Skip to content

สู่วิถีอสุรา 134

ตอนที่ 134 มันเรียกว่าถุงเก็บวัตถุ

ซูหมิงอุ้มเหอเฟิงห้อเหยียดเข้าไปในป่าฝนด้วยความเร็วสูงสุด พร้อมกับกินโอสถแดนใต้เพื่อรักษาบาดแผล เดินทางต่อเนื่องมาตลอดวัน จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ป่าฝนยิ่งอยู่ลึกยิ่งเต็มไปด้วยอันตราย เดินทางมาถึงตรงนี้ ระหว่างทางซูหมิงพบเจอสัตว์ร้ายและพืชที่ทำให้เขาตื่นตระหนกหลายชนิด ดีที่ว่าเขาเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจึงหลบหลีกมาได้ไกล

ภายในป่าฝนที่ราวกับไม่มีจุดสิ้นสุดแห่งนี้ ซูหมิงไม่พบเทือกเขาเล็กอีก จึงไม่มีถ้ำสำหรับการพักผ่อน ตรงจุดนี้เต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่จำนวนมาก กระทั่งบางต้นยังมีขนาดสิบคนโอบ

เขาหาต้นไม้ใหญ่แล้วขุดโพรงด้านในขนาดหนึ่งฟางชุ่น (ตารางนิ้ว) สำหรับพักอาศัย หลังจากแผ่ขยายทุ่งหญ้าสีแดงแล้วจึงวางเหอเฟิงเอาไว้ด้านข้าง ส่วนตนนั่งขัดสมาธิหลับตารักษาบาดแผล

ทว่าขณะรักษาอาการ ในมือเขากลับถือเหรียญหินแสดงเคล็ดวิชาตราประทับปกคลุมในระยะหนึ่งร้อยจั้งเพื่อปกป้องตนเอง และตื่นตัวตลอดเวลา

จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด เขาพลันลืมตาขึ้นเมื่อฟ้ามืดสนิท มองเหอเฟิงที่กำลังหมดสติอยู่ด้านข้าง ทั้งตัวเหอเฟิงเต็มไปด้วยสมุนไพร หากวางเขาในป่าฝนจะเหมือนกับต้นพืช ต่อให้มีคนเดินผ่านก็ยากจะมองออกว่านี่คือมนุษย์

ซูหมิงจ้องเหอเฟิงครู่หนึ่ง ใช้นิ้วกดตรงกลางระหว่างคิ้วของอีกฝ่าย พบว่าบริเวณนั้นพลันมีแสงอ่อนลอยขึ้นมา แสงอ่อนนี้หากซูหมิงไม่แสดงเคล็ดวิชาตราประทับจะมองไม่เห็น

ทว่าในดวงตาเขายามนี้กลับเห็นแสงอ่อนอย่างชัดเจน มันมีลักษณะเป็นคนตัวเล็ก เห็นได้ชัดว่านี่คือเหอเฟิง เพียงแต่ว่าเหอเฟิงในยามนี้ดูตื่นกลัวและตัวสั่นเทา คารวะซูหมิงไม่ยอมหยุด แสดงเจตนาร้องขอชีวิตอย่างชัดเจน

“เดิมทีข้าตั้งใจไม่ให้เจ้าเจ็บปวด หลังจากหลอมตัวเจ้าจนตายตกก็จะช่วยเจ้าล้างแค้น……ทว่าตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” ซูหมิงกล่าวเนิบนาบ

คนเล็กตัวสั่นเทารุนแรงขึ้น ใบหน้าดูหวาดกลัว เมื่ออ้าปากพลันมีเสียงแผ่วเบาของเหอเฟิงดังขึ้นในความคิดซูหมิง

“สหายสวี่ไว้ชีวิตด้วย เหอเฟิงผิดไปแล้ว ครั้งนี้ผิดจริงๆ ขอร้องสหายสวี่ให้โอกาสข้าอีกครั้ง ให้โอกาสข้าอีกครั้ง!” น้ำเสียงเหอเฟิงแผ่วเบา ทว่าการวิงวอนจากคำพูดกลับเด่นชัดยิ่งนัก

“บอกเหตุผลที่ข้าไม่ควรสังหารเจ้ามาหนึ่งข้อ!” ซูหมิงยกมือขึ้น ตรงนิ้วชี้รวมเคล็ดวิชาตราประทับไว้

ครั้นเห็นการกระทำของซูหมิง เหอเฟิงร้องเสียงแหลม เขาได้คลุกคลีกับซูหมิงมาหลายครั้ง ทุกครั้งล้วนเสียเปรียบจึงเกิดความเกรงกลัวต่ออีกฝ่าย รวมกับยามนี้เห็นสีหน้าเย็นชาของซูหมิง จึงยิ่งรู้สึกว่าหายนะกำลังมาเยือน

