ตอนที่ 155 บางคำก็ไม่ควรได้ยิน
“เปล่า ข้าแค่ไม่ชอบคนปิดบังใบหน้า” แววตาเสวียนหลุนเป็นประกาย พลันก้าวเดินไปทางซูหมิง ทันใดนั้น ชายราด้านหลังพลันปล่อยจิตสังหาร จ้องซูหมิงเดินตามเข้ามาเช่นกัน
ซูหมิงไม่ขยับเพียงนั่งสมาธิอยู่ที่เดิม ตงฟางหวาด้านข้างกลืนน้ำลาย หัวใจเต้นแรงพลางกำลังล่าถอย ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าเรียบเฉยของซูหมิงแล้ว ก็นึกถึงการตัดสินใจอย่างเด็ดขาดของตนก่อนหน้านี้ ขณะลังเลพลันขบกรามแน่น เขาทราบดีว่าตนไม่อาจหลีกหนีเรื่องนี้ได้ หากถอยจริงๆ ก็จะไม่ได้เป็นผู้ติดตามของโม่ซูอีก กระทั่งเสียสิทธิ์ในการอยู่ที่นี่ไป
‘เดิมพัน ข้าต้องเดิมพัน!’ ภายใต้การตัดสินใจ ตงฟางหวากำหมัดแน่น เส้นเลือดในร่างกายพลันปะทุ ยืนอยู่ข้างซูหมิงไม่ยอมถอย
“เจ้าจะสู้กับข้ารึ?” ซูหมิงเงยหน้ามองเสวียนหลุนที่กำลังเดินเข้ามา แววตาหยั่งลึกฉายประกายประหลาดใจ กล่าวเรียบๆ
เสวียนหลุนชะงักฝีเท้า หรี่ตาลงประสานสายตากับซูหมิง ภัยอันตรายพลันตรงเข้ามา แม้เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทว่ากลับชัดเจนยิ่งนัก โดยเฉพาะความหยั่งลึกในดวงตาของซูหมิงประดุจดารา ทำให้เสวียนหลุนอดเกิดความรู้สึกตื่นตะลึงมิได้
ขนาดเขายังเป็นเช่นนั้นยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงชายชราด้านหลัง ในช่วงที่ชายชรามองดวงตาของซูหมิงพลันเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นในความคิด สีหน้าสับสนราวกับเสียสติ
“แม้ว่าแซ่โม่จะได้รับบาดเจ็บจากฝีมือของจ้าวเผ่าเหยียนฉือ ทว่าหากเจ้าคิดจะสู้ก็เชิญ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ คำพูดของเขาเชื่องช้า มอบเวลาให้อีกฝ่ายในการขบคิดและสื่อถึงความหมายแฝงในคำพูด
“เหยียนหลวนจ้าวเผ่าเหยียนฉือ? นางมานี่ด้วยรึ?” หนานเทียนสีหน้าพลันจริงจัง กล่าวเสียงหนักแน่น
“เดิมทีแซ่โม่ก็ไม่ทราบว่านางมาหรือไม่ คนที่ประมือกับข้าคือหานเฟยจื่อกับ
เหยียนก่วงและใบหน้าแปลงจากเคล็ดวิชาหมานของเหยียนหลวน” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง เปิดตรงหน้าอกตัวเอง พบว่าบริเวณนั้นมีภาพสัญลักษณ์ชมพู หากมองอย่างละเอียดจะพบว่าเป็นใบหน้าสตรี
ช่วงที่เห็นภาพสัญลักษณ์ดังกล่าว หนานเทียนหรี่ตาลง แววตาเสวียนหลุนสั่นไหว
“หนีรอดมาจากใบหน้าแปลงของเหยียนหลวนกับหานเฟยจื่อได้ สหายโม่…แซ่หนานนับถือ!” หนานเทียนกล่าวอย่างหนักแน่น เขาทราบถึงความแข็งแกร่งของเคล็ดวิชาหมานของเหยียนหลวนดี หากเป็นตัวเขาแม้จะหนีรอดมาได้ เกรงว่าคงบาดเจ็บสาหัส ไม่เหมือนกับโม่ซูที่ยังมีแรงสู้เหลืออยู่
“สหายเสวียน ตอนนี้คนที่มีพลังต่อกรกับขั้นชำระล้างมีแค่พวกเราสามคน หากพวกเราต่อสู้กันเอง เกรงว่าคงตายตกกันอยู่ในนี้จริงๆ ไม่คิดเลยว่าเหยียนหลวนจะมาด้วย มิใช่ว่านางกำลังปิดด่านฝึกพลังเพื่อทะลวงสู่ชำระล้างตอนปลายอยู่หรือ!”
