Skip to content

สู่วิถีอสุรา 179

ตอนที่ 179 นิสัยเปลี่ยน

“ลงโทษเจ้าปิดด่านฝึกพลังสามปี ห้ามออกมา!” จ้าวหมานผู่เชียงกล่าวเรียบๆ ไม่มองชายวัยกลางคน

ชายวัยกลางคนเงียบ เช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก ยันกายขึ้นคารวะจ้าวหมาน ลังเลครู่หนึ่งเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าท้ายที่สุดแล้วเลือกปิดปากแล้วจากไปอย่างนอบน้อม ทว่าในช่วงที่เขาเดินถึงขอบขั้นบันไดภูเขา ขณะกำลังลงไป

“แหวกหญ้าให้งูตื่น ทั้งยังทำให้เสียเรื่อง สามปีถือว่าน้อยไป ปิดด่านหกปีห้ามออกมา!” จ้าวหมานผู่เชียงมองซูหมิงบนโซ่เขาหานท่ามกลางสายฝน พร้อมกล่าวอีกครั้ง

แต่ครั้งนี้ชายวัยกลางคนไม่โกรธเคือง กลับเคารพมากขึ้น ก่อนคารวะจ้าวหมานอีกครั้ง หลังจากเขาเดินลงไปแล้ว บนยอดเขาผู่เชียงเข้าสู่ความเงียบอีกครั้ง

ซูหมิงมองยอดเขาผู่เชียงไกลๆ นัยน์ตาฉายแววเย็นชา เขาสัมผัสได้ถึงไอหนาวถูกส่งมาอย่างต่อเนื่อง คิดว่าหลังจากผ่านเสาต้นแรกไปแล้ว ทุกฝีก้าวจะต้องมีไอหนาวแล่นเข้าสู่ร่างกาย ทำให้ขาทั้งสองข้างค่อยๆ แข็งทื่อ

‘ยิ่งเดินไกลยิ่งยาก อีกทั้งเหตุการณ์เมื่อครู่มิใช่เรื่องบังเอิญ…’ ประกายเย็นเยือกจากแววตาซูหมิงเด่นชัดมากขึ้น เขายิ้มเยาะมุมปาก

เขายืนอยู่บนปลายสุดโซ่เส้นแรก ก่อนเหยียบไปบนเสาหินต้นแรก พลังมหาศาลพลันปะทุจากร่างกายเขา ไหลไปตามขาทั้งสองข้าง กลายเป็นแรงกระแทกอย่างแรง มีเสียงดังสนั่นมาจากเสาหินพร้อมกับเสียงดังอึกทึก พบว่าใต้เท้าของซูหมิงปรากฏรอยร้าวหลายเส้น ก่อนลุกลามไปทั้งเสาหิน

เสาหินอยู่มานานหลายปีไม่เคยพังทลาย นั่นก็เพราะไม่มีใครกล้าทำลายมันขณะบุกโซ่เขาหาน และยังมีอีกสาเหตุหนึ่งคือหากมันพังทลาย

ก็จะไม่มีจุดพักเพื่อบุกส่วนที่ยากกว่าต่อไป และที่สำคัญกว่าคือในเสาหินเหล่านี้มีพลังงานประหลาดบางอย่าง ทำให้ผู้อื่นยากจะทำลายลง ทว่านั่นไม่รวมซูหมิง!

พลังเหล่านี้เป็นของบรรพบุรุษเขาหาน มันเป็นพลังชนิดเดียวกับพลังตราประทับ และซูหมิงก็มีพลังตราประทับอยู่เหมือนกัน หากบรรพบุรุษเขาหานยังไม่สิ้นก็แล้วไป แต่เขาตายแล้ว กลิ่นอายพลังในเสาหินเหล่านี้จึงหายไปมากกว่าครึ่งตามกาลเวลา

หลังจากถูกตราประทับของซูหมิงโจมตีอย่างแรงก็พลันเกิดจุดอ่อนทันที จากนั้นเขาจึงส่งพลังโลหิตจากเส้นเลือดเก้าร้อยเจ็ดสิบเก้าเส้นเข้าไป

ขณะทุกคนลืมตาค้างอ้าปากกว้าง เสาหินสั่นสะเทือนก่อนทลายลงใต้โซ่เขาหาน!

หลังจากเสาหินพังทลาย โซ่เขาหานพลันหย่อนลง ซูหมิงที่ยืนอยู่ด้านบนกลับไม่รับผลกระทบใดๆ เขายังคงยืนอยู่ตรงนั้น มองไปทางยอดเขาผู่เชียงไกลๆ !

