Skip to content

สู่วิถีอสุรา 126

ตอนที่ 126 คำถามข้อสุดท้าย

ในส่วนลึกของป่าฝน ด้วยมีความเปียกชื้นและเน่าเสียสั่งสมมาเป็นเวลานาน จึงเกิดเป็นหมอกพิษ เมื่อสูดเข้าสู่ร่างกายจะทำให้ปวดเมื่อยหมดแรง กระทั่งนานไปจะทำให้พลังโลหิตในร่างกายสูญเสียชีวิตชีวา ค่อยๆ เลือนหายและหมดสติในที่สุด ฉะนั้นป่าฝนแห่งนี้ ชนเผ่าใกล้เคียงส่วนใหญ่จะล่าวัตถุดิบเพียงรอบนอกเท่านั้น น้อยนักที่จะเข้ามาด้านใน มีเพียงผู้แข็งแกร่งเมื่อเข้ามาแล้วต้องโคจรโลหิตเพื่อสลายพิษจากหมอก ถึงจะเข้าไปในส่วนลึกเพื่อสำรวจได้

ยามนี้ในส่วนลึกของป่าฝน ท่ามกลางหมอกพิษไร้รูป เหอเฟิงนอนแน่นิ่ง ม่านตาพลันหรี่ลง ร่างกายเขาในตอนนี้อ่อนแอยิ่งนัก ไม่มีแรงต่อต้านแม้แต่น้อย ถึงอย่างไรเสวียนหลุนก็เป็นขั้นชำระล้าง ด้านจิตใจและสติปัญญาย่อมไม่ธรรมดา คิดจะปกปิดเขา เหอเฟิงต้องยอมจ่ายอย่างมหาศาล มีเพียงแค่ให้ร่างกายหมดเรี่ยวแรงแล้วเท่านั้น ถึงจะทำให้เสวียนหลุนผ่อนคลายลงเล็กน้อย และด้วยเหตุนี้เขาจึงทำสำเร็จ

ครั้นเห็นซูหมิงปรากฏตัว เหอเฟิงตกใจยิ่งนัก ทว่าเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ประสบเหตุการณ์ชนเผ่าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อหลายปีก่อน หวุดหวิดรอดตายมาได้หลายหน ทุกวันนี้ประสบการณ์สั่งสมออกมาเป็นความคิดซ่อนอยู่ลึกๆ แม้จะตึงเครียดก็กลับมาเป็นปกติในชั่วพริบตา ต่อให้มองสีหน้าเขาอย่างละเอียด ก็ยากจะพบการเปลี่ยนแปลง

“สหายพูดหยอกเล่นแล้ว ก่อนหน้านี้แซ่เหอจำใจต้องทำ เฮ้อ…”

เหอเฟิงมองซูหมิงเดินเข้ามาก็หัวเราะแห้งๆ ขณะกล่าวเห็นซูหมิงไม่หยุดฝีเท้า เดินบีบเข้ามาทีละก้าว หัวใจเหอเฟิงเต้นแรง ทว่าสีหน้ายังคงเป็นปกติ มีแต่ขมขื่นและเศร้ารันทด

“ข้ารู้ ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไร สหายคงไม่ยอมให้อภัยข้า แต่ก่อนที่สหายจะลงมือจบชีวิตคนแซ่เหอ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน…เดิมทีเมื่อนานมาแล้วข้าแซ่เหอไม่รู้จักกับเสวียนหลุน ข้ากับผู้ติดตามเขาพบเจอกันโดยบังเอิญและกลายเป็นสหายกัน ข้าเชิญเขาให้มาชนเผ่าของข้า ทว่าไม่คิดเลยว่าจะเป็นการนำภัยพิบัติมา เสวียนหลุนปรากฏตัว เขาสังหารบิดามารดาข้า สังหารพี่สาวข้า ทำลายชนเผ่าข้า ข้ากับเขาอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้!

ข้าจะตายไม่ได้ สหาย ก่อนหน้านี้ข้าจำเป็นต้องทำ ข้าแบกรับความอาฆาตของญาติพี่น้องเอาไว้บนหลัง ชีวิตข้าไม่ใช่ของข้า ในร่างกายข้ามีวิญญาณของชนเผ่าทั้งหมด พวกเขาอยู่กับข้า รอวันที่ข้าจะแก้แค้นให้พวกเขา!

