Skip to content

สู่วิถีอสุรา 123

ตอนที่ 123 ของขวัญจากจ้าวเผ่าบูรพาสงบ

เมื่อหมอกขาวโอบล้อม ซูหมิงกวาดสายตาไปรอบๆ ถ้ำ โดยเฉพาะจุดคุ้นเคยเหล่านั้นจะมองนานเป็นพิเศษ ก่อนเขาออกเดินทางได้วางขนสัตว์ป่าเอาไว้ พวกมันมีขนาดเบาจึงถูกสายลมพัดลอยไป ห่างจากจุดที่พวกมันถูกพัด ซูหมิงพอจะคาดเดาขนาดแรงลมได้ อีกทั้งหน้าปากถ้ำเขายังวางเอาไว้บนพื้น ยามนี้เมื่อตรวจสอบแล้วก็มั่นใจได้ว่าในช่วงหลายวันที่ไม่อยู่ น่าจะไม่มีใครเข้ามา

“ดีที่มีสิ่งนี้อยู่ มิเช่นนั้นแล้วคงจะลำบากจริงๆ” ซูหมิงถูมือทั้งสองข้าง ด้วยความร้อนจากพลังโลหิตในร่างกาย ทำให้เส้นผมเขาค่อยๆ แห้งสนิท เขาหยิบถุงชำรุดมาจากอกเสื้อ ก่อนเทสมุนไพรและวัตถุดิบที่ซื้อจากเมืองเขาหานทั้งหมด

เมื่อตรวจสอบจนมั่นใจแล้วว่าไม่มีอะไรตกหล่นเขาจึงวางใจ มิติในถุงชำรุดมีรอยแตก ฉะนั้นสองปีมานี้แม้ใช้บ่อย ทว่าก็ยังไม่วางใจ

‘หลอมโอสถชิงวิญญาณน่าจะสำคัญกว่า โอสถชนิดนี้มีส่วนช่วยข้าเป็นอย่างมาก กระทั่งหากไม่สะดวกเรียกวิญญาณค้างคาวจันทรา ก็ใช้สิ่งนี้เป็นอาวุธสังหารได้ เพียงแต่ว่ามันมีเงื่อนไขที่สูงยิ่งนัก…สมุนไพรเป็นแค่รอง ในชั้นสามเมืองเขาหานข้าหาเจอเพียงเล็กน้อย ตอนนี้ยังขาดอีกสามชนิด ทว่ากระดูกสัตว์ขั้นชำระล้างกลับได้มาเพียงชิ้นเดียว’ ซูหมิงหยิบกระดูกสีดำมาจากในกองวัตถุดิบ ตัวมันแผ่ไอหนาวรุนแรง ถืออยู่ในมือให้ความรู้สึกหนาวเหน็บ

‘แต่แม้บอกว่าเป็นกระดูกสัตว์ร้ายเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งชำระล้าง ทว่าก็ไม่ได้กำหนดเรื่องเวลาและไม่ต้องลงมือสังหารด้วยตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ว่ามันจะหายากทว่าก็น่าจะหาซื้อได้’

‘นอกจากพวกนี้แล้วยังต้องหาศพคนตาย แม้ไม่ได้กำหนดขั้นพลังของศพ ทว่าในเมื่อวัตถุดิบล้วนหายากเช่นนี้ ยิ่งมีขั้นพลังสูง คุณภาพของโอสถชิงวิญญาณยิ่งดี……

ไม่รู้ว่าหากได้ศพของนักรบชำระล้างมาจะเป็นอย่างไร……’ แววตาซูหมิงขยับประกาย ไม่นานก็ถอนหายใจ เขาทราบดีว่าตนมีความคิดพิสดารมากเกินไป นี่มันเป็นไปไม่ได้

‘ส่วนการหลอมโอสถชนิดนี้ไม่ต้องใช้ไฟ แต่ใช้พลังซากศพมาหลอม ต้นกำเนิดพลังซากศพข้าเคยคิดเอาไว้แล้วว่าเผ่าผู่เชียงฝึกฝนพลังแห่งความตาย ในนั้นจะต้องมีพลังซากศพเข้มข้นเพื่อใช้ในการฝึกฝนอยู่แน่’ ซูหมิงขบคิดอีกครั้ง ก่อนกดเรื่องดังกล่าวลง ถึงอย่างไรการหลอมโอสถชิงวิญญาณ เขายังขาดวัตถุดิบอีกมาก เรื่องนี้ต้องพิจารณาอย่างสุขุม

