Skip to content

สู่วิถีอสุรา 177

ตอนที่ 177 ก็ไม่แน่อย่างนั้นหรือ

ซูหมิงมองเงาสัตว์ยักษ์เก้าเศียรบนท้องฟ้า มองเงาคนเสื้อคลุมดำในแววตาของสองศีรษะที่ตื่นตัวในนั้น ดวงตาเย็นชาของมันราวกับอยู่คนละโลกกับดวงตาของซูหมิง ห่างกันแสนไกล และนี่เป็นครั้งแรกที่พบกัน

เงาคนเสื้อคลุมดำคล้ายยิ้มมุมปาก แฝงความเหยียดหยามเล็กน้อย ก่อนค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับสัตว์ยักษ์เก้าเศียร หลังจากมันหายไป เมฆดำและสายฝนยังคงอยู่

“ก็ไม่แน่อย่างนั้นหรือ…” ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เขาเข้าใจความหมายแฝงในแววตาของเงาคนเสื้อคลุมดำทันใด

เขาไม่ทราบว่าเงาคนเสื้อคลุมดำนั้นเป็นใคร ทราบเพียงว่าระฆังเขาหานยังไม่มีเจ้าของ และอีกฝ่ายยังไม่ครอบครองโดยสมบูรณ์ ได้ไปเพียงสองศีรษะจากเก้าเท่านั้น!

เมื่อเงาสัตว์ยักษ์เลือนหายไปจากฟ้า ผู้คนบนแผ่นดินพลันลืมตาตื่นจากความสับสน ไม่ว่าขั้นพลังสูงต่ำใดๆ กระทั่งพวกจ้าวหมานและเหยียนหลวนจากสามชนเผ่ายังลืมตาขึ้นในยามนี้

มีน้อยคนนักที่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น กระทั่งเวลานี้เมฆดำแผ่ปกคลุมน่านฟ้ายังต่างจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง กลุ่มคนเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนกลายเป็นเสียงดังเกรียวกราว

“เมื่อครู่…เกิดอะไรขึ้น!”

“ข้ารู้สึกเหมือนความคิดขาวโพลน จำได้แค่เสียงระฆังกังวาน…”

“ไม่ถูกต้อง เมื่อครู่ต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างแน่ มิเช่นนั้นไม่มีทางที่พวกเราทุกคนจะเป็นเช่นนี้!”

เสียงสนทนาดังมากขึ้นเรื่อยๆ ยามที่กลุ่มคนมองซูหมิงใต้ระฆังยักษ์เป็นตาเดียว สิ่งที่พวกเขาเห็นคือเงาแผ่นหลังของซูหมิง

เขาก้มหน้า เสื้อคลุมดำปกปิดใบหน้าของตน มองไม่เห็นรูปลักษณ์และสีหน้า เห็นเพียงแผ่นหลังซึ่งเหมือนมีความรู้สึกบอกไม่ถูกบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวไปทางประตูหินชั้นสองทีละก้าว

ข้างประตูหิน พวกหนานเทียนมีสีหน้าตื่นตะลึง มองซูหมิงเดินเข้ามา ในช่วงเวลาไม่กี่ลมหายใจเมื่อครู่ แม้พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้าง ทว่าสติกลับขาวโพลน ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น เคอจิ่วซือขยับถอยหลังไปหลายก้าว เปิดทางให้ซูหมิงโดยไม่รู้ตัว สีหน้าเคารพยำเกรง

คนอื่นๆ อาจเกิดความมึนงง ทว่าเคอจิ่วซือเคยเห็นซือหม่าซิ่นเคาะระฆังใบนี้กับตา แม้สุดท้ายเคาะเพียงสามครั้ง ทว่ากลับทำให้เกิดเหตุการณ์ความทรงจำขาวโพลนกับทุกคนโดยรอบรวมถึงตัวเขา เขาจำได้เสมอว่าตอนนั้นในช่วงที่เขาได้สติกลับมา สิ่งที่เห็นคือเงาแผ่นหลังของซือหม่าซิ่นกำลังมองระฆังโบราณอย่างเงียบงัน เงาแผ่นหลังนั้น ยามนี้ราวซ้อนทับกับบุคคลลึกลับผู้นี้ในความคิดเขา!

