Skip to content

สู่วิถีอสุรา 136

ตอนที่ 136 สมบัติล้ำค่าภูเขาหาน

สีหน้าฟางมู่ดูเศร้าซึม เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้วที่ผู้อาวุโสโม่ลึกลับไม่สนใจเขา มาหาหลายครั้ง ร้องเรียกอยู่นาน ทว่าท้ายที่สุดก็ไร้วี่แวว

เขาไม่รู้ว่าตนทำผิดอะไร มักจะหวนนึกย้อนไปถึงภาพตอนพบกันครั้งสุดท้าย วิเคราะห์ไปวิเคราะห์มาเขาคิดว่าสาเหตุน่าจะมาจากดาบกระดูกเล่มนั้น

เรื่องนี้เขาอดใจไม่ไหวจึงปรึกษากับบิดาเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนั้นบิดาเขาเงียบขรึมไม่กล่าวสิ่งใด แต่หลายวันต่อมาบิดาบอกเขาว่าอีกฝ่ายอาจออกไปจากป่าฝนแล้ว อีกทั้งยังไปอย่างเร่งรีบราวกับพบเจอเหตุอะไรบางอย่าง

ฟางมู่ได้ยินดังนั้นก็เงียบขรึมอยู่นาน เขาเคยคิดยอมแพ้ แต่จากคำพูดของซูหมิงในครั้งสุดท้ายที่ว่ามีโอกาสรักษาอาการบาดเจ็บของเขาให้หายเป็นปลิดทิ้งเจ็ดส่วน ทำให้เขาไม่ยอมแพ้ไปเช่นนี้

แม้บิดาจะบอกเขาว่าอีกฝ่ายอาจออกไปแล้วก็ตาม ทว่าทุกเดือนฟางมู่จะมาที่นี่หนึ่งครั้ง ร้องเรียกติดต่อกันหลายวัน หวังว่าจะได้ยินเสียงตอบรับสักวันหนึ่ง

ในช่วงเวลาหนึ่งปีกว่าเขามาแทบไม่เคยหยุด เขาคิดว่านี่เป็นโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของเขา

ฟางมู่ทราบว่าการกระทำของตนอยู่ในสายตาของบิดา

เพราะทุกครั้งที่เขามาป่าฝน บิดาจะให้ผู้แข็งแกร่งในเผ่าคอยคุ้มกัน และระวังภัยตามจุดนอกป่าฝนเหมือนกับทุกครั้ง ในจุดนี้เขามองออก

เมื่อนึกถึงทุกเรื่องที่ผ่านมา ฟางมู่ถอนหายใจยาว เดินเข้ามาในป่าฝนเพียงลำพัง ร้องตะโกนเรียกตามความเคยชิน

“ผู้อาวุโส…ผู้อาวุโส…” ฟางมู่มาถึงจุดที่พบซูหมิงเป็นครั้งสุดท้าย มองไปรอบๆ ด้วยสีหน้ามัวหมอง

“สมุนไพรที่ข้าให้เจ้าเตรียมได้มารึยัง” น้ำเสียงสงบนิ่งดังแว่วมาจากด้านหลังฟางมู่ แม้เสียงดังขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่ามันกลับคล้ายอยู่ตรงนี้มานาน มีความรู้สึกราวกับหลอมรวมกับแดนแห่งนี้

ฟางมู่ตื่นตะลึงพลันหมุนตัวกลับ เห็นเงาคนคุ้นเคยยืนอยู่จุดเดิมในตอนนั้น

“ผู้…ผู้อาวุโส!” ฟางมู่ตัวสั่นนัยน์ตาฉายแววปิติยินดี ลมหายใจกระชั้นถี่แอบรู้สึกเหลือเชื่อเล็กน้อย

“กระดูกสัตว์เทียบเคียงขั้นชำระล้าง ผู้เยาว์เตรียมมาแล้ว เพียงแต่ว่า…” ฟางมู่มองซูหมิง กลัวว่าอีกฝ่ายจะหายไปอีก มันยากเข็ญนักกว่าอีกฝ่ายจะปรากฎตัว ฉะนั้นเขาจึงกล่าวอธิบายอย่างร้อนรน

“เพียงแต่ว่าสมุนไพรสามชนิดเป็นของหายาก ท่านพ่อช่วยข้าหาอยู่นานก็หามาได้เพียงสองชนิด ชนิดสุดท้ายนามคือกิ่งไม้เสียงสวรรค์ สูญพันธุ์ไปนานมากแล้วในดินแดนอรุณใต้ เว้นแต่จะเป็นสถานที่พิเศษบางแห่ง ในโลกภายนอกหายากยิ่งนัก” ฟางมู่กล่าวพลางหยิบกระดิ่งใบเล็กสีดำจากอกเสื้อ บีบมันต่อหน้าซูหมิง