“สหายสวี่ เจ้า…..หากเจ้าสังหารข้า เจ้าก็จะไม่ได้สมบัติล้ำค่า แหล่งที่ซ่อนสมบัติที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้เป็นของปลอม…”

ซูหมิงมองเหอเฟิงด้วยความเย็นชา นิ้วชี้ค่อยๆ กดลงไป การเคลื่อนไหวของเขาเชื่องช้า ฉะนั้นจึงสร้างแรงกดดันมหาศาลให้กับเหอเฟิง แรงกดดันในช่วงเวลาเป็นตายทำให้ความมั่นใจเหอเฟิงพังทลาย เขาสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มเบื้องหน้าต่างจากตอนพบกันครั้งแรก ราวกับหลังจากผ่านเรื่องราวเหล่านี้มา สติปัญญาพัฒนาขึ้นไม่น้อย

“เจ้าอย่าสังหารข้า สมบัติข้าให้เจ้า ให้เจ้าหมดเลย…อีกอย่างข้ารู้ความลับของแดนที่บรรพบุรุษเขาหานนั่งฌานละสังขาร เรื่องนี้แม้แต่สามชนเผ่ายังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้…” เหอเฟิงกล่าวอย่างรวดเร็ว ทว่านิ้วชี้ของซูหมิงไม่หยุด ห่างจากเหอเฟิงเพียงไม่ถึงเจ็ดชุ่น

ภายใต้แรงกดดัน เหอเฟิงดูสิ้นหวัง เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง

“ข้ารู้วิธีใช้ทุ่งหญ้าสีแดงแบบถูกต้อง…..และข้ายังรู้ความลับของหน้ากากอันนั้น ข้า…ข้า…ข้ามีประโยชน์กับเจ้า ข้ารู้ความสัมพันธุ์ระหว่างสามชนเผ่า และยังรู้จักบุคคลสำคัญในเผ่าพวกเขา ในเมืองเขาหานข้ามีเรือนอยู่หลังหนึ่ง ใกล้ๆ มีถ้ำลึกลับ คนอื่นไปไม่ถึง ข้ายกให้เจ้า……ข้า”

เหอเฟิงพูดจาวกวนไปมา ตัวสั่นเทามองนิ้วของซูหมิงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ยามนี้ห่างเพียงสามชุ่น

“ประสบการณ์ข้ามากกว่าเจ้าเล็กน้อย ข้าช่วยเจ้าได้ ทุกอย่างในแถบนี้ข้ารู้หมด มีข้าคอยช่วย เจ้าจะยิ่งเหมือนเสือติดปีก…” สุดท้ายเหอเฟิงแทบร้องเสียงแหลม หลับตาลงด้วยความสิ้นหวัง นิ้วของซูหมิงห่างจากเขาเพียงหนึ่งชุ่น ก่อนหยุดลง

“ข้าไม่เชื่อเจ้า” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

เหอเฟิงพลันลืมตา นัยน์ตาฉายแววร้องขอชีวิต ราวกับคำพูดของซูหมิงในยามนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่เขาจับเอาไว้ก่อนตาย เขาจะปล่อยไม่ได้

“เจ้าต้องเชื่อข้า ข้าจะยอมรับเจ้าเป็นนาย มันง่ายมาก แค่เจ้า…รวมเคล็ดวิชาตราประทับเป็นจุดเดียว จากนั้นประทับไว้บนตัวข้า หลังจากหลอมรวมกันแล้ว ข้าก็จะเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดวิชาตราประทับ เจ้าใช้เพียงความคิดก็สังหารข้าได้โดยที่ข้าไม่อาจต่อต้าน อีกทั้งข้าใกล้ทะลวงสู่ชำระล้างแล้ว จึงมีประโยชน์ต่อเจ้ามาก พวกเราจะไปสังหารเสวียนหลุน ใช้ร่างกายของข้าเป็นหุ่นเชิด…..ข้า…”

เหอเฟิงยังไม่ทันกล่าวจบ ซูหมิงพลันกดนิ้วลงตรงระหว่างคิ้วคนตัวเล็กของเหอเฟิง ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนคนตัวเล็กอ่อนแสงลงอย่างรวดเร็ว ไม่กี่ลมหายใจต่อมาก็เลือนรางใกล้ดับสูญ หากดับสูญเหอเฟิงจะตายอย่างแท้จริง ต่อให้ร่างกายเขายังมีพลังชีวิต ทว่าความจริงบนโลกใบนี้ไม่มีเหอเฟิงคนนี้อีก

