Skip to content

สู่วิถีอสุรา 148

ตอนที่ 148 สู่สายตาที่เฝ้ามอง

“อาคมเคลื่อนย้าย!” เสียงแหลมของเหอเฟิงดังในความคิดซูหมิง ภายในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความเหลือเชื่อ

ซูหมิงเงียบไม่กล่าว ขณะห้อเหยียดเข้าใกล้ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงมากขึ้น เขาเห็นก้อนหินสีแดงในมืออีกฝ่าย เห็นเงาคนผู้นั้นค่อยๆ เลือนหาย ทั้งยังเห็นรอยยิ้มเย็นชาที่มุมปาก

สามร้อยจั้ง สองร้อยเจ็ดสิบจั้ง สองร้อยสี่สิบจั้ง…

จนกระทั่งห่างกันเพียงสองร้อยจั้ง ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงหายไปมากกว่าครึ่ง ภายใต้แสงสีแดงเด่นชัด เขาขยับวูบวาบใกล้จะเลือนหาย ซูหมิงเงยหน้า นัยน์ตาฉายแววเย็นชา

สำหรับคนที่คิดสังหารเขา เขาจะไม่ออมมือให้เด็ดขาด นี่คือสิ่งที่ท่านปู่สอน สังหารคนที่เป็นอันตรายต่อตนให้สิ้น ในเมื่อสัตว์ป่าแยกเขี้ยวก็ต้องมีของแลกเปลี่ยน!

ในช่วงที่ทั้งสองคนห่างกันสองร้อยจั้ง ตรงระหว่างคิ้วซูหมิงพลันมีตราประทับกระบี่ขยับแสง กลายเป็นลำแสงดำสายหนึ่งซึ่งเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วในระดับที่สายตาไม่อาจมองเห็น ลากเสียงแหลมตรงเข้าใส่ชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดง

เงาของชายร่างกำยำแทบจะโปร่งใสทั้งหมด แสงสีแดงขยับวูบวาบเด่นชัด ปกคลุมร่างกายเขาไว้ นัยน์ตาฉายแววเย้ยหยัน ก่อนหลับตาลง ในความคิดเขา เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้งเขาจะไม่เห็นคนที่สังหารหลินตงอีก สิ่งที่เขาเห็นน่าจะเป็นชาวเผ่าของเขา

ทว่าในช่วงที่เขาหลับตา ชายร่างกำยำพลันตัวสั่นสะท้าน ลืมตาขึ้นจึงพบว่าแสงดำตรงเข้ามาและทะลวงผ่านร่างโปร่งใสของเขา

เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้อง ชายร่างกำยำถูกแบ่งเป็นสองส่วน ด้านท่อนบนยังมีแสงสีแดงขยับวูบวาบ ถูกส่งออกจากตรงนี้ไป ทว่าท่อนล่างกลับถูกกระบี่เล็กตัดขาดสะบั้นอยู่ที่เดิม

โลหิตแตกกระเซ็น ท่อนล่างของชายร่างกำยำล้มลงกับพื้น

แสงสีแดงค่อยๆ เลือนหาย โดยรอบกลับมาเป็นปกติทีละน้อย เหลือเพียงร่างกายท่อนล่างบนพื้นเป็นเครื่องยืนยันเหตุการณ์เมื่อครู่ ซูหมิงมายืนอยู่ตรงหน้ากายครึ่งท่อน กวาดสายตามอง

‘เหอเฟิง เมื่อครู่เจ้าว่าอะไร’ ซูหมิงมีสีหน้าอ่อนเพลียเล็กน้อย อานุภาพของกระบี่เล็กทรงพลังยิ่งนัก ทว่าการใช้งานก็ต้องแลกกับอะไรไม่น้อย โดยเฉพาะการขยายอาณาเขตสองร้อยจั้ง ทำให้เสียพลังวิญญาณจากในเส้นเลือดลมเกือบเจ็ดส่วน

ทว่าในนี้ ซูหมิงสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีพลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าโลกภายนอกมาก ทำให้การฟื้นฟูพลังกลับมาอย่างรวดเร็ว และนี่ยิ่งทำให้เขาอยากพบบรรพบุรุษเขาหานมากขึ้นอีก

‘นายท่าน คนเสื้อคลุมแดงเมื่อครู่เป็นชาวเผ่าเหยียนฉือ มิใช่แขกพิเศษ หินที่เขาถือก่อนหน้านี้ข้าเองก็ไม่รู้ว่าคืออะไร ทว่าการใช้งานของมันเห็นได้ชัดว่าคือการเคลื่อนย้าย!