หมอกดำลอยขึ้น เบื้องหน้าฟางมู่ปรากฎเป็นกระดูกสัตว์สีม่วงสองชิ้น และยังมีสมุนไพรเปล่งแสงสุกสกาวสองต้น

ซูหมิงหลบอยู่ในเงามืดครึ่งตัว มองฟางมู่รวมถึงสมุนไพรและกระดูกตรงหน้าแล้วพลันเงียบขรึม

“ผู้อาวุโส ท่านให้เวลาข้าอีกสักเล็กน้อย ข้า…” ฟางมู่หัวใจเต้นแรง ดูตึงเครียดยิ่งนัก

“ข้าให้เจ้าตามหาสมุนไพรเหล่านี้ก็เพื่อหลอมเป็นน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่ง มันมีประโยชน์กับข้ามาก และยังช่วยเจ้าขจัดอาการบาดเจ็บจากเคล็ดวิชาหมานในร่างกายทางอ้อม” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

“หากขาดไปหนึ่งชนิด คงยากจะหลอมออกมาได้”

ฟางมู่กัดริมฝีปาก ประสานมือคารวะซูหมิงก่อนเงยหน้าขึ้น สีหน้าหนักแน่น

“ผู้อาวุโส ท่านพ่อเคยบอกข้าว่ากิ่งไม้เสียงสวรรค์ใช่ว่าจะหามิได้ ในเหวลึกใต้เมืองเขาหานมีแดนลับอยู่สามส่วน เมื่อหลายสิบปีก่อนสามชนเผ่ารวมถึงเผ่าบูรพาสงบของข้าเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง ได้กิ่งไม้เสียงสวรรค์มาหนึ่งต้น ทว่าเผ่าเหยียนฉือได้มันไปครอง ได้ยินว่านำไปทำเป็นยาแล้ว

แต่จากที่ท่านพ่อวิเคราะห์ ในนั้นน่าจะยังมีกิ่งไม้เสียงสวรรค์อยู่ อีกทั้งในวันสร้างบรรพกาลอีกครึ่งปีข้างหน้าจะตรงกับช่วงที่เกิดมหาหมอกภูเขาหานในทุกสิบปี ตอนนั้นสามชนเผ่าจะเปิดเส้นทางลงสู่ใต้เมืองเขาหานและส่งชาวเผ่ากับแขกพิเศษเข้าไป…ตอนนั้นท่านพ่อข้าจะช่วยส่งคนไปตามหากิ่งไม้เสียงสวรรค์มาให้…ผู้อาวุโสโปรดรออีกครึ่งปีเถิด!”

“อ้อ?” สีหน้าซูหมิงเรียบเฉย สอบถามเหอเฟิงในความคิด

‘นายท่าน เรื่องนี้ไม่ผิดแน่ จุดที่บรรพบุรุษเขาหานนั่งฌานละสังหารมีผนึกทรงพลังนัก อย่าว่าแต่พวกเขาเลย แม้แต่ข้าก็ยังเข้าไปไม่ได้ในช่วงเวลาอื่น มีเพียงวันสร้างบรรพกาลที่มีครั้งหนึ่งในทุกสิบปีเท่านั้น ทั้งแดนอรุณใต้จะเกิดหมอกหนา ตอนนั้นผนึกตรงจุดที่บรรพบุรุษนั่งฌานละสังขารจะอ่อนแอลงทำให้คนเข้าไปได้

หลายร้อยปีมานี้สามชนเผ่าน่าจะเข้าไปแล้วหลายครั้ง เป้าหมายของพวกเขาคงไม่พ้นเรื่องมรดกของบรรพบุรุษ ตอนนั้นนอกจากสมบัติล้ำค่าสี่ชิ้น สมบัติชิ้นอื่นๆ ล้วนอยู่ในจุดนั่งฌานละสังขาร

เรื่องในตอนนั้นข้าเพียงแค่ได้ยินมา ไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด รู้เพียงว่าหลังจากบรรพบุรุษเขาหานละสังหารก็ถูกสามชนเผ่าก่อกบฏ แดนลับตรงนั้นคงจะไม่ธรรมดา มิเช่นนั้นแล้วสามชนเผ่าคงกอบโกยสมบัติล้ำค่าไปจนหมดและไม่ต้องเข้าไปหลายครั้งเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขายังได้มาไม่มากพอ

นายท่าน นี่อาจเป็นโอกาส หากท่านเข้าไปในแดนบรรพบุรุษละสังขาร มีข้าคอยช่วยด้วยน่าจะได้อะไรกลับมาบ้าง อีกทั้งที่สามชนเผ่าดึงดูดแขกพิเศษเพื่อให้อยู่ระยะยาวนั่นก็เพื่อเตรียมตัวเข้าไปในนั้น

