปทางเผ่าร่องลมเขม็ง สีหน้าเผยความโกรธแค้น เขาได้สติกลับมาแล้ว เห็นได้ชัดว่าหนานซงตั้งใจทำให้เขาตื่นกลัวเหมือนกับแสงสะท้อนกลับ ทว่าความจริงแล้วหากพวกเขายื้อเวลาอีกสักครู่ ก็คงไม่ต้องหนีจนตรอกเช่นนี้ อีกทั้งยังมีโอกาสสกัดขบวนเผ่าเขาทมิฬได้!

ขณะโกรธแค้น เขายิ่งเกลียดความกลัวของตนเมื่อครู่ ทว่าเขาเป็นคนรอบคอบ แม้จะเข้าใจความจริง แต่ก็ยังคงนั่งรักษาบาดแผลก่อน ในความคิดของเขา อย่างเร็วที่สุดคือฟ้าสางกว่าเผ่าเขาทมิฬจะเดินทางถึงเผ่าร่องลม หากพวกเขาทั้งสี่ไล่ตามอย่างสุดกำลัง เพียงหนึ่งชั่วยามก็ตามทันแล้ว

อีกทั้งสิ่งที่พวกเขาวางใจมากที่สุดคือ เมื่ออยู่ในป่าทึบแห่งนี้ก็ไม่น่าพบเจออันตรายใดๆ ในประสบการณ์ชีวิตของเขา สิ่งที่เหยื่อทำได้เพียงอย่างเดียวคือหนีตาย เขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้จะมีคนไล่ล่าสังหารพวกเขา ยามนี้เผ่าเขาทมิฬสนใจเพียงอย่างเดียวนั่นคืออพยพ!

แทบจะเป็นช่วงที่พวกเขานั่งลงยังไม่ถึงครึ่งก้านธูป มีลมหนาวพัดเข้ามา หิมะบนพื้นลอยขึ้นกระเด็นใส่ ในขณะเดียวกัน มีแสงสีแดงปรากฏขึ้นในป่าทึบห่างพวกเขาไม่ไกลนัก พลันตรงเข้ามาด้วยความเร็วยากจะจินตนาการได้ กระทั่งพวกเขายังไม่ทันได้ตั้งสติ มีเพียงจ้าวเผ่าภูผาดำที่เบิกตากว้าง

เขาเห็นเพียงแสงสีแดงแวบเข้ามา เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นข้างหูก่อนหยุดลง พบว่านักรบข้างกายคนหนึ่ง กำลังนั่งขัดสมาธิ ทว่าไม่มีศีรษะ โลหิตพุ่งสูงประดุจน้ำพุ

จ้าวเผ่าเกิดความตื่นกลัว ขนลุกไปทั้งตัว ทันใดนั้นพลันยืนขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อและตื่นตะลึง อีกสองคนที่เหลือรีบยันกายขึ้นด้วยความหวาดกลัว มองเลิ่กลั่กไปรอบตัว

“ใคร!”

“เป็นใคร ข้าเห็นเจ้าแล้ว ออกมา!”

ทั้งสองคนแผดเสียงคำราม ตัวสั่นเทา ราวกับว่าเสี้ยววินาทีนั้นเกิดขึ้นเร็วยิ่งนัก พวกเขายังไม่ทันได้ลืมตาก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น หลังจากลืมตาแล้วสิ่งที่เห็นคือสหายอีกคนไม่มีศีรษะ โลหิตพุ่งขึ้นสูง ความกลัวที่ไม่อาจบรรยายได้โอบล้อมพวกเขาประดุจน้ำหลาก จุดกำเนิดของความกลัวนี้ นอกจากการตายของสหายแล้ว ที่มากกว่าคือความลึกลับ

พวกเขาไม่เห็นแม้สักเงาคน โดยรอบเงียบสงัด ไม่มีเสียงใด จ้าวเผ่าภูผาดำใบหน้าขาวซีด แววตาเลิ่กลั่กมองไปรอบตัวตลอดเวลา ความกลัวของเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในป่าทึบมืดมิดแห่งนี้ราวกับมีสัตว์ร้ายกลืนกินชีวิตกำลังจ้องพวกเขา