ลวดลายบนหินน่าจะเป็น…อาคมเคลื่อนย้าย! เหมือนกับตอนที่เผ่าบูรพาสงบใช้พลังจากเทวรูปหมานส่งท่านมาที่นี่ เพียงแต่ว่าเผ่าบูรพาสงบทำได้เพียงยืมพลังจากเทวรูปหมาน อีกทั้งยังต้องใช้ร่วมกับอาคมเคลื่อนย้ายสมบูรณ์ที่อยู่ในห้องลับ

ทว่าชาวเผ่าเหยียนฉือคนนี้กลับต่างออกไป เขา…เขาถืออาคมเคลื่อนย้ายขนาดย่อส่วนในมือ เขาใช้เพียงแค่หินก้อนนั้นก็สามารถเคลื่อนย้ายได้ตลอดเวลา ไปโผล่ตรงจุดรวมพลของเผ่าเหยียนฉือ!

นี่…นี่พอจะอธิบายได้ว่าเผ่าเหยียนฉือมีข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนย้าย!’ เหอเฟิงสงบลง อธิบายให้ซูหมิงฟังอย่างละเอียด

‘แม้แต่เผ่าเขาหานในตอนนั้นยังไม่ค่อยเข้าใจโครงสร้างในการเคลื่อนย้ายที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้สักเท่าไร ใช้ได้เพียงที่เหลืออยู่ ทว่าไม่อาจสร้างขึ้นมาใหม่ได้…

สมบัติล้ำค่าที่เผ่าเหยียนฉือชิงไปในตอนนั้นเป็นแผ่นหยกบันทึกม้วนหนึ่ง ด้านในบันทึกเคล็ดวิชาของบรรพบุรุษเอาไว้เล็กน้อย อีกทั้งยังบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงที่ซับซ้อนและการสร้างอาคมเคลื่อนย้าย…เผ่าเหยียนฉือจะต้องศึกษาจนบรรลุแล้วอย่างแน่นอน!’

‘นายท่าน ที่นี่อันตราย! แขกพิเศษบูรพาสงบไม่มาตามนัดเช่นนี้ จุดรวมพลของพวกเขาจะต้องเกิดอะไรขึ้นอย่างแน่นอน นายท่านห้ามไปเด็ดขาด! หากตงฟางหวากับคนแซ่เฉินไปก็เท่ากับเข้าไปติดกับ!’ เหอเฟิงอธิบายต่อ น้ำเสียงดูร้อนรน

‘ก่อนหน้านี้เจ้าเคยบอกว่า หากสามชนเผ่ามาที่นี่จะต้องทนรับแรงต้านมหาศาล เพราะพวกเขาเป็นทาสของเผ่าเขาหานมาโดยตลอด…’ ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง พลันกล่าวขึ้น

เหอเฟิงราวกับนึกอะไรออก พลันกล่าวว่า ‘เหอเฟิงเข้าใจความหมายของนายท่าน ทว่าเผ่าเหยียนฉือมีความทะเยอทะยานสูง คนที่พวกเขาส่งเข้ามาจะต้องมีจำนวนมากอย่างแน่นอน นอกจากแขกพิเศษแล้ว ส่วนใหญ่เป็นชาวเผ่าของพวกเขา อีกทั้งชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงก่อนหน้านี้ แม้ข้าไม่เคยเห็นหน้า แต่ว่าเหมือนตัวเขามิได้ทนรับแรงต้านอะไรมากนัก…กล่าวได้ว่าบางทีเผ่าเหยียนฉืออาจค้นพบวิธีต่อต้านกับข้อจำกัดนั้น?’

‘น่าจะต้านได้แค่ช่วงเวลาหนึ่ง’ ซูหมิงมองร่างครึ่งท่อนของชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงที่ด้านข้าง ยามนี้ศพค่อยๆ แห้งเหี่ยว ส่งเสียงดังกรุบๆ

เป็นเพราะกระดูกภายในถูกบีบตัวอย่างน่าอัศจรรย์จนเกิดการแตกหัก กระทั่งขณะแห้งเหี่ยวยังมีควันดำแผ่กระจาย

‘ครั้งนี้เผ่าเหยียนฉือคิดทำการใหญ่…ขณะที่เผ่าบูรพาสงบกับเผ่าผู่เชียงไม่รู้ตัว พวกเขาอาจมีกำลังมากพอจะเปิดหลุมศพของบรรพบุรุษเขาหานที่ยังไม่เคยมีใครเปิดได้’ เหอเฟิงกล่าวพึมพำ