“ถึงตอนนี้เจ้ายังคิดทำร้ายข้า!” ซูหมิงกล่าวอย่างเย็นชา

“ข้าเปล่า…ครั้งนี้เปล่าจริงๆ …” ขณะเหอเฟิงร้องด้วยความเจ็บปวด น้ำเสียงอ่อนลงเรื่อยๆ แสงอ่อนบนตัวเขาหายไปมากกว่าครึ่งแล้ว แววตาซูหมิงเป็นประกาย นำเคล็ดวิชาตราประทับรวมเป็นจุดเดียวแล้วหลอมรวมเข้าไป

เหอเฟิงในร่างคนเล็กพลันมั่นคงขึ้นทันที สีหน้าเผยความเจ็บปวด ทว่าในแววตากลับมีความตื่นเต้นและความปรารถนาจะมีชีวิตอยู่ เขาไม่ต่อต้าน ปล่อยให้หลอมรวมอย่างอิสระ หนึ่งก้านธูปต่อมา เมื่อคนเล็กแสงอ่อนเสถียรภาพแล้ว เขาจึงคุกเข่าต่อหน้าซูหมิงด้วยสีหน้าเคารพ

ขณะเดียวกัน ในสมองของซูหมิงมีความคิดบางอย่างเพิ่มเข้ามา ความคิดนี้ราวกับเชื่อมถึงเหอเฟิง เพียงแค่ความคิดเคลื่อนไหวก็จะลบออกได้หมดในทันที

“ข้ารู้ว่าในใจเจ้าไม่ยินยอม” ซูหมิงมองคนเล็กแสงอ่อน พลางกล่าวเรียบๆ

“ข้าน้อย…..มิกล้า…” เหอเฟิงยิ้มแห้งๆ มองซูหมิงแล้วก้มหน้าอีกครั้ง

“ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง หากเจ้าเต็มใจช่วยข้า ร้อยปีหลังจากนี้ข้าจะให้อิสระเจ้า” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่งขณะมองเหอเฟิง

เหอเฟิงได้ยินดังนั้นพลันเงยหน้ามองซูหมิง

“นายท่านพูดจริงหรือ?”

“ข้ากับเจ้าไม่มีความแค้นฝังลึกต่อกัน ตั้งแต่เริ่มเป็นเจ้าที่คิดร้ายกับข้า ข้าเพียงแต่ปกป้องตัวเองเท่านั้น เหตุใดต้องหลอกเจ้า” ซูหมิงกล่าวอย่างเย็นชา

เหอเฟิงเงียบงัน ในใจขมขื่น ผ่านไปครู่หนึ่งนัยน์ตาจึงฉายแววเด็ดเดี่ยว

“วานนายท่าน…ช่วยหยิบหน้ากากในถุงเก็บวัตถุของข้าที หน้ากากอันนี้เลียนแบบมาจากของบรรพบุรุษ แม้จะเทียบไม่ได้ ทว่าหากนำติดตัวหรือใส่มันจะไม่จำเป็นต้องถือหินวิญญาณในการแสดงเคล็ดวิชาตราประทับ”

“ถุงเก็บวัตถุ? หินวิญญาณ?” ซูหมิงมึนงง

“นายท่านไม่ทราบคงไม่แปลก ถุงใบนั้นน้อยคนนักที่รู้จักมัน ข้าน้อยเองก็ได้ทราบจากคัมภีร์ของชนเผ่า นั่นเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษ เรียกว่าถุงเก็บวัตถุ ส่วนหินวิญญาณก็คือเหรียญหินเผ่าหมานของพวกเรา” เหอเฟิงกล่าวอธิบายด้านข้าง

ซูหมิงมองเหอเฟิงแวบหนึ่ง ก่อนหยิบถุงสีม่วงจากอกเสื้อ นำหน้ากากออกมา

“นายท่านเป็นคนรอบคอบจริงๆ หน้ากากอันนี้หากท่านใส่มัน……” เหอเฟิงหัวเราะแห้งๆ กล่าวอย่างสบายใจ แม้กล่าวไม่จบทว่าซูหมิงก็เข้าใจได้ เขาเห็นเหอเฟิงพยามออกแรงยกมือขวาขึ้นแล้วกดไปบนหน้ากาก ตรงกลางระหว่างคิ้วหน้ากากพลันเปล่งแสงอ่อน ก่อนพบว่าเหอเฟิงสูบมันเข้าไปในร่างกาย ทำให้แสงอ่อนในร่างกายสว่างขึ้นในชั่วพริบตา

“นายท่านโปรดหยิบเหรียญหินสีแดงจากในถุงเก็บวัตถุ” เหอเฟิงกล่าวเบาๆ

“ร่างกายของเจ้าตอนนี้คืออะไร?” ซูหมิงไม่ได้หยิบในทันที แต่มองเหอเฟิงแล้วกล่าวช้าๆ

