ตอนที่ 162 พาข้าไป
ข้างกระบี่ยักษ์ในแดนปิดด่านฝึกพลังของบรรพบุรุษเขาหาน ณ ทางเข้าตรงปลายสุดทางเส้นนี้ ซูหมิงที่กำลังนั่งทำสมาธิลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายแววสับสนเล็กน้อย
เหอเฟิงไม่ได้ปรากฏกาย ทว่าอยู่ข้างในกายซูหมิง ตกอยู่ในภวังค์ สติเหม่อลอย ดูอ่อนแรงยิ่งนัก ครั้งนี้ต้องหลับใหลอีกนาน มิเช่นนั้นอาจหายไป
‘ความทรงจำของข้าหยุดอยู่ที่ภาพตอนได้สติครั้งแรกเมื่อหลายวันก่อนจับอี้แร้ง ไม่มีรอยแยกในยามค่ำคืน ไม่มีรอยยิ้มปวดร้าว…ในตอนที่ข้าตื่นขึ้นก็นอนอยู่กลางภูเขา’
‘บางทีความทรงจำที่ข้าเสียไปอาจอยู่ในรอยแยกนั้น’ ซูหมิงมองทางเข้าด้านหน้า แววตาเด็ดขาด
‘ทุกอย่างที่เหอเฟิงทำไม่เหมือนเสแสร้ง แผ่นหินที่อยู่ในกลุ่มวิญญาณข้า…’
ซูหมิงคลำแผ่นหินสีดำลึกลับที่แขวนอยู่ตรงคอ
‘ต้องเดิมพัน!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ยันกายขึ้นอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนก้าวเดินเข้าไปด้านใน เขาเสียเวลามาสักครู่แล้ว ตอนนี้ต้องตัดสินใจอย่างเด็ดขาด จะมาเสียเวลาอีกมิได้ เขามีความรู้สึกชัดเจนว่าตนกับบรรพบุรุษเขาหานมีความเกี่ยวข้องกันเล็กน้อย เรื่องที่เขาสงสัยเหล่านั้นมีคำตอบอยู่ที่นี่
‘มา…มา…..’ เสียงแหบพร่าดังขึ้นอย่างร้อนรนเด่นชัดกว่าโลกภายนอก ดังกังวานในความคิดซูหมิง ในช่วงที่เขาเหยียบเข้าไป สายตาพลันพร่ามัว ตอนที่สายตากลับมาชัดเจนอีกครั้ง สิ่งที่เขาเห็นเบื้องหน้าคือท้องฟ้าดาวทอประกาย มองไม่เห็นปลายขอบฟ้า ขยับแสงระยิบระยับ
“นี่คือที่ไหน…” ซูหมิงเหม่อลอย ภายในเงียบสงัด มีเพียงแค่ตัวเขาเท่านั้น
“ที่นี่…คือ…มิติระดับสาม…..มา….มา…ให้ข้า….ได้เห็น….เจ้า…”
เสียงแหบพร่าดังชัดเจนมากขึ้น ขณะเดียวกัน เบื้องหน้าซูหมิง ดาราทั้งหมดบนท้องฟ้าโคจรอย่างรวดเร็วระดับสายตา ค่อยๆ เผยแผ่นดินใหญ่ตรงหน้า
สิ่งเหล่านี้ซูหมิงไม่เคยเห็นมาก่อน นัยน์ตาเขาฉายแววสับสนมากขึ้น ทว่าไม่นานก็สงบลง เขาเงียบขรึม เดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว เขาไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไหร่ และไม่รู้ด้วยว่ากำลังเดินไปทางแผ่นดินใหญ่หรือแผ่นดินใหญ่กำลังลอยมาหาเขากันแน่
เมื่อแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่ตรงหน้า ซูหมิงเหยียบขึ้นไปด้านบน มองไปรอบตัว โดยรอบเป็นเทือกเขาสลับขึ้นลงจำนวนมาก มีเสียงแม่น้ำไหล บนพื้นเป็นหญ้าเขียวชอุ่ม มีกลิ่นหญ้ากระทบใบหน้า บนพื้นหญ้ามีคนสวมเสื้อคลุมเทากำลังนั่งขัดสมาธิ
เขาเป็นคนผอมแห้งทั้งตัว ไม่ทราบถึงอายุ กลางศีรษะมีเส้นผมหลายเส้น เสื้อผ้าของเขาคล้ายใกล้เปื่อยยุ่ย นั่งหลับตาราวกับหมดลมหายใจ
“ในที่สุด…..เจ้าก็มาถึง…..” น้ำเสียงแหบพร่าดังก้องกังวานฟ้าดิน
“บรรพบุรุษเขาหาน?” ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก พยามทำตัวให้สงบนิ่งยามมองบุคคลตรงหน้า