“ถอย!” จ้าวเผ่าภูผาดำกัดฟัน เขาไม่กล้าเสี่ยงกับสิ่งที่มองไม่เห็น อีกทั้งแสงสีแดงที่หายไปเมื่อครู่นี้ ในความรู้สึกของเขามันไม่เหมือนคน แต่เหมือนกับงูสีแดงบางชนิด

ภายใต้คำสั่งเสียงของเขา นักรบอีกสองคนรีบเข้าประชิดตัวกัน ทั้งสามคนค่อยๆ ล่าถอย หลังจากถอยไปได้หลายก้าวแล้ว จึงห้อเหยียดอย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่สังเกตเห็นเลยว่า ยามนี้ซูหมิงนั่งย่อตัวอยู่ในป่าทึบ เงาจันทร์โลหิตในแววตาขยับวูบวาบ ในมือของเขาถือศีรษะตาปิดชุ่มไปด้วยเลือด

“ความตายไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือก่อนตาย ความทรมานนี้พวกชาวเผ่าได้สัมผัสมันอย่างลึกซึ้ง…ตอนนี้ข้าก็จะให้พวกเจ้าได้ลิ้มลองด้วยตัวเอง” สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย นอกจากความคิดนี้แล้ว เขายังมีความคิดที่จะทำให้ชาวเผ่าปลอดภัยอย่างถึงที่สุด หลังจากทั้งสามคนล่าถอย กายเขาขยับวูบวาบก่อนหายไปจากจุดเดิม

จ้าวเผ่าหัวใจเต้นแรงขึ้น ยามนี้เขาบาดเจ็บสาหัส แม้ขั้นพลังอยู่ลำดับแปดขั้นรวมโลหิต ทว่าตอนนี้สำแดงพลังได้เพียงครึ่งกว่า อีกทั้งนักรบอีกสองคนข้างกายมีขั้นพลังแค่ลำดับหกขั้นรวมโลหิตเท่านั้น จึงช่วยอะไรไม่ได้มาก

โดยเฉพาะเหตุการณ์เมื่อครู่ ตอนที่เห็นแสงสีแดงวูบผ่าน ความรู้สึกอันตรายในจิตใจทำให้เขาตื่นกลัวจนเนื้อเต้น ยามนี้เขาไม่มีความคิดจะไล่ล่าขบวนชาวเผ่าเขาทมิฬอีกต่อไปแล้ว แต่เลือกล่าถอยเพื่อสมทบกับกำลังเสริมภูผาดำ

ขณะห้อเหยียด นักรบอีกสองคนข้างกายเขามีสีหน้าตื่นกลัว สะพรึงต่อความลึกลับ หวาดกลัวต่อสิ่งที่มองไม่เห็น ความมุ่งมั่นในการต่อสู้ของพวกเขาหดหายจนสิ้น คิดหนีเอาชีวิตรอดเพียงอย่างเดียว

ทว่าในขณะนั้น เสียงร้องแหลมพลันดังขึ้นด้านหลังพวกเขา เสียงร้องพิลึกดูรวดเร็วและดุดัน ทำให้ผู้ฟังโดยเฉพาะคนที่กำลังตื่นกลัวพลันจิตใจสั่นไหว

แทบจะเป็นช่วงที่เสียงร้องพิลึกดังกังวานด้านหลัง สายรุ้งสีโลหิตพลันตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว พวกเขาเห็นเพียงแสงสีแดงแวบผ่าน และยังมีเส้นแสงจันทร์จำนวนมากตามหลัง ทันใดนั้น มีเสียงร้องเจ็บปวดดังขึ้น ศีรษะของนักรบคนหนึ่งแยกออกจากตัว โลหิตพุ่งกระฉูด ก่อนล้มลงกับพื้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!