‘ตอนนี้ขั้นพลังของข้าฟื้นฟูกลับมาแล้ว ต้องใช้โอสถวิญญาณผาเพื่อทะลวงพลัง’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก

ภายในถ้ำรอยแยก ด้านนอกแม้มีน้ำฝนไม่ขาดสาย ทว่ากลับมีความร้อนภายในถ้ำ มันมาจากมือขวาของซูหมิง เปลวเพลิงค่อยๆ ลุกแผดเผาสมุนไพรหลากชนิด

ซูหมิงหลอมโอสถเป็นชีวิตประจำวัน กินโอสถวิญญาณผาไปทีละเม็ด เมื่อกระจายในร่างกายแล้วจึงหลอมรวมกับพลังโลหิต โคจรไหลเวียนไปทั่วร่าง ทำให้เส้นเลือดเสถียรภาพ พร้อมกับค่อยๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้น

ภายในเขาลึก ป่าฝนสงบนิ่ง ซูหมิงเริ่มออกมาข้างนอกน้อยลง ฝึกฝนทั้งวันเหมือนกับปิดด่าน เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ครึ่งเดือน

ภายในครึ่งเดือนนี้ซูหมิงยังไม่เคยเดินออกมานอกถ้ำแม้แต่ครึ่งก้าว เขามีสมุนไพรสำหรับการหลอมโอสถวิญญาณผาที่มากพอ ทำให้ภายในครึ่งเดือนที่ผ่านมาเส้นเลือดในตัวเขาจากสองร้อยสี่สิบสามเส้นเพิ่มมาเป็นสองร้อยสี่สิบเก้าเส้น ความเร็วในการฝึกฝนไม่ช้าไม่เร็ว ทว่ากลับมั่นคง ทุกครั้งที่มีเส้นเลือดเพิ่มมากขึ้นเขาจะหยุดเล็กน้อย หลังจากใช้การควบคุมความละเอียดอ่อนทำให้มันกลมกล่อมแล้ว จึงค่อยฝึกฝนต่อไป

ด้วยเหตุฉะนี้ แม้ว่าจำนวนเส้นเลือดจะมีไม่มาก

ทว่าศักยภาพแท้จริงของซูหมิงกลับเพิ่มขึ้นไม่หยุด เขาเงียบขรึมมากยิ่งขึ้น เขาในยามนี้หากชาวเผ่าเขาทมิฬเห็นล้วนต้องไม่แน่ใจราวกับมองไม่ออกในแวบแรก ไม่เพียงแต่ใบหน้าของเขาเปลี่ยน ที่สำคัญกว่าคือกลิ่นอายพลังต่างจากเมื่อก่อนอย่างมาก

มันคือการแปรเปลี่ยน การเติบใหญ่ประดุจสัตว์เลือดอุ่น บนใบหน้าเขามีรอยแผลเป็นเล็กน้อยในระดับเดียวกับสายตา ห่างจากดวงตาเพียงสองนิ้ว เดิมทีรอยแผลหายเป็นปกติได้ แต่ซูหมิงไม่ยอม เขามักจะลูบรอยแผลเป็นบนใบหน้า อยู่ในถ้ำมืดมิด มองความมืดอย่างเงียบๆ

วันหนึ่งหลังจากครึ่งเดือน ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในถ้ำรอยแยก กินโอสถวิญญาณผาและโคจรโลหิตในกาย ขณะกำลังละลายเพื่อดูดซับ เขาได้ยินเสียงคุ้นเคยดังเข้ามาจากด้านนอก

“ผู้อาวุโส…….ผู้อาวุโส……”

ซูหมิงไม่ได้สนใจในทันที แต่รอให้ผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อท้องฟ้าด้านนอกมืดมิดดวงจันทร์ปรากฎ โอสถวิญญาณผาในร่างกายถูกดูดซับหมดแล้ว จึงค่อยๆ ลืมตา ยันกายขึ้นอย่างสงบนิ่งและสวมเสื้อหนังสัตว์ปกคลุมทั้งตัว เดินออกไปอย่างช้าๆ

ณ ส่วนลึกป่าฝน เสียงเรียกของฟางมู่ห่างไปไม่ไกลนัก น้ำฝนจากท้องฟ้ายังคงอยู่ ทว่าบางลงไปมาก กลายเป็นละอองฝนทำให้โดยรอบเปียกชื้น