‘สถานการณ์เมืองเขาหานกำลังจะเปลี่ยนไป…นายท่าน เราต้องหยุดพวกเขา!’ เหอเฟิงไม่ทราบว่าคิดอะไรอยู่ เขาพลันกล่าวขึ้น ทว่าเมื่อกล่าวออกไปก็นึกเสียใจภายหลัง

ซูหมิงขยับร่างออกจากตรงนี้ ตรงเข้าไปทางศพของชายชราเสื้อคลุมดำเมื่อครู่ พลิกศพไปมาจนได้ของมาหลายชิ้น หลังจากนำใส่ถุงเก็บวัตถุแล้วก็ไม่สนใจเหอเฟิงอีก

‘นายท่าน ข้า…..’ เหอเฟิงเห็นซูหมิงเป็นเช่นนี้ หัวใจก็เต้นแรง

‘ข้าจะไม่ห้ามพวกเผ่าเหยียนฉือ และข้าก็ไม่มีพลังมากพอจะหยุดพวกเขาได้’

ซูหมิงยืนอยู่ข้างศพชายชราเสื้อคลุมดำ ขยายเคล็ดวิชาตราประทับในขอบเขตสองร้อยจั้ง จากนั้นมุ่งหน้าห้อเหยียดไกลออกไป

‘แต่ว่านายท่าน หากเผ่าเหยียนฉือเปิดหลุมศพของบรรพบุรุษได้ พวกเขาจะเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในเมืองเขาหาน ถึงตอนนั้นจะส่งผลกระทบต่อนายท่านทุกทาง อีกทั้ง…’

ซูหมิงเงียบขรึม มองไปรอบตัว แดนลับใต้เมืองเขาหานแห่งนี้เหมือนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ โดยรอบมืดสลัว มีภูเขาหัวโล้นขึ้นลงจำนวนมาก ทั้งยังมีหมอกโอบล้อม ท่ามกลางความเงียบสงัดแฝงไว้ด้วยความทะมึนทึบ

‘อีกทั้งที่เผ่าเหยียนฉือเข้าไปในสุสานของบรรพบรุษ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ทว่ามาคิดดูแล้ว หากพวกเขาได้มรดกของบรรพบุรุษ ขุมพลังจะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นแน่ และที่สำคัญคือสมบัติล้ำค่าเหล่านั้น ข้าคิดว่ามันเป็นของนายท่าน นายท่านมีกระบี่ดำ มีหนังสัตว์ผืนนั้น ด้วยการช่วยเหลือของข้า ภายในเวลาไม่กี่ปีพวกเราอาจจะเข้าไปในสุสานของบรรพบุรุษได้ด้วยตัวเอง…ข้า…’ เหอเฟิงหมดหนทางเช่นกัน ในใจเขาร้อนรน ฝากความหวังเพียงหนึ่งเดียวไว้กับซูหมิง หวังว่าอีกฝ่ายจะสนใจ

‘เหอเฟิง เจ้าปิดบังอะไรข้ากันแน่’ ซูหมิงเดินหน้าต่อ กล่าวอย่างสงบนิ่ง คำพูดของเหอเฟิงทำให้เขาพลันชะงัก

‘นายท่าน ข้าไม่ได้ปิดบังอะไรทั้งนั้น ข้ากังวลเป้าหมายของเผ่าเหยียนฉือ หากพวกเขาได้มรดกของบรรพบุรุษ…” เหอเฟิงกำลังจะอธิบาย

‘เจ้าไม่รู้เป้าหมายของพวกเขามิใช่หรือ เหยียนฉือก็ดี ผู่เชียงก็ดี แม้แต่บูรพาสงบ เป้าหมายของพวกเขาเจ้าไม่รู้มิใช่หรืออย่างไร?’ ซูหมิงเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วยิ่ง ขณะกล่าวเขามาถึงยอดเขาหัวโล้นลูกหนึ่ง ยืนอยู่ตรงนั้น แหงนหน้ารับสายลมอบอ้าวพลางมองทอดออกไป

แดนแห่งนี้เต็มไปด้วยภูเขาหัวโล้น สลับขึ้นลงกลายเป็นเทือกเขาจำนวนมาก สุดสายตาของซูหมิงเห็นที่ราบแห่งหนึ่งถูกโอบล้อมด้วยหุบเขานับไม่ถ้วน

ที่ราบแห่งนี้เป็นพื้นดินทราย มีพายุหมุนอยู่ภายในต่อเนื่อง มองลึกลงไปอีก ซูหมิงเห็นสิ่งก่อสร้างยักษ์เลือนรางอยู่ในพายุหมุน มองดูค่อนข้างไกล ทว่าความจริงแล้วหากเดินไปจะพบว่ามันไกลยิ่งกว่า