“เจ้าจะเรียกข้าว่าหานคงก็ได้…” น้ำเสียงแหบพร่าดังก้อง แยกไม่ออกว่ามาจากที่ใด เกิดเป็นแรงสั่นสะเทือนในความคิดของซูหมิง
“เหตุใดท่านถึงเรียกข้ามา” ซูหมิงเงียบไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวถาม
“มิใช่ข้าที่เรียกเจ้ามา…..แต่เป็นตัวเจ้าเองต่างหาก….” เสียงในครั้งนี้ไม่ได้ก้องจากรอบทิศ แต่มาจากปากของบุคคลร่างผอมแห้งตรงหน้า ขณะกล่าวเขาลืมตาขึ้น มันเป็นดวงตามืดสลัว ทว่าภายในความหยั่งลึกประดุจดารากลับมีความตื่นเต้น เฝ้าปรารถนา และรอคอย
“พาข้าไป…..” หานคงกล่าวด้วยเสียงแหบพร่า น้ำเสียงราวกับไม้แห้งสองท่อนเสียดสีกัน ไม่มีน้ำมีนวล ทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกแปลกเล็กน้อย
ซูหมิงนิ่งเงียบมองบรรพบุรุษเขาหานที่เหมือนโครงกระดูกตรงหน้า
“ตาม…สัญญา ข้าทำงานสำเร็จแล้ว ข้ารอเจ้ามานานมาก…..พาข้าไป…”
หานคงเงียบอยู่นาน ราวกับการกล่าวแต่ละครั้งช่างยากเข็ญนัก เขาอ้าปากกล่าวทีละคำ สีหน้าสงบนิ่งเปลี่ยนเป็นเฝ้ารอคอย
“ข้าจากบ้านมาแปดพันปีแล้ว ข้าอยากกลับบ้าน…” บรรพบุรษเขาหานตัวสั่นเทา กล่าวพึมพำไปทางซูหมิง
ขณะหานคงกล่าว ท้องฟ้ากระจ่างดาวพลันสั่นสะเทือน ดาราส่งเสียงระเบิดดังสนั่น ดาวแต่ละดวงมอดดับลงด้วยความเร็วระดับสายตาเห็น
“พวกเขามาแล้ว…..รีบ…” หานคงหายใจกระชั้นถี่
ซูหมิงยังคงเงียบขรึม เขาไม่ค่อยเข้าใจคำพูดของหานคงสักเท่าไร
“ข้าจะ….พาท่านไปได้อย่างไร?” นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายพลางกล่าวเรียบๆ
“เจ้า…..” หานคงตกตะลึง มองซูหมิง นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววลังเลและเหลือเชื่อ ราวกับคำพูดธรรมดาๆ ของซูหมิง เกินความคาดหมายของเขา
“เจ้า…เป็นใคร?” แววตาหานคงรวดเร็วและดุดัน พลันแผ่ขยายแรงกดดันมหาศาล ภายใต้แรงกดดัน ซูหมิงเหมือนกับมดอยู่ท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำ เกิดความรู้สึกหายใจติดขัด
ซูหมิงถอยหลังไปหลายก้าว ใบหน้าซีดขาว เขามองหานคงครู่หนึ่ง ในช่วงที่เสียงระเบิดดังใกล้เข้ามา เขากล่าวเบาๆ ว่า “ข้าคือซูหมิง”
“ซู่มิ่ง…..ไม่ผิด เป็นเจ้า” หานคงถอนหายใจโล่งอก แรงกดดันหายไป ความดุดันจากสายตากลายเป็นเฝ้าปรารถนา เขาไม่ทราบว่าเหตุใดถึงได้ยินชื่อซูหมิงเป็นซู่มิ่ง
“เจ้าคือซู่มิ่ง เจ้ารู้วิธีพาข้าไป…” หานคงกล่าวอย่างยากลำบาก ยามนี้บนท้องฟ้าดาวทอประกาย ดาราดวงสุดท้ายมอดดับ แผ่นดินใหญ่ที่ซูหมิงกับเขาอยู่มีเสียงระเบิดดังขึ้น แผ่นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเหมือนมีคนอยู่ด้านนอกและพยามพังเข้ามาทุกวิถีทาง
“สมควรตาย พวกเขามาเร็วจริงๆ !” ใบหน้าหานคงเหยเก พยามยันกายขึ้นแล้วเดินไปบนท้องฟ้า
“เจ้าอยู่นี่ พวกเขาจะไม่เห็นเจ้า และจะไม่รบกวนเจ้าขณะแสดงพลัง ข้าจะไปถ่วงเวลาพวกเขา เจ้าคือซู่มิ่ง เจ้าต้องส่งข้ากลับไป…เจ้าจะต้องส่งข้ากลับไปให้ได้…..เจ้าจะต้องส่งข้ากลับไป!”