ซูหมิงยืนอยู่ข้างต้นไม้กวาดสายตามอง นี่เป็นจุดที่เขาเลือก

คนรอบคอบอย่างซูหมิง มีแค่ครั้งแรกที่ตรงเข้าไปหาฟางมู่ด้วยตัวเอง ครั้งต่อๆ มาล้วนหาจุดที่คิดว่าปลอดภัยแล้วให้ฟางมู่เข้ามา การทำเช่นนี้เป็นการป้องกันได้อย่างดีเพื่อหลีกเลี่ยงกับดักที่อาจไม่มีอยู่จริง

ซูหมิงละสายตากลับ ใช้มือขวาสะบัดไปข้างหน้า พบว่ามีวิญญาณค้างคาวจันทราไร้รูปกระจัดกระจายโอบล้อมโดยรอบ อีกทั้งยังทำให้แสงจันทร์ตรงจุดนี้เหมือนว่ารวมตัวกันมากขึ้นเล็กน้อย

“ฟางมู่ มาตรงนี้!” เตรียมตัวเสร็จ ซูหมิงจึงกล่าวเรียบๆ เสียงของเขาไม่ดังมากนัก ทว่าด้วยพลังในการทะลวงผ่าน ทำให้ก้องกังวานโดยรอบ กล่าวจบจึงยืนอย่างสงบนิ่งซ่อนตัวอยู่ในเงามืด

ไม่นาน มีเสียงอึกทึกดังเข้ามา พบว่าในป่าฝนด้านข้าง มีเงาคนกำลังวิ่งมาอย่างรวดเร็ว นั่นคือฟางมู่ เขาคุ้นชินกับนิสัยลึกลับของซูหมิงแล้วจึงวิ่งมาตามเสียงได้ไม่ยาก หลังจากมาถึงเขาหอบหายใจแรง เห็นซูหมิงยืนอยู่ในเงามืด ในสายตาของเขา ซูหมิงราวกับหลอมรวมอยู่ในความมืดมิด เห็นเพียงเค้าโครงเลือนราง

“ฟางมู่เข้าพบผู้อาวุโสโม่” ฟางมู่รีบประสานมือคารวะซูหมิง ก่อนวางถุงใหญ่ที่แบกอยู่ด้านหลังลง เมื่อเปิดถุงแล้วพบว่าด้านในเป็นใบตาข่ายเมฆาจำนวนมาก

ซูหมิงกวาดสายตามองถุงใบนั้น ใช้มือขวากดบนต้นไม้ใหญ่ข้างกาย ต้นไม้พลันสั่นสะท้าน เปลือกไม้หลุดร่วงหลายส่วน ช่วงที่ซูหมิงกำลังตวัดนิ้วมือวาด พบว่ามีภาพสมุนไพรสามชนิดปรากฎบนต้นไม้

“สมุนไพรสามชนิดนี้ ไม่ว่าต้นใดก็ได้จะแลกกับการรักษาสามครั้ง หากเจ้าหามาครบ และใช้ความพยามที่มากพอ อาการบาดเจ็บของเจ้า ข้าพอมีความมั่นใจว่าจะถอนโคนมันได้!” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

ฟางมู่ชะงัก สีหน้าเป็นปกติ ทว่าในใจกลับตื่นเต้น ความตื่นเต้นดังกล่าวไม่ใช่เพราะหวาดกลัว แต่เป็นเพราะฮึกเหิม หากเป็นเขาตอนพบซูหมิงครั้งแรกแล้วอีกฝ่ายกล่าวเข่นนี้เขาคงไม่เชื่อ แต่ยามนี้ฟางมู่เชื่อคำพูดซูหมิงมากกว่าเดิมหลายส่วน

“ผู้อาวุโสอย่าหยอกข้าเล่น ข้าเข้าใจอาการบาดเจ็บของข้าดี ข้าถูกลงอาคมหมาน แม้แต่ท่านพ่อกับจ้าวหมานยังไม่อาจขับไล่มันได้ ทำได้เพียงระงับมันไว้เท่านั้น หากคิดจะถอนโคนยากเกินไปจริงๆ เว้นแต่ผู้อาวุโสจะสังหารคนที่ทำร้ายข้าในตอนนั้น” ฟางมู่เงียบไปชั่วครู่ หัวเราะกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“เจ้าเข้ามา” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง กล่าวเสียงเบา