หนานเทียนหายใจกระชั้นถี่ แม้เขารู้ไม่เยอะเท่าเคอจิ่วซือ ทว่าก็ทราบเรื่องระฆังใบนี้เป็นของซือหม่าซิ่นเพียงผู้เดียว ทว่าเมื่อครู่กลับเกิดเหตุการณ์ความทรงจำขาวโพลนอย่างประหลาด นี่ยิ่งทำให้เขาเกิดความยำเกรงต่อบุคคลที่เดินมาตรงหน้าเช่นกัน

‘แย่งระฆังกับท่านซือหม่า…บุคคลนี้…..’ หนานเทียนก้มหน้าลง

เสวียนหลุนเงียบขรึม สีหน้าซับซ้อนยิ่งนัก เขาทราบว่าบุคคลตรงหน้าคือซูหมิง ยามนี้ในสายตาของเขา ซูหมิงดูลึกลับมากขึ้น มากจนทำให้เขายอมล่าถอยโดยไม่รู้สึกตัว

‘เห็นอยู่ว่าขั้นพลังเทียบข้ามิได้ แต่กลับทำให้ข้าหวาดกลัว…กล้าแย่งสมบัติล้ำค่าของท่านซือหม่า อีกทั้ง…..เหมือนจะได้โชคลาภอะไรบางอย่างมาด้วย…

บุคคลนี้ยังมีความลับอะไรอีกหรือไม่ การบุกโซ่เขาหานของเขาในครั้งนี้เพียงเพื่อเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์จริงหรือ…ดีที่ว่าเขามิใช่นักรบรวมโลหิตสมบูรณ์เมื่อหลายเดือนก่อน…’ เสวียนหลุนลังเลครู่หนึ่ง เขาพบว่าตนยังไม่มั่นใจสักเท่าไร

ท่ามกลางสายตาของทุกคน ซูหมิงเดินอย่างสงบนิ่ง ผ่านข้างประตูหินชั้นสองเข้าไปโดยไม่หยุดชะงัก

ประตูหินพลันขยับแสงวูบวาบแรงกล้า ขณะเดียวกัน ตราของสามชนเผ่าในตัวซูหมิงทยอยกันสะท้อนแสง ภายใต้แสงพร่างพราว เงาของซูหมิงหายวับเข้าไปในประตูหินบานนั้น

ในช่วงที่ซูหมิงเหยียบเข้าสู่ประตูหิน บนยอดเขาเหยียนฉือมีหญิงชราผู้หนึ่งเดินมาจากด้านหลังของเหยียนหลวน นางเดินพลางไอแค่กๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ขณะไอใบหน้าเป็นสีแดงผิดปกติ

ข้างกายหญิงชรามีเด็กสาวสองคนกำลังประคองนาง สีหน้าดูเป็นกังวล

เหยียนหลวนหมุนตัวกลับมองหญิงชรา พลันเดินเข้าไปประคองแขนนางด้วยตัวเอง

“จ้าวเผ่า จ้าวหมานบอกจะต้องมาให้ได้…พวกเรา…” เด็กสาวหนึ่งในนั้นรีบกล่าว

“เอาละ พวกเจ้าถอยไปเถอะ” เหยียนหลวนพยักหน้า ประคองหญิงชราเดินมาจนถึงขอบภูเขา ตรงจุดนี้มองเห็นเมืองเขาหานได้ชัดกว่า

“หลวนเอ๋อร์ เมื่อครู่มีคนได้รับสืบทอดส่วนหนึ่งของระฆังเขาหานใช่รึไม่…” นัยน์ตาหญิงชราเป็นประกายมืดสลัว น้ำเสียงแหบพร่าแฝงความอ่อนแอ ราวกับหากเหยียนหลวนไม่ประคองเอาไว้คงล้มลงกับพื้น

“เจ้าค่ะ” เหยียนหลวนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเบาๆ

“ระฆังใบนี้อยู่ในภูเขาหานมานานแสนนานแล้ว…กระทั่งเผ่าเขาหานในตอนนั้นยังตั้งชื่อมันว่าระฆังเขาหาน อีกทั้งบรรพบุรุษเขาหานยังเป็นคนตั้งเอง ประวัติกับชื่อแท้จริงของมันไม่มีใครรู้

มีคนเอาไปก็ดี จะได้ลดปัญหาในภายภาคหน้าหากว่ามันยังอยู่…

ไม่ว่าจะเป็นซือหม่าซิ่นหรือว่าคนเมื่อครู่ ใครจะเอาก็เอาไปเถอะ เจ้าไม่ต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยว”

“แต่ว่าเฟยเอ๋อยังต้องเข้าสำนักเหมันต์…” เหยียนหลวนยังกล่าวไม่จบ หญิงชราร่างกายอ่อนแอหันหน้ากลับมามองสตรีงดงาม ไม่กล่าวสิ่งใด เพียงมองอยู่อย่างนั้น

ผ่านไปนาน เหยียนหลวนก้มหน้าลง

“ท่านย่า ข้าทราบแล้ว”

“หลวนเอ๋อร์ เผ่าเหยียนฉือของเราเป็นเพียงเผ่าขนาดกลางเล็กๆ พวกเราจะล่วงเกินซือหม่าซิ่นมิได้ หรือว่าเพราะเขากล้าแย่งระฆังกับซือหม่าซิ่น พวกเราก็เลยทำได้อย่างนั้นรึ?”