ถึงอย่างไรสามชนเผ่าก็เคยเป็นบริวารเผ่าเขาหาน ได้ยินว่าตอนนั้นถูกบรรพบุรุษขับไล่ อีกทั้งยังประทับตราทาสเอาไว้ สำหรับบรรพบุรุษแล้ว ชาวเผ่าทั้งสามล้วนเป็นทาสทุกยุคสมัย ดังนั้นเมื่อพวกเขาเข้าไปในแดนละสังขารของบรรพบุรุษแล้วจะต้องรู้สึกไม่สบายตัวอย่างแน่นอน แต่หากเป็นคนนอกก็จะไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้’ เหอเฟิงเกิดความรู้สึกด้านลบเล็กน้อย เขากล่าวอธิบาย

‘ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดสามชนเผ่าถึงทำลายเผ่าเขาหานได้?’ ซูหมิงถามในความคิด

‘เรื่องนี้อย่าว่าแต่นายท่านเลย ข้ากับชาวเผ่าก็หนักใจมานานแล้ว แต่ถึงอย่างไรมันก็เป็นเรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อน รายละเอียดในตอนนั้นมีน้อยคนนักที่จะรู้…แต่ข้าเดาว่ามันจะต้องมีคนนอกเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยแน่!’ เหอเฟิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา

แววตาซูหมิงดูขบคิด เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องแดนละสังหารของบรรพบุรุษเขาหานสักเท่าไร ทว่าความแปลกของทุ่งหญ้าสีแดง เขากับคนอื่นอยู่ที่ทุ่งหญ้านั้นแล้วไม่เหมือนกัน มันกลับทำให้เขาประหลาดใจ พร้อมกันนั้นก็พอจะคาดเดาเกี่ยวกับบรรพบุรุษเขาหานเอาไว้บ้าง

“ข้าจะรอเจ้าอีกครึ่งปี ครึ่งปีหลังจากนี้ หากเจ้าหากิ่งไม้เสียงสวรรค์มาได้ ข้าก็จะทำตามสัญญา!” ซูหมิงมองฟางมู่พลางกล่าวอย่างสงบนิ่ง

“ก่อนไปแดนลับสามส่วน เจ้ามาที่นี่อีกครั้ง ข้ามีงานจะมอบให้เจ้าทำเล็กน้อย” ซูหมิงก้าวไปเบื้องหน้า ฟางมู่สายตาพร่ามัว มองเห็นซูหมิงไม่ชัด รู้สึกเพียงความเย็นในปากราวกับมีบางสิ่งหลอมละลาย ก่อนแผ่ซ่านไปทั้งตัว

ยังไม่ทันที่เขาจะได้สติกลับมา โดยรอบเงียบสงัด ซูหมิงจากไปแล้ว กระดูกสัตว์และสมุนไพรบนพื้นก็หายไปด้วย

ทั้งตัวซูหมิงกลายเป็นสายรุ้งลากยาว ไม่ลอยขึ้นฟ้าแต่ระนาบไปกับพื้นในป่าฝน

‘นายท่าน เหตุใดถึงไม่ใช้โอกาสนี้ขอตามไปด้วย?’ เหอเฟิงอดใจไม่ไหว ออกปากถาม

‘เจ้าอยากให้ข้าไปมากหรือ?’ ซูหมิงทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความเร็ว กล่าวขึ้นในความคิด

‘นายท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าน้อยไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น’ เหอเฟิงใจสั่น รีบหุบปากทันที

ตลอดทางเหอเฟิงไม่กล่าวถึงเรื่องนี้อีก เพียงแต่บอกทางไปยังแหล่งซ่อนสมบัติของเขา ครึ่งเดือนต่อมา ณ กลางเทือกเขาห่างจากเมืองเขาหานไม่ไกลนัก ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขาก้มหน้ามองเบื้องล่าง

โดยรอบเย็นสบาย ไม่เห็นเงาคนแม้แต่น้อย ตรงจุดนี้ห่างไกลผู้คนมีน้อยคนนักจะมาถึง ลมหุบเขาลูกใหญ่พัดผ่านครืนๆ ทำให้เส้นผมยาวของซูหมิงปลิวไสว ชายเสื้อมีเสียงดังพึบพับต่อเนื่อง

เบื้องหน้าเขาคือหุบเขาใจกลางเป็นที่ราบลุ่ม หุบเขาจำนวนมากถูกต้นไม้ใบหญ้าปกคลุม แม้ไม่ใช่ป่าฝนทว่าก็เป็นเขาลึก