‘ลอบกัดข้าหนึ่งครั้ง ข้าก็จะทำลายเสาหินเจ้าหนึ่งต้น!’ ซูหมิงเงียบขรึม ทว่าสายตาเย็นชาของเขากลับส่งคำพูดนี้ออกไปโดยไร้เสียง

เขาไม่ใช้คำพูดเพื่อข่มอีกฝ่าย สำหรับการลอบกัดของผู่เชียงในครั้งนี้

ซูหมิงเลือกใช้การกระทำมากกว่า เป็นการบอกกับผู่เชียงว่าเขามีพลังมากพอจะทำลายเสาหินของเจ้า!

หลังจากชาวเมืองเขาหานเห็นภาพดังกล่าว พลันส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ พวกเขาเคยเห็นผู้บุกโซ่เขาหาน ทว่ากลับไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยิน กระทั่งไม่เคยคาดคิดเลยว่าเสาหินที่อยู่มาแสนนานจะมาพังทลายต่อหน้าพวกเขา

“เสาหินแปดต้นของเผ่าผู่เชียง พังไปหนึ่งแล้ว!”

“ตำนานเล่าว่าเผ่าเขาหานในอดีตเป็นคนสร้าง แข็งแกร่งยิ่งนัก แทบจะไม่มีทางทำลายได้เลย! เขาทำได้อย่างไร!”

“เมื่อครู่จะต้องเป็นเผ่าผู่เชียงที่ลอบกัดอย่างแน่นอน ทว่า…เรื่องนี้เหมือนจะได้ไม่คุ้มเสีย เมื่อเสาหินพังทลาย สำหรับผู้บุกโซ่เขาหานแล้ว ความยากจะเพิ่มมากขึ้นไปอีกเพราะไม่มีจุดพักหายใจ”

“ผิดแล้ว สำหรับเขาคงไม่เท่าไรหรอก แต่สำหรับเผ่าผู่เชียง นั่นเป็นเรื่องเกินความคาดหมาย ตอนนี้คนที่กระวนกระวายมิใช่เขา แต่เป็นผู่เชียงต่างหาก!

เรื่องการพังทลายเสาหินไม่อยู่ในกฎของการบุกโซ่เขาหาน ไม่มีใครพูดอะไรได้ แต่สำหรับเผ่าผู่เชียง เว้นแต่พวกเขาจะสามารถสร้างขึ้นมาใหม่เหมือนกับของเผ่าเขาหานในอดีต มิเช่นนั้นแล้ว นี่จะเป็นความสูญเสียตลอดกาล! ทั้งยังเสื่อมเสียในด้านชื่อเสียง เหมือนมีคนตบหน้า ทว่ากล่าวอะไรมิได้ อีกทั้งยังเป็นที่จดจำไปอีกนาน!”

ณ ยอดเขาเหยียนฉือ หญิงชราพลันตาเป็นประกาย มองเงาซูหมิงบนโซ่เขาหานไกลๆ อย่างมีความหมาย เหยียนหลวนข้างกายแย้มยิ้ม ไม่กล่าวอะไร

เผ่าบูรพาสงบก็เช่นเดียวกัน ล้วนมองไปทางยอดเขาผู่เชียงอย่างสุขุม

ณ ยอดเขาผู่เชียง ในช่วงที่ซูหมิงทำลายเสาหินต้นแรก นอกจากจ้าวหมานกับอีกสองคนแล้ว ทุกคนต่างยืนขึ้น สีหน้าไม่เป็นมิตร จ้องซูหมิงบนโซ่เขาหานเขม็ง

“เขาหาญกล้านัก ไม่อยากเชื่อว่าจะทำลายเสาหินของเรา!”

“จ้าวหมาน เขาบ้าบิ่นแถมอวดดี สมควรถูกลงโทษ!”

“จ้าวหมาน จ้าวเผ่า เขาทำลายเสาหิน ทำให้เผ่าเราเสียชื่อเสียง เรื่องนี้จะปล่อยเอาไว้มิได้!”

“เอาละ!” จ้าวหมานผู่เชียงขมวดคิ้วกล่าวเรียบๆ รอบตัวเขาพลันเงียบลง

“ก็แค่เสาต้นเดียว พังก็พังไปเถอะ รอจนเขาเดินมาถึงตรงนี้ก่อนค่อยว่ากันอีกที”

จ้าวหมานมีสีหน้าเรียบเฉย คำพูดสงบนิ่ง ทว่าในแววตาของเขากลับมีประกายหนาวเยือก

“เขาทำลายไปก็ดี เทียบกับสองเผ่าแล้ว โซ่ของเราจะยากขึ้นสำหรับผู้บุกโซ่เขาหาน เห็นความต่างกันอย่างชัดเจน” ข้างกายจ้าวหมานผู่เชียง เป็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วน เขานั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนกับภูเขาเนื้อ ยามนี้ยิ้มแย้มหรี่ตากล่าว

ความตื่นตะลึงของสามชนเผ่า เสียงดังเกรียวกราวจากผู้คนในเมืองเขาหาน

ซูหมิงไม่ได