“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ มันสร้างขึ้นจากเคล็ดวิชาตราประทับเมื่อนานมาแล้ว ในคัมภีร์มรดกของบรรพบุรุษเคยกล่าวไว้ว่าลักษณะอย่างนี้เรียกว่ากายวิญญาณ แม้จะอ่อนแอ ทว่าก็มีเพียงผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาตราประทับเท่านั้นถึงจะมีได้

หากทะลวงถึงขั้นเซ่นไหว้กระดูก กายวิญญาณในร่างกายผู้ฝึกฝนเคล็ดวิชาตราประทับจะถูกเรียกว่าทารกวิญญาณ กระทั่งหากแข็งแกร่งไปกว่านั้น ทะลวงถึงขั้นวิญญาณหมานในตำนานจะถูกเรียกว่าเทพวิญญาณ น่าเสียดายที่คัมภีร์จำนวนมากถูกสามชนเผ่าชิงไปตอนนั้น ที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ถูกเสวียนหลุนชิงไป มิเช่นนั้นแล้ว นายท่านจะได้เห็นด้วยตาตัวเอง” เหอเฟิงกล่าวเสียงเบา

“เจ้าจะเอาเหรียญหินสีแดงไปทำอะไร” ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ แววตาเย็นชา

“นายท่านวางใจ ในเมื่อข้าน้อยตัดสินใจเป็นลิ่วล้อแล้ว อีกทั้งยังมีสัญญาหนึ่งร้อยปี ข้าน้อยจะไม่หักหลังอย่างแน่นอน เหตุที่ข้าน้อยต้องการเหรียญหินสีแดงก็เพราะอยากหลอมรวมกับกายวิญญาณของข้าน้อย แล้วใช้พลังของมันหลอมรวมกับหน้ากากอีกครั้ง จากนั้นเมื่อนายท่านใส่หน้ากากก็จะไม่ต้องใช้หินวิญญาณในการแสดงเคล็ดวิชาตราประทับอีก ขอเพียงหลังจากเหรียญหินสีแดงแตกแล้ว ช่วยส่งมาให้ข้าน้อยอีกเหรียญก็พอ

อีกทั้งหน้ากากนี้ยังสามารถปลอมแปลงกลิ่นอายพลัง ข้าน้อยเคยใช้เพียงสองครั้ง คนที่เห็นก็ถูกข้าน้อยสังหารไปแล้ว หากนายท่านสวมมันก็ไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนมองออกว่าเกี่ยวกับข้า นอกจากนี้ ข้าน้อยยังใช้หน้ากากนี้เป็นตัวกลางเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ช่วยเหลือนายท่านได้”

เหอเฟิงกล่าวอย่างมีเหตุผล เห็นได้ชัดว่าความตื่นกลัวก่อนหน้านี้หายไปและกลับคืนสู่สภาพเดิม กลายเป็นเหอเฟิงเจ้าแผนการอีกครั้ง

แววตาซูหมิงเป็นประกายยามจ้องเหอเฟิง ผ่านไปนานจึงกล่าวขึ้น

“ไม่ต้อง ข้าชินกับการใช้เหรียญหินแล้ว หน้ากากนี้ข้ายังใช้ประโยชน์อื่นได้อีก ส่วนที่พักของเจ้า…..” ซูหมิงยกมือขวาวาดกลางอากาศ พลันปรากฎวิญญาณค้างคาวจันทราจำนวนมาก ผู้อื่นมองไม่เห็น ทว่าเมื่อเหอเฟิงได้เห็นสีหน้าพลันเปลี่ยน แต่ถึงกระนั้นก็ไม่กล้าขัดขืน ปล่อยให้วิญญาณค้างคาวตรงเข้ามา พวกมันโอบล้อมตัวเขาเอาไว้ราวกับเป็นผนึกหนาแน่น ก่อนดึงเข้าสู่ร่างกายซูหมิง

มีวิญญาณค้างคาวจำนวนมากอยู่ ซูหมิงไม่กลัวเหอเฟิงจะสร้างปัญหาอะไร อีกทั้งด้วยผนึกค้างคาวจันทราพวกนี้ เขาปิดเหอเฟิงไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอกได้ ผู้อื่นไม่อาจตรวจพบ

หลังจากทำเสร็จแล้วใบหน้าซูหมิงดูเหนื่อยล้า หลายวันมานี้ผ่านเหตุการณ์เหอเฟิงมามากมาย สิ่งที่เหนื่อยล้าไม่ใช่เพียงร่างกายเท่านั้น แต่ยังมีความอ่อนล้าในจิตใจด้วย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!