จิตใจฟางมู่สั่นไหวอีกครั้ง เดินเข้ามาอย่างไม่ลังเล ในช่วงที่เพิ่งเข้าใกล้ซูหมิงพลันใช้มือขวาจับไหล่ของฟางมู่ ไอหนาวเยือกแล่นผ่านมือเข้าไปในตัวเขา

ความหนาวเยือกทำให้ฟางมู่ตัวสั่น ทว่าไม่นานกลับกลายเป็นความร้อนราวกับในร่างกายของเขามีจิตวิญญาณ ยังไม่ทันที่เขาจะได้สัมผัสอย่างละเอียด ซูหมิงก็ยกมือขึ้น เขาทราบดีว่าอีกฝ่ายมีนิสัยแปลก ไม่ยอมให้ผู้อื่นเข้าใกล้ จึงรีบถอยหลังทันทีและมองซูหมิงอย่างตื่นเต้น

“ข้าไม่มั่นใจเต็มสิบ มีแค่เจ็ดส่วน” ซูหมิงกล่าวเสียงหนักแน่น

“เจ็ดส่วน…” ฟางมู่สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าเด็ดเดี่ยว พยักหน้า มองไปทางสมุนไพรสามชนิดบนต้นไม้ จดจำลักษณะของมันจนขึ้นใจ

“นอกจากนี้แล้ว ข้ายังต้องการกระดูกอีกสองชิ้น ต้องเป็นกระดูกสัตว์ร้ายเทียบเท่ากับขั้นชำระล้างเท่านั้น” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

ฟางมู่ไม่ถามว่าซูหมิงจะเอาวัตถุดิบเหล่านี้ไปทำอะไร เพียงแต่พยักหน้าและจดจำเอาไว้ เขาเห็นซูหมิงกล่าวจบ ราวกับสิ้นสุดการพบกันครั้งนี้แล้ว จึงประสานมือคารวะซูหมิงด้วยความเคารพ

“ผู้อาวุโส ก่อนฟางมู่มาในครั้งนี้บิดาได้กำชับเอาไว้ว่าให้ข้านำสิ่งนี้มาให้ผู้อาวุโส และต้องให้ท่านรับเอาไว้ด้วย” ฟางมู่กล่าวพลางหยิบกระดิ่งใบเล็กสีดำมาหนึ่งใบ บีบจนแหลกต่อหน้าซูหมิง หมอกเข้าโอบล้อมก่อนหายไปในชั่วพริบตา เผยให้เห็นเป็นกล่องไม้สีขาว

ฟางมู่ยื่นให้ด้วยสองมือ กล่องไม้ดูธรรมดายิ่งนัก แม้แต่เขาเองก็ยังอยากรู้ว่าด้านในบรรจุอะไรเอาไว้ ก่อนเขามาในครั้งนี้ บิดาพลันปรากฎตัวขึ้น และมอบสิ่งนี้ให้เขา มีชาวเผ่าหลายคนตามมาคุ้มกันเพื่อมามอบสิ่งนี้ให้ซูหมิงในป่าฝน

“เปิดเถอะ” ซูหมิงมองกล่องไม้ เขารู้สึกประหลาดใจยิ่งนักตอนบีบกระดิ่งสีดำจนแตก ทว่าไม่เผยให้เห็น

ฟางมู่ได้ยินดังนั้นจึงเปิดทันที เห็นเพียงแวบแรกพลันเหม่อลอยไปชั่วครู่ ในกล่องไม้วางดาบกระดูกหนึ่งเล่ม มันปล่อยไอหนาวเยือก ภายในมีเส้นสีแดงขยับวูบวาบ เป็นดาบที่ซูหมิงใช้แลกสิ่งของตอนอยู่ในเมืองเขาหาน

ซูหมิงมองดาบเล่มนี้สีหน้าเป็นปกติ มือขวาคว้าอากาศ ดาบกระดูกลอยขึ้นมาอยู่ในมือของเขา

“กลับไปฝากขอบใจบิดาเจ้าด้วย” ซูหมิงถือดาบกระดูกพร้อมกับถุงใบตาข่ายเมฆา ทะยานถอยหายไปในความมืด ฟางมู่สับสน เขารู้จักดาบเล่มนี้ แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าตนเคยมอบให้แล้ว เหตุใดถึงปรากฎอยู่ในมือของบิดา ทั้งยังให้ตนมาส่งมอบให้อีกครั้ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!