สีหน้าหนานเทียนหนักอึ้งยิ่งนัก เขาคิดว่าวิธีปล่อยกลิ่นอายพลังก่อนหน้านี้ยังไม่รอบคอบพอ ยามนี้มาคิดดูอีกครั้งพบว่ามีเหงื่อเย็นๆ ผุดขึ้น
เสวียนหลุนเงียบขรึม มองซูหมิงอยู่นานก่อนแค่นเสียงหึ
“เจ้ามีนามว่าอะไร”
“โม่ซู” ซูหมิงมองเสวียนหลุน กล่าวเรียบๆ
เสวียนหลุนพิจารณาซูหมิงอย่างละเอียดครู่หนึ่ง ก่อนหมุนตัวเดินไปด้านข้างแล้วนั่งขัดสมาธิลง ไม่กล่าวถึงเรื่องต่อสู้อีก ยามนี้ยิ่งมีอันตรายจากเผ่าเหยียนฉือ เขาไม่มั่นใจเต็มสิบว่าจะสังหารอีกฝ่ายในสภาพสมบูรณ์ได้ เรื่องแบบนี้เพียงเพราะไม่ชอบหน้า เขาจะไม่ลงมือเด็ดขาด
“สหายเสวียน สหายโม่ อีกเจ็ดวันแดนแห่งนี้จะปิดลง พวกเราสามคนต้องอยู่ด้วยกัน เว้นแต่เหยียนหลวนจะมาด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วพวกเราก็จะปลอดภัย แต่ข้าคิดว่าตอนนี้เหยียนหลวนน่าจะอยู่ในแดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรุษเขาหาน แผนการของพวกเขายิ่งใหญ่นัก ขอแค่พวกเราไม่เข้าไปเกี่ยวด้วยนางก็จะไม่สร้างปัญหาให้กับพวกเรา แม้นางจะเป็นชำระล้างตอนกลางทว่าเผชิญหน้ากับพวกเราสามคนก็ต้องได้รับบาดเจ็บบ้าง มันจะส่งผลเสียต่อแผนการชิงมรดกบรรพบุรุษเขาหานของนาง” หนานเทียนขบคิดชั่วครู่ กวาดสายตามองเสวียนหลวนกับซูหมิง
“หนานเทียนเจ้ามีแผนอย่างไรบ้าง พูดมา” เสวียนหลุนกล่าวอย่างเย็นชา
“ด้วยขั้นพลังของข้าเข้าร่วมกับสามชนเผ่า หลายปีมานี้หากบอกว่าเพื่อชื่อเสียงจอมปลอมกับสมุนไพรธรรมดาและวิชาหมานคงเป็นไปมิได้ แซ่หนานจะไม่ปิดบัง ที่ข้าเข้าร่วมเผ่าบูรพาสงบก็เพื่อมรดกบรรพบุรุษเขาหาน ตอนนั้นเขามีชื่อเสียงโด่งดัง มรดกของเขาทำให้สามชนเผ่าให้ความสำคัญเช่นนี้ แม้แซ่หนานจะความสามารถไม่ถึง ทว่าก็อยากได้ส่วนแบ่งสักเล็กน้อย ตอนนี้ต่อให้อันตรายแค่ไหน ทว่าบางทีนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้าย…” แววตาหนานเทียนเป็นประกาย กล่าวเสียงเบา
“ข้ารู้เส้นทางลับ…ชื่อมไปถึงที่ราบ หากสหายเสวียนกับสหายโม่คิดเหมือนกับข้า พวกเราก็สู้ไปด้วยกันเถอะ! สมบัติทุกชิ้นพวกเราจะแบ่งกันสามคน”
“ทางลับ? เหยียนหลวนจะต้องอยู่บนหอคอยที่ราบอย่างแน่นอน หากพวกเราไปก็คงหลบไม่พ้นสายตาของนาง เท่ากับรนหาที่ตายชัดๆ!” เสวียนหลุนขมวดคิ้ว
“เรื่องนี้แซ่หนานมั่นใจว่าเหยียนหลวนจะไม่สังเกตเห็น แม้ว่าเส้นทางลับจะอยู่ในแดนที่ราบ ทว่าภายในกลับมีทางแยก หนึ่งในทางแยกนั้นมีทางเชื่อมไปยังสุสานของบรรพบุรุษเขาหาน! ตอนนั้นข้าเคยเข้าไป ทว่าก็เปิดผนึกมิได้เลยต้องยอมแพ้ ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเผ่าเหยียนฉือพบวิธีเปิดผนึกสุสานบรรพบุรุษแล้ว เราจะอาศัยจังหวะที่พวกเขาเปิดผนึกแล้วแอบเข้าไปด้านใน