‘นายท่าน ถ้ำเซียนของข้าน้อยอยู่ในหุบเขาลูกที่เจ็ด’ เสียงเหอเฟิงดังก้องในความคิดซูหมิง แววตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ ขบคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนเดินไปทางหุบเขาลูกที่เจ็ด

หุบเขาลูกที่เจ็ดนี้ หากมองไกลๆ จะเป็นลักษณะเว้า ภายในมีต้นไม้ใบหญ้าจำนวนมาก และยังมีสัตว์ปีกอีกไม่น้อย ซูหมิงเดินเข้าไปในหุบเขาอย่างตื่นตัวทีละก้าว เขาสังเกตไปรอบๆ หุบเขาแห่งนี้เงียบสงบยิ่งนัก หินผาสองข้างมีรอยแตกหลายจุด ภายในเต็มไปด้วยพืชคลุมดิน

ซูหมิงกวาดสายตาไปในหุบเขา ในมือถือเหรียญหินสีขาวหนึ่งเหรียญ ก่อนยืดมือขวาหยักนิ้วใช้วิชาตราประทับ ทุกสรรพสิ่งในขอบเขตหนึ่งร้อยจั้งพลันปรากฎในความคิด สายลมพัดผ่านใบหญ้าสั่นไหว ร่องรอยต่างๆ เกิดขึ้นในจิตใจ

ไม่นาน สายตาของเขาจับจ้องไปยังตรงกลางหินผาด้านขวา บนรอยแยกขนาดไม่ใหญ่นัก ดวงตาทั้งสองข้างเป็นประกายเล็กน้อย

ภายในรอยแยกเขาเห็นนกอินทรีใหญ่สองตัว ตรงนั้นน่าจะเป็นแหล่งอาศัยของมัน

“เจ้าซ่อนเอาไว้ได้มิดจริงๆ นี่เป็นถ้ำเซียนที่เจ้าว่าหรือ?” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ

‘แหล่งอาศัยของนกเป็นที่น่าสังเกตได้ง่าย ทว่าขณะเดียวกันก็เป็นจุดที่ถูกมองข้ามได้ง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะเขาลึกห่างไกลผู้คนที่มีมากเหมือนกับนกอินทรีพวกนี้’ เสียงเหอเฟิงดังขึ้นในความคิดซูหมิง เขากล่าวอย่างระมัดระวัง

ซูหมิงใช้เคล็ดวิชาตราประทับทั้งหมดไปรวมอยู่ในรอยแยก เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดว่าไม่พบสิ่งผิดปกติแล้ว จึงขยับร่างตรงเข้าไปในรอยแยกในชั่วพริบตา นกอินทรีสองตัวนั้นตกตะลึง บินขึ้นพร้อมกับร้องเสียงแหลม พวกมันถูกเคล็ดวิชาตราประทับทิ่มแทงศีรษะ หลังจากฝืนบินขึ้นแล้วก็ตกลงมาในหุบเขา หมดสติไป

ซูหมิงเดินมาถึงด้านขวาของถ้ำ เขาย่อตัวลงมองพื้น มือขวาพลันตบไปหนึ่งครั้ง ขณะแผ่นดินสั่นสะเทือน เกิดเป็นรอยแยกเผยให้เห็นกล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือซ่อนอยู่ภายใน

กล่องหยกดูเป็นปกติ ด้านบนแกะสลักลวดลายดอกไม้ ซูหมิงไม่ได้หยิบมันขึ้นมาในทันที เพียงแต่พิจารณาอย่างละเอียดสักครู่ ทว่าสีหน้าของเขากลับเคร่งขรึมมากขึ้น

‘สมบัติที่บรรพบุรุษเขาหมานตกทอดเอาไว้…คืออะไรกันแน่…’ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลงมองกล่องดังกล่าว

สำหรับของล้ำค่าที่อยู่ภายใน ซูหมิงเคยถามเหอเฟิงแล้ว ทว่าคำตอบของเขากลับไม่ชัดเจน เขาบอกว่าเคยเปิดมาแล้วครั้งหนึ่ง เห็นเพียงแสงสีดำเส้นหนึ่งเท่านั้น เมื่อแสงวูบผ่านไปกล่องใบนั้นพลันปิดเอง ไม่ว่าเขาจะทำอย่างไรก็เปิดมันไม่ได้อีก

บวกกับเขากลัวว่าตนจะไม่มีคุณสมบัติพอจะครอบครองสิ่งนี้และพบกับหายนะเพราะมัน จึงตรึกตรองอย่างรอบคอบหลายครั้ง จนตัดสินใจนำมันมาซ่อนไว้ที่นี่ รอจนเมื่อตนทะลวงสู่ขั้นชำระล้างแล้วค่อยกลับมาเปิดมันใหม่

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!