หานคงพลันหมุนตัว แววตาเหี้ยมโหดเป็นครั้งแรก มองซูหมิงแวบหนึ่งก่อนทะยานขึ้นฟ้า
ด้านนอกแผ่นดินใหญ่ ท้องฟ้ามืดมิดไร้ดาวพลันบิดเบี้ยว เมื่อหานคงออกไปแล้ว ภายในท้องฟ้าบิดเบี้ยวเกิดเป็นระลอกคลื่นมหึมาแผ่ขยายเป็นวงกว้าง ภายใต้เสียงระเบิดดังสนั่น ตรงกลางระลอกคลื่น มีชายชราเสื้อคลุมแดงแห่งสำนักเหมันต์สวรรค์เดินออกมา
“หานคง!”
เสียงคำรามดังก้อง ชายชราเสื้อคลุมแดงมีสีหน้าเคร่งขรึมและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม เมื่อเขายกมือขวาขึ้น ท้องฟ้ามืดมิดโดยรอบพลันกลายเป็นสีสันแพรวพราว ก่อนโคจรกลายเป็นน้ำวนยักษ์ เสียงระเบิดดังกังวาน น้ำวนโคจรรอบหานคงอย่างรวดเร็ว ก่อขึ้นเป็นพลังน่าสะพรึง
หานคงแผดเสียงคำรามแหลม พลันสะบัดมือขวาไปด้านหน้า พริบตาเดียวใต้ฝ่าเท้าเขาเกิดเป็นแสงสีแดง ภายในแสงเป็นทุ่งหญ้าสีแดง มันแผ่ขยายไปรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวปกคลุมในขอบเขตหนึ่งร้อยลี้
ขณะเดียวกัน หานคงหอบหายใจแรงประดุจสัตว์ป่าจนตรอก นัยน์ตาฉายแววดุร้ายไม่ยินยอม ใช้มือขวากดบนแผ่นดิน
ทุ่งหญ้าในขอบเขตหนึ่งร้อยลี้สั่นสะเทือน ราวกับมีเสียงคำรามดังขึ้น บริเวณที่หานคงกดมือขวาลงเกิดเป็นหมอกแดงกลุ่มหนึ่ง มันรวมตัวกันอย่างรวดเร็วกลายเป็นงูเหลือมสามเศียร แผดเสียงคำรามตรงเข้าใส่ชายชราเสื้อคลุมแดง
จากนั้น หานคงใช้มือซ้ายกดไปบนทุ่งหญ้า พบว่ามีเสียงคำรามดังกังวาน บนทุ่งหญ้าเกิดหมอกแดงขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก่อขึ้นเป็นชายร่างกำยำสวมเสื้อเกราะสีแดง ในมือเขาถือกระบี่โลหิต แววตากระหายในสงคราม พุ่งทะยานเข้าใส่ชายชรา
อิทธิฤทธิ์ของหานคงยังไม่สิ้นสุด เขากัดปลายลิ้นพ่นโลหิตกองใหญ่ โลหิตเหล่านั้นสาดลงบนทุ่งหญ้าสีแดง ทันใดนั้น ทุ่งหญ้าสีแดงในขอบเขตหนึ่งร้อยลี้ราวคลุ้มคลั่ง มันเติบโตด้วยความเร็วน่าสะพรึงประดุจเส้นผมงอกยาวอย่างรวดเร็ว
“ชนเผ่าหมาน กล้าเป็นปฏิปักษ์กับแดนเซียนของข้ารึ!” หานคงพลันกางแขนสองข้าง ยืนบนทุ่งหญ้าสีแดงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แม้ยามนี้ร่างกายเขาซูบผอม ทว่ากลับมีกลิ่นอายพลังที่ยากจะบรรยายแผ่ขยาย