ยามนี้สุดสายตาของซูหมิง เขาเห็นเพียงส่วนลึกของพายุหมุนได้เลือนราง โดยรอบสิ่งก่อสร้างยักษ์มีหอคอยหินสูงเกือบหนึ่งร้อยจั้งสามแห่ง ระยะห่างของสามหอคอยห่างไกลกันยิ่งนัก แบ่งสีกันอย่างชัดเจน มีสีดำ สีแดง และสีขาว

ด้านหลังสิ่งก่อสร้างยักษ์เป็นหอคอยหินสีแดง ยามนี้บนหอคอยมีเงาคนเสื้อคลุมแดงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่สิบกว่าคน จากตำแหน่งที่นั่งของพวกเขาจะแบ่งอันดับกันได้อย่างชัดเจน

ตรงหน้าสุดเป็นหญิงสาวที่ออกเรือนแล้วผู้มีใบหน้างดงาม นางหลับตา เส้นผมยาวปลิวไสว ตรงมุมปากมีไฝสีแดงเข้มหนึ่งเม็ด ทำให้นางดูมีเสน่ห์อย่างเป็นธรรมชาติ

หากผู้อื่นมาเห็นเข้า เพียงมองแวบแรกต้องรู้ทันทีว่าใบหน้าของนางแทบจะเหมือนกับใบหน้าสตรีที่ขยับวูบวาบในหมอกแดงของเผ่าเหยียนฉือ

นางคือคนที่กล่าวกับเสวียนหลุนตอนซูหมิงอยู่ในเมืองเขาหาน ได้ยินแต่เสียงไม่เห็นใบหน้า จ้าวเผ่าเหยียนฉือที่เสวียนหลุนเอ่ยถึง เหยียนหลวน!

ด้านหลังเหยียนหลวนมีคนนั่งอยู่สองคน หนึ่งในสองคนนี้คือหานเฟยจื่อ นางสวมเสื้อผ้าสีแดง บนใบหน้ายังมีผ้าขาวบดบัง สีหน้าเย็นชา

ข้างกายนางเป็นชายหนุ่มอายุไม่น่าจะถึงสามสิบปี ใบหน้าดูมีภูมิฐาน ร่างกายกำยำ แววตาเป็นประกายวาววับ มองหานเฟยจื่อเป็นบางครั้ง นัยน์ตาฉายแววรักใคร่อย่างเปิดเผย

คนเหล่านี้ราวกับกำลังรอเวลาเคลื่อนผ่านอย่างเงียบเชียบ ทว่าทันใดนั้น ตรงหอคอยหินพลันมีจุดแสงสีแดงก่อตัวขึ้น ช่วงที่ทุกคนมองไปมีเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังมาจากในมิติ ก่อนปรากฏเป็นเงาคนเลือนรางขึ้นบนหอคอย

ทว่าเงาร่างคนมาเพียงครึ่งตัว รวมกลุ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในช่วงที่เงาคนเด่นชัด สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าทุกคนคือชายร่างกำยำเสื้อคลุมแดงที่ถูกซูหมิงตัดครึ่งท่อน

ยามนี้เขามีใบหน้าขาวซีด หลังปรากฏกายก็ล้มลง ลำตัวสั่นเทา ตรงส่วนเอวหายไปเหลือเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ชีพจรหายไปอย่างรวดเร็ว ในปากเขาเต็มไปด้วยโลหิต คิดจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่กลับไม่อาจเปล่งเสียงได้

การปรากฏตัวของเขาทำให้ชาวเผ่าเหยียนฉือส่วนใหญ่รวมถึงหานเฟยจื่อสีหน้าพลันเปลี่ยน

เหยียนหลวนจ้าวเผ่าเหยียนฉือเพ่งมอง มืองามชี้ไปทางชายเสื้อคลุมแดง ปรากฏหมอกแดงเส้นหนึ่งตรงเข้าไปทางเขา มันไหลผ่านทวารทั้งเจ็ดในร่างกาย กระตุ้นชายร่างกำยำขึ้นมา

“จ้าวเผ่า แขกพิเศษคนใหม่ของบูรพาสงบสังหารหลินตงได้ในพริบตา…”

ชายร่างกำยำกล่าวได้เพียงแค่นั้น สีหน้าก็พลันมัวหมอง ทว่าทันใดนั้น โลหิตที่ไหลออกมาจากตัวเขารวมเข้าด้วยกันในชั่วพริบตา จากนั้นลอยจากร่างมากลางอากาศ กลายเป็นเงาโลหิตร่างหนึ่ง

เงาโลหิตดังกล่าวเด่นชัดยิ่งนัก เป็นรูปร่างที่สวมหน้ากากของซูหมิง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!