“ท่านย่า ข้าเป็นกังวลสำนักเหมันต์สวรรค์ ถึงอย่างไรซือหม่าซิ่นก็เป็นศิษย์ที่ได้รับความสนใจอย่างยิ่งในสำนัก…เฟยเอ๋อร์ยังต้องเข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ หากตอนนี้ข้าเมินเฉย ข้า…”

“เจ้ายังอายุน้อยนัก…” หญิงชรายกมือสั่นเทาตบบ่าของเหยีบนหลวน ภายในแววตามืดสลัวมีสติปัญญาที่กาลเวลามอบให้นาง

“เจ้าพูดได้ว่าซือหม่าซิ่นเป็นศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ แต่เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์คือซือหม่าซิ่น?” หญิงชราหันหน้ากลับ ดวงตาหยั่งลึกมองภูเขาหาน

“เอ่อ…..” เหยียนหลวนมึนงง สับสนเล็กน้อย

หญิงชราถอนหายใจเบา ไม่มองเหยียนหลวน เพียงกล่าวเบาๆ “เปลี่ยนวิธีพูด เจ้าพูดได้ว่าเผ่าเหยียนฉือเป็นชนเผ่าของแดนอรุณใต้ แต่เจ้าพูดได้หรือไม่ว่าชนเผ่าในแดนอรุณใต้คือเผ่าเหยียนฉือ…เข้าใจหรือไม่?”

เหยียนหลวนเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นพยักหน้า

“ยายแก่อย่างข้ายอมเสียไปมากแล้วเพื่อสำนักเหมันต์สวรรค์ อาคมเคลื่อนย้ายมิติระดับสี่เพียงพอจะทำให้เผ่าเหยียนฉือของเรายืนยาวพันปี บุคคลนี้เจ้าไม่ต้องไปล่วงเกิน เขาอยากบุกโซ่เขาหาน พวกเราก็น้อมรับ” หญิงชรากล่าวด้วยสีหน้าอ่อนเพลีย

ขณะเดียวกันบนยอดเขาบูรพาสงบ นัยน์ตาจ้าวหมานเป็นประกาย สีหน้าของเขาเปลี่ยนอย่างต่อเนื่องราวกับลังเลใจ บางครั้งก็มองไปทางยอดเขาเหยียนฉือ ครั้นเห็นยอดเขาเหยียนฉือยังคงนิ่งเฉย นัยน์ตาเขาก็ฉายแววเด็ดขาด

“ในสามชนเผ่าภูเขาหาน ข้าเคารพจ้าวหมานเผ่าเหยียนฉือมากที่สุด บางทียายแก่คนนั้นอาจไม่มีความคิดหรือแผนการน่าตะลึง ทว่าสติปัญญาของนางกลับมักมีประโยชน์เสมอกับเรื่องใหญ่บางเรื่อง นางไม่เคลื่อนไหว พวกเราก็ไม่เคลื่อนไหว!

ระฆังเขาหาน ใครจะเอาไปก็ช่าง เดิมทีมันมิใช่ของพวกเราสามชนเผ่าอยู่แล้ว เมื่อคิดได้อย่างนี้ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด” จ้าวหมานบูรพาสงบพึมพำกับตัวเอง ทั้งยังเหมือนกล่าวให้กับพวกจ้าวเผ่าและผู้นำนักรบด้านหลังฟัง

ณ เผ่าผู่เชียงยังคงเงียบสงัด สำหรับปัญหาข้อนี้ ทั้งสามชนเผ่ามีความคิดคล้ายกันอย่างน่าประหลาด นั่นคือไม่สนใจ

ยามนี้รุ่งอรุณเหลืออีกไม่นาน ทว่าสายฝนยังคงโหมกระหน่ำ สายน้ำไหลลงมาระหว่างซอกเขาตามหินภูเขา ทำให้พื้นลื่นยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงขึ้นมาบนชั้นสองเมืองเขาหาน

เขายืนอยู่อย่างนั้น ด้านหลังเขาเป็นประตูหินกั้นระหว่างชั้นสาม ตรงหน้าเขาสูงขึ้นไปเป็นชั้นหนึ่งและเป็นส่วนยอดเขา ห่างจากตรงนี้ไปไม่ไกลนัก บนชั้นหนึ่งไม่มีสิ่งใด มีเพียงโซ่สามเส้นทอดยาวเชื่อมกับสามชนเผ่า

“โซ่เขาหาน…” ดวงตาซูหมิงเป็นวาววับ เขายังคงเดินอย่างสงบนิ่ง ผ่านชั้นสองไปทางภูเขาคดเคี้ยว หนึ่งก้านธูปต่อมา ซูหมิงมายืนอยู่บนจุดสูงสุดของเมืองเขาหาน!