ซูหมิงเห็นดังนั้นหัวใจเต้นแรง นี่เป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดที่สุด หากไม่นับเงาคนบนท้องฟ้าดาวทอประกายตอนอยู่บนภูเขาทมิฬ เคล็ดวิชาของหานคงทำให้เขาตื่นตะลึง
ชายชราเสื้อคลุมแดงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาใช้มือขวากดไปยังระหว่างคิ้วตัวเอง จากระหว่างคิ้วลงมาปลายจมูก กรีดเป็นรอยแผลอาบโลหิต เสียงคำรามดังมาจากด้านหลังในทันใด ปรากฏเป็นเงายักษ์ราวกับฉีกมวลอากาศออกมา มันเป็นสัตว์ประหลาดสีแดงทั้งตัว สูงราวหนึ่งพันจั้ง
สิ่งนั้นดูเหมือนกับคนยักษ์ ทว่าก็เหมือนกับปีศาจร้ายที่สร้างจากเทวรูปหมานเช่นกัน มันสวมหนังสัตว์ เปลือยท่อนบน ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังแผดเสียงคำรามน่าสะพรึง
ขณะเดียวกัน น้ำเต้าสีแดงที่ห้อยอยู่ด้านหลังชายชราเสื้อคลุมแดงลอยขึ้นเอง ฝาจุกเปิดออก เงาดำมหาศาลลอยออกมา ภายในเงาดำเหล่านั้นเป็นวิญญาณสัตว์ป่าจำนวนมาก พวกมันถูกปีศาจร้ายยักษ์จับใส่ปาก พากันร้องโหยหวน
ในช่วงที่งูเหลือมสามเศียรกับชายร่างกำยำเสื้อเกราะแดงทะยานเข้ามา ปีศาจร้ายยักษ์พลันเงยหน้า ดวงตาเหี้ยมโหด แผดเสียงคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าประชิดตัวงูเหลือมยักษ์ กรงเล็บมารคว้าตัวเอาไว้ จากนั้นอ้าปากกัดคำใหญ่ ก่อนโยนทิ้ง แล้วพุ่งตัวไปทางชายสวมเสื้อเกราะ
เสียงระเบิดดังสนั่น ขณะปีศาจร้ายกำลังเข่นฆ่า ทุ่งหญ้าสีแดงของหานคงแผ่ขยายไปไกลไร้พรมแดน ก่อนหดกลับมาจนแทบว่างเปล่า เสียงฟ้าร้องดังสนั่น
ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ยังไม่ทันได้สติกลับมาจากการต่อสู้อันดุเดือด มวลอากาศตรงหน้าเขาบิดเบี้ยว หานคงเหาะออกมา พบว่าขาทั้งสองแหลกละเอียดกลายเป็นความว่างเปล่า สีหน้าเขามัวหมอง เหาะมาจับซูหมิงเอาไว้ แล้วพาจากไปอย่างรวดเร็ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ซูหมิงยังไม่ทันได้ตั้งตัวหานคงก็มาจับตัวเขาแล้วพาหนีไป ขณะหลบหนี เขาเห็นนอกแผ่นดินใหญ่ บนท้องฟ้าถูกปกคลุมด้วยทุ่งหญ้าสีแดงประดุจเส้นผม ท่ามกลางเสียงระเบิด มีหานคงอีกคนบินอยู่ กระอักโลหิตพร้อมกับห้อเหยียดไกลออกไป
ด้านหลังเขาเป็นชายชราเสื้อคลุมแดงที่กำลังไล่ตามไปติดๆ