สหาย ข้ารู้ว่าที่ข้าทำก่อนหน้านี้มันต่ำทราม ทว่าข้าไม่มีทางเลือก หากมีทางอื่นข้าคงไม่ดึงเจ้ามาเกี่ยวด้วย” เหอเฟิงยิ้มด้วยความปวดร้าว สีหน้าเศร้าเสียใจ แฝงไว้ด้วยความแค้นต่อเสวียนหลุน

ซูหมิงยืนอยู่ห่างจากเหอเฟิงหลายจั้ง โคจรโลหิตในร่างกาย มองบุคลลตรงหน้าอย่างสงบนิ่ง ครั้งแรกที่เขาพบเหอเฟิงคือโรงเตี๊ยม เครื่องแต่งกายของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจของเขาและทำให้เขาคิดถึงบ้านที่ห่างไกล จนเกิดเป็นความรู้สึกดี

ครั้งที่สองคือชั้นสามเมืองเขาหาน เขาเห็นบุคคลนี้กำลังบุกโซ่เขาหาน เห็นความยึดมั่นและแน่วแน่ในตัวอีกฝ่าย อีกทั้งช่วงที่เสวียนหลุนบีบวิญญาณบุพการีทั้งสองจนแหลก เขาเห็นความเศร้าโศกและโลหิตที่กระอักออกมา

แม้ในยามนั้นแววตาซูหมิงจะไม่มีความเห็นใจ ในใจของเขากลับซ่อนความสงสารคนหัวอกเดียวกันไว้ เพียงแต่ไม่เผยมาให้เห็นก็เท่านั้น และครั้งที่สามก็คือวันนี้

เมื่อเห็นซูหมิงเงียบขรึม ทว่ายังโคจรโลหิตในร่างกาย เหอเฟิงขบคิดไปมาอย่างรวดเร็ว ในมือเขายังถือขวดเล็กสำหรับการรักษา

แต่ไม่กล้าดื่มเพราะกลัวอีกฝ่ายจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ สีหน้าของเขายังคงยิ้มแห้งๆ คลายมือขวาลง ขวดยารักษาตกบนดินเลนข้างกาย แต่กลับไม่จมลงไป

“สหาย เรื่องนี้สุดท้ายแล้วก็ผิดที่ตัวข้า ในขวดเล็กของแซ่เหอมียารักษาบาดแผลอยู่เล็กน้อย ขอมอบให้สหาย ส่วนข้า…” เหอเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยามยกศีรษะขึ้น มองไปบนท้องฟ้าห่างไกล

“ตรงนั้นห่างไปหนึ่งพันลี้จะเป็นชนเผ่าของข้า…ตอนนี้เป็นเพียงซากปรักหักพัง สหาย ข้าไม่ทราบนามของเจ้า ทว่าข้าขอร้องอย่างหนึ่ง หากเจ้ายืนยันจะสังหารข้าเพื่อระบายแค้น หลังจากข้าตายไปแล้ว ช่วยนำข้าไปฝังไว้ที่นั่น ทรัพย์สินทุกอย่างในตัวข้าเจ้าเอาไปได้หมดเลย ถือเป็นการชดใช้ความผิดที่ข้าทำลงไป

หากเจ้า…ให้อภัยข้า ให้โอกาสข้าแก้แค้นเสวียนหลุน ข้าเหอเฟิงจะทำสัญญาอรุณใต้ ยอมเป็นผู้ติดตามของสหาย ชีวิตของแซ่เหออยู่ในมือสหายแล้ว โปรดตัดสินใจเถิด!” ท่ามกลางความขมขื่น แววตาเหอเฟิงแฝงไว้ด้วยความเสียใจและไม่ยินยอม หลับตาลงราวกับรอคำตอบที่เขาเองก็ยังไม่ทราบ

ทว่า เขาใช้เวลานี้ในการรวมพลังโลหิตในร่างกาย อีกทั้งยังใช้วิธีการพิเศษบางอย่าง ทำให้ผู้อื่นยากจะสังเกตเห็น ความเร็วในการรวมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่เขากำลังหลับตามีจิตสังหารแอบแฝง แต่ผู้อื่นมองไม่เห็น

‘บุคคลนี้แม้จะดูลึกลับ ดูจากลักษณะอายุราวยี่สิบกว่าปี ความคิดความอ่านกลับอ่อนหัด โดนคำพูดข้าล่อลวงถ่วงเวลาง่ายๆ หึ หากเขาลงมือทันที ข้าคงไม่มีโอกาสต่อต้าน ทว่าตอนนี้…ในเมื่อเขาไม่มีความคิดมากนัก บางทีอาจมีประโยชน์กับข้าก็ได้’ เหอเฟิงหลับตา ขบคิดอยู่ตลอดเวลา และยิ้มเยาะในใจ

“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่นี่ และมองออกได้อย่างไรว่าข้าจะช่วยเจ้าต่อกรกับเสวียนหลุน?” ซูหมิงมองเหอเฟิงพลางกล่าวเรียบๆ