ตรงนี้ลมหุบเขาพัดผ่านกระทบใบหน้าอย่างบ้าคลั่ง พัดเสื้อผ้าซูหมิงกะพรือพึ่บพั่บ ทว่ากลับไม่ทำให้เสื้อคลุมดำปลิวหลุดจากใบหน้าแม้แต่น้อย

ท่ามกลางสายลม โซ่สามเส้นเชื่อมจากยอดเขาแกว่งไกว เบื้องล่างเป็นเหวลึกหมื่นจั้ง สายลมทิ่งแทงกระดูก ภายในยังอบอวลไปด้วยเม็ดฝน ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้นพลางพ่นลมหายใจออก

เขาไม่รู้ว่าหากผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างบุกโซ่เขาหานแล้วพลาดตกลงไปจะตายรึไม่ ทว่าโซ่เขาหานอยู่มานานหลายปี คิดว่าคงไม่ง่ายขนาดนั้น ต่อให้ขั้นชำระล้างเดินอากาศได้ก็ตาม แต่ก็มีโอกาสตายสูง

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองทอดไปไกล สุดสายตาเขายังคงเป็นเมฆดำที่เคลื่อนตัวราวเป็นตัวเชื่อมระหว่างฟ้าดิน ฉากฝนประหนึ่งผ้าม่าน ทำให้ทุกอย่างขมุกขมัว

บนท้องฟ้าบ้างมีสายฟ้าแลบและยังมีประกายสายฟ้ายากจะมองเห็นชัดในยามกลางวันปรากฏอยู่กลางชั้นเมฆเป็นบางครั้ง หากมองต่อไปอาจเกิดความรู้สึกว่าดวงตามีประกายวูบผ่าน

“จะบุกโซ่เขาหานแล้ว!”

“เขาจะเลือกของเผ่าใด? ข้าว่าน่าจะเป็นเผ่าเหยียนฉือ!”

“ไม่สนหรอกว่าเขาจะเลือกของเผ่าใด ข้าอยากรู้แค่ว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่ โซ่เก้าส่วน เขาจะเดินถึงเก้าส่วนเลยหรือไม่! หากเดินผ่านเจ็ดส่วนก็ถือว่าสำเร็จ!”

“มาตรฐานในการรับศิษย์ของสำนักเหมันต์สวรรค์ในครั้งก่อนๆ คือต้องไปให้ถึงโซ่เขาหานส่วนที่แปด แม้บอกว่ามีความต่างบางส่วน ทว่าคนที่บุกโซ่เขาหานได้ถึงเก้าส่วนนับว่าน้อยมากจริงๆ”

“ส่วนที่เก้าแล้วอย่างไร ตามที่ข้ารู้มา แท้จริงแล้วโซ่เก้าส่วนเป็นเพียงโซ่เส้นแรกของโซ่เขาหานที่แท้จริงเท่านั้น โซ่เขาหานที่แท้จริงเชื่อมกับยอดเขาแปดลูก เมื่อหนึ่งพันปีก่อนจนถึงตอนนี้เคยปรากฏโซ่เขาหานอย่างสมบูรณ์เพียงสองครั้ง!”

แม้ฝนตกหนัก ทว่าไม่อาจขวางกั้นความสนใจของทุกคน ซูหมิงยืนอยู่บนยอดเขา ตรงหน้าเขาเป็นโซ่เชื่อมกับเผ่าเหยียนฉือ ด้านขวาเป็นของเผ่าบูรพาสงบ ด้านซ้ายเป็นโซ่ที่ยังมีน้ำฝนหยดลงมาไม่หยุดของเผ่าผู่เชียง

โซ่เหล็กเชื่อมไปยังยอดเขาต่างกันสามลูก

ซูหมิงยืนนิ่ง ในความคิดปรากฏภาพเมื่อหลายปีก่อน นั่นเป็นครั้งแรกที่เขามาเมืองเขาหาน เขายืนอยู่บนชั้นสาม เงยหน้ามองเหอเฟิงยืนอยู่บนยอดเขา ภาพนั้นสะท้อนในความคิดเขาอยู่นานไม่เลือนหาย

“ผ่านมาหลายปีแล้ว เร็วจริงๆ …” ซูหมิงกล่าวพึมพำ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก มองไปทางโซ่เหล็กเผ่าผู่เชียง นัยน์ตาเป็นประกาย จากนั้นขยับตัวเดินไปทางโซ่เหล็กด้านซ้าย!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!