อีกทั้งเพราะผนึกที่ว่า หากเหยียนหยวนมิใช่ผู้แข็งแกร่งขั้นเซ่นไหว้กระดูกที่สามารถเชื่อมต่อกับฟ้าดิน นางก็ไม่มีทางสัมผัสได้เด็ดขาด”
“อ้อ? หากมีเส้นทางลับจริงๆ เจ้าไปเองก็ได้มิใช่หรือ ไม่เห็นจำเป็นต้องบอกข้า” เสวียนหลุนสีหน้าเป็นปกติ ทว่าในใจสั่นไหว เหลือบสายตามองซูหมิงที่ยังคงเงียบขรึม
“ไม่ปิดบังสหายเสวียน แม้ข้าจะเปิดผนึกไม่ได้ทว่าก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันจากด้านใน ภายในสุสานบรรพบุรุษเขาหานน่าจะมีภัยร้ายขนาดมหึมา ด้วยพลังของข้าคงยากจะเดินจนสุดปลายทาง…แม้สมบัติล้ำค่าจะสำคัญ ทว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่า แต่หากเราสามคนร่วมมือกัน เอาข้อดีของแต่ละคนมาเสริมข้อเสียของกันและกัน บางทีอาจจะได้ทรัพยากรล้ำค่า เรื่องนี้แซ่หนานพูดความจริง จะเลือกอย่างไร ระหว่างหลบอยู่นี่และรออีกเจ็ดวันค่อยออกไปอย่างปลอดภัย หรือจะสู้ไปด้วยกัน อยู่ที่พวกเจ้าแล้ว” หนานเทียนกล่าวเรียบๆ
ภายในหุบเขาค่อยๆ เงียบสงบ เสวียนหลุนเงียบขรึมหลับตาลงราวกับกำลังขบคิด ซูหมิงก้มหน้าแววตาเป็นประกาย แม้เขาอยากพบบรรพบุรุษเขาหาน ทว่าสิ่งที่เขาอยากเห็นคือแดนนั่งฌานละสังขารกับศพ มิใช่บรรพบุรุษเขาหานที่ยังมีชีวิต
‘กระบี่เล็กของข้าเป็นของบรรพบุรุษเขาหาน และยังมีทุ่งหญ้าสีแดงล้วนเป็นของเขาทั้งหมด…..หากเขาตายไปแล้วจริงๆ ก็ไม่เป็นไร แต่หากเขายังไม่ตาย…ทุกอย่างของข้า ไม่มีผลเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา’ นี่เป็นจุดที่ซูหมิงสงสัยมากที่สุด และเป็นสาเหตุหลักที่ซูหมิงไม่ยอมทำตามข้อเสนอของเหอเฟิงที่ว่ารู้เส้นทางเข้าไปในแดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรุษ
‘แต่ว่านี่เป็นโอกาส มีสองคนนี้อยู่ อีกทั้งเผ่าเหยียนฉือก็เข้าไปเหมือนกัน ต่อให้บรรพบุรุษเขาหานยังไม่ตาย เขาคงคงไม่มีเวลามาสนใจข้าหรอก ไป หรือว่าไม่ไป……’ ซูหมิงขมวดคิ้ว ยากจะตัดสินใจ
ก่อนหน้านี้เขาอยากเข้ามานี่ก็เพื่อตามหาวิธีในการดูดซับพลังวิญญาณจากฟ้าดินให้เร็วที่สุด เขาในตอนนั้นคิดว่าบรรพบุรุษเขาหานสิ้นลงแล้ว ทว่าหลังจากเหยียบเข้ามาในแดนแห่งนี้ เจอกับเหตุการณ์ต่อเนื่อง ยามนี้ความคิดที่ว่าเริ่มสั่นคลอน
ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิด เขาได้ยินเสียงของเสวียนหลุนดังขึ้น
“เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจ รอเข้าไปในเส้นทางลับที่เจ้าว่าก่อน หลังจากเห็นผนึกแดนนั่งฌานละสังขารของบรรพบุรษแล้วค่อยตัดสินใจอีกทีคงไม่สาย”
หนานเทียนพยักหน้า เพียงคำพูดไม่มีน้ำหนักพอ เขาเข้าใจนิสัยรอบคอบของเสวียนหลุนดี ต้องตาเห็นจึงนับว่าจริง เขาจึงเบนสายตาไปทางซูหมิง
“สหายโม่ ท่านคิดว่าอย่างไรบ้าง?”