เหอเฟิงยิ้มเยาะในใจอีกครั้ง เขารู้สึกว่าซูหมิงไม่เพียงแต่จะอ่อนหัดแล้วเท่านั้น ยังมีความเห็นใจและสงสารเรื่องน่าเศร้า โดนคำพูดของเขาโน้มน้าว ฉะนั้นจึงยกคำถามขึ้นมา ทำให้เขามีโอกาสในการสะสมพลัง

‘บุคคลนี้…เหมือนกับข้าแต่ก่อนมาก เฮ้อ น่าเสียดาย หากเขาไม่ปรากฏตัวก็แล้วกันไป แต่ในเมื่อมาอยู่ต่อหน้าข้าก็คงไม่มีชีวิตรอดออกไปแล้ว หากเขาตาย มันจะง่ายต่อแผนการของข้า ทำให้เสวียนหลุนไม่มั่นใจ’ ในช่วงที่เหอเฟิงลืมตา แววตากลับจริงใจ ไม่มีการเสแสร้งแม้แต่น้อย กลับกันยังคงมีความขมขื่นเหมือนเดิมทุกประการ

“เผ่าที่ข้าอยู่เป็นชนเผ่าเล็ก ชาวเผ่าส่วนใหญ่สวมเสื้อหนังสัตว์ ห่างไกลจากเผ่าขนาดกลาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองเขาหาน ตั้งแต่เล็กข้าอิจฉาคนในเผ่าขนาดกลาง อิจฉาที่พวกเขาไม่ต้องสวมเสื้อหนังสัตว์ อิจฉาที่พวกเขามีศาสตราวุธหมานเลียนแบบ” เหอเฟิงกล่าวพึมพำเบาๆ

“ทว่าข้าเพียงแค่อิจฉามิได้ริษยา ข้ามีปณิธานมุ่งมั่นว่าอยากให้ชนเผ่าของตนแข็งแกร่ง อยากให้ตัวข้าแข็งแกร่ง…ชนเผ่าของข้ามีเคล็ดวิชาลับเฉพาะ ด้วยเคล็ดวิชานี้ ข้าในตอนนั้นคิดว่าตนจะกลายเป็นแขกพิเศษของชนเผ่าขนาดกลางได้ และใช้วิธีนี้ทำให้ชนเผ่าข้าแข็งแกร่งขึ้น

เคล็ดวิชานี้ไม่มีชื่อ เหมือนกับไม่ใช่ของเผ่าหมาน สืบทอดมาจากที่ใดไม่ทราบแน่ คนในเผ่าไม่มีใครรู้ว่ามันมาจากไหน ผลของมันคือทำให้สัมผัสได้ถึงความแข็งแกร่งของมนุษย์โดยไม่ต้องผ่านพลังโลหิต แต่ใช้ผ่านความรู้สึก

อีกอย่างความรู้สึกนี้เหมือนกับความทรงจำ หากใช้ความคิดจดจำจะกลายเป็นตรานาบ ขอแค่อีกฝ่ายอยู่ไม่ไกลมากก็จะสัมผัสได้รางๆ และด้วยเคล็ดวิชานี้จึงทำให้ข้าหลบหนีการล่าสังหารของเสวียนหลุนมาได้หลายครั้ง ตอนอยู่ในโรงเตี๊ยมกลางดึก มีข้ากับเจ้ากำลังดื่มสุรากันอยู่สองคน ตอนนั้นข้าสังเกตเห็นสหาย แม้มีขั้นพลังเพียงลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิต

ทว่าด้วยการตอบสนองของเคล็ดวิชานี้ กลับทำให้ข้าสัมผัสถึงพลังที่น่ากลัวกว่าชำระล้าง ตอนนั้นข้ารู้ได้เลยว่าหากไม่ใช่เพราะในตัวเจ้ามีสมบัติล้ำค่า ก็ต้องปกปิดขั้นพลังเอาไว้อย่างแน่นอน ดังนั้นข้าจึงประทับตราจิตใจเอาไว้ในตัวเจ้า ตราประทับนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก ต่างจากเคล็ดวิชาเผ่าหมาน ฉะนั้นเจ้าจึงไม่สังเกตเห็น

ช่วงที่เสวียนหลุนล่าสังหารข้าก็ให้ความรู้สึกพาข้ามาที่นี่ ด้วยอยากขอร้องให้สหายช่วย อีกทั้งเคล็ดวิชานี้ดูเหมือนจะอ่อนแอ ทว่าความจริงแล้วมีประโยชน์มาก ข้าเห็นสหายไม่ใช่ชาวเผ่าใกล้เคียง ในอกเสื้อข้ามีมู่เจี่ยนของเคล็ดวิชานี้ จะเอาไปดูก่อนก็ได้ เพื่อตรวจสอบว่าข้าพูดจริงหรือไม่”