“แซ่โม่ยังบาดเจ็บอยู่ แม้อยากไปด้วยทว่าเกรงจะช่วยอะไรไม่ได้” ซูหมิงไม่ได้ปฏิเสธ แต่ใช้การเบี่ยงเบน กล่าวเรียบๆ
เสวียนหลุนไม่กล่าว ทว่านัยน์ตาฉายแววเย็นชา หนานเทียนขบคิดชั่วครู่
จ้องซูหมิง คำพูดของเขาก่อนหน้านี้ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องอันตราย หากทุกคนไปพร้อมกันก็ดี ทว่าหากขาดไปคนหนึ่ง ก็มีความเสี่ยงที่แผนการจะรั่วไหล
“เรื่องนี้ช่วยไม่ได้ เคล็ดวิชาของเหยียนหลวนทำลายหัวใจของคน ข้าเห็นอาการบาดเจ็บของสหายโม่แล้วว่าหนักตรงหัวใจ…” ขณะหนานเทียนกล่าว เขายกมือชี้ไปทางกระดูกสีดำชิ้นหนึ่งที่ลอยอยู่ตรงหน้า กระดูกดังกล่าวตรงมาทางซูหมิงลอยนิ่งอยู่หน้าเขา
“ข้าจะใช้กระดูกนี้รักษาอาการบาดเจ็บให้สหายโม่ก่อนเพื่อลดความเจ็บปวดตรงหัวใจ” ซูหมิงมองกระดูกตรงหน้า ผ่านไปนานจึงหยักหน้า สีหน้าเรียบเฉยทว่าในใจกลับตื่นตัว ใช้เคล็ดวิชาตราประทับรวมอยู่ตรงกระดูก
หนานเทียนเห็นซูหมิงตกลงจึงกัดปลายนิ้วมือขวา พลันจิ้มไปตรงกลางระหว่างคิ้ว พบว่ากระดูกสีดำตรงหน้าซูหมิงเปล่งแสงอ่อน มีกลิ่นอายพลังสีชมพูขับออกมาจากหน้าอกของเขา ถูกสูบเข้าไปในกระดูก
ผ่านไปครึ่งก้านธูปกระดูกสีดำทั้งชิ้นกลายเป็นสีชมพู หนานเทียนลดมือขวาลงจากระหว่างคิ้ว แล้วใช้นิ้วจิ้มไปยังกระดูก พบว่ากระดูกสีดำพลันหล่นลงพื้นบินกลับมาอยู่ข้างเขา
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสได้ว่าอาการบาดเจ็บตรงหน้าอกดีขึ้นไม่น้อย อีกทั้งความเจ็บปวดยังลดลงไปมาก
“สหายโม่ ตอนนี้ไปได้หรือยัง?”
หนานเทียนกล่าวเสียงเบา หรี่ตาลง เสวียนหลุนยิ้มเยาะมองซูหมิง
“ก็คงต้องลองไปดู” ซูหมิงกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“ดี!” หนานเทียนเผยรอยยิ้ม เขารู้จักเสวียนหลุนดี ทราบว่าเสวียนหลุนเป็นคนโลภ คนแบบนี้ขอแค่มีผลประโยชน์ที่มากพออย่างไรก็ต้องสนใจ ทว่าซูหมิง หนานเทียนไม่รู้จัก หากไม่จำเป็นจริงๆ เขาจะไม่ยอมเป็นศัตรูด้วยเด็ดขาด หลังจากเห็นซูหมิงกับเสวียนหลุนไม่ถูกกันในใจเขาสั่นไหว ที่กล่าวเช่นนั้นออกไปก็เพื่อเป็นการบีบบังคับ เขาเชื่อว่าซูหมิงจะไม่ปฏิเสธ
คำบางคำก็ไม่ควรได้ยิน หากได้ยินแล้วก็ต้องเข้าร่วมด้วย
“เวลาไม่คอยท่า พวกเราออกเดินทางกันเลย! ครั้งนี้อาจมีอันตราย หากพวกเราสามคนอยากได้สมบัติล้ำค่าก็ต้องจริงใจ แซ่หนานจะเป็นคนนำทาง รบกวนสหายโม่กับสหายเสวียนคุ้มกันให้ด้วย” หนานเทียนยันกายขึ้น ประสานมือคารวะเสวียนหลุนกับซูหมิง
“ตรงนี้ห่างจากเส้นทางลับไม่ไกล ด้วยความเร็วของพวกเราสามคนสองชั่วยามน่าจะถึง ส่วนผู้ติดตามของพวกเราสามคน…….”
“ให้พวกเขาตามมาด้วยเถอะ ข้ากลัวว่าแผนการจะรั่วไหล” เสวียนหลุนกล่าวอย่างเย็นชา
พวกตงฟางหวามิกล้าเอ่ย เพียงพยักหน้าขานรับ ทั้งหกคนออกเดินทางโดยมีหนานเทียนเป็นคนนำทาง
ห่างออกไปไกล ณ ที่ราบใจกลางเทือกเขา สิ่งก่อสร้างเลือนรางอันเป็นแดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน ประดุจปากกว้างน่าสยดสยอง ราวกับกำลังรอการมาเยือนของทุกคน…