เหอเฟิงไม่ได้กล่าวเพื่อถ่วงเวลา แผนการของเขาหยั่งลึกยิ่งนัก แม้อยากถ่วงเวลา ก็ไม่อยากเผยจุดด่างให้เห็น แต่ใช้สีหน้าขมขื่นราวกับคะนึงคิด กล่าวคำพูดน่าเห็นใจ

เพื่อถ่วงเวลา เหอเฟิงใช้ความจริงใจและผลประโยชน์โน้มน้าวอีกฝ่าย ยอมเป็นผู้ติดตาม มอบสมบัติทั้งหมดในตัว ทั้งยังมอบเคล็ดวิชามหัศจรรย์ เขาไม่เชื่อหรอกว่าซูหมิงจะไม่เปลี่ยนใจ

“สหายอยากจะถามอะไรอีกหรือไม่? หากแซ่เหอรู้ จะตอบอย่างแน่นอน”

สีหน้าเหอเฟิงจริงใจ มองซูหมิงขณะกล่าวอย่างอ่อนแรง ทว่าความจริงแล้ว ในร่างกายเขายามนี้รวมเป็นจุดแสงที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ฉะนั้นเขาจึงมีความมั่นใจว่าจะปลิดชีพซูหมิงในกระบวนท่าเดียว เพราะก่อนหน้านี้เขาเห็นซูหมิงหายตัวไปขณะถูกเสวียนหลุนจู่โจม เดิมทีคิดว่าคงหนีไปไกลแล้ว ไม่คิดเลยว่าจะยังอยู่

ด้วยเหตุนี้เขาจึงมั่นใจว่าซูหมิงไม่ได้ปกปิดขั้นพลัง แต่ใช้ศาสตราวุธหมานแข็งแกร่งบางอย่าง ขั้นพลังแท้จริงอยู่เพียงลำดับเจ็ดขั้นรวมโลหิตเท่านั้น

หากอีกฝ่ายหนีไป เขาเหอเฟิงอาจยังไม่แน่ใจ ด้วยระยะที่ใกล้เช่นนี้ เขาจึงมีความมั่นใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายก่อนที่ฝ่ายนั้นจะใช้ศาสตราวุธหมานอย่างแน่นอน ทว่าเงื่อนไขคือต้องให้บุคคลอ่อนหัดตรงหน้าลดการป้องกันลงก่อน

‘บุคคลนี้น่าจะถามต่อว่าเหตุใดเสวียนหลุนถึงได้ล่าสังหารข้าอย่างลำเค็ญหลายต่อหลายครั้ง ถึงอย่างไรข้ากับเสวียนหลุนมีก็ระดับที่ต่างกันมาก! ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องมองออก อีกอย่างต่อให้ไม่ถามแบบนี้ เดาว่าน่าจะถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างข้ากับหานเฟยจื่อ ตอนที่นางช่วยข้าบุคคลนี้น่าจะมองอยู่ด้วย’

เหอเฟิงเตรียมคำตอบและแผนการรับมือมาเป็นอย่างดี รอซูหมิงตั้งคำถาม เขาอาจใช้ช่วงเวลาตอนตอบคำถาม ตั้งใจพูดให้อีกฝ่ายลดความรอบคอบลง แล้วอาศัยจังหวะชิงลงมือ!

“คำถามข้อสุดท้าย…” ซูหมิงมองเหอเฟิง ขณะกล่าวสีหน้าเป็นปกติ แต่ในใจกลับตึงเครียดอีกครั้ง

“เจ้าเตรียมโจมตีสวนกลับพร้อมหรือยัง”

คำกล่าวเรียบๆ กระทบหูของเหอเฟิง จิตใจเขาพลันสั่นไหว สีหน้ากลับยังคงมึนงงราวกับไม่เข้าใจความหมาย ในช่วงที่สีหน้าแสดงความงงงวย เหอเฟิงพลันลืมตาขึ้น สายตาราวกับมองทะลุตัวซูหมิงที่อยู่ห่างไปหลายจั้งเบื้องหน้า เขามองท้องฟ้าด้านหลัง สีหน้าพลันตกใจกลัว

“เสวียนหลุน!”

ขณะกล่าว เหอเฟิงพลันอ้าปากกว้าง แสงอ่อนพลันลอยมาจากปากเขา ขยับวูบวาบ ก่อนตรงไปทางซูหมิงด้วยความเร็วชั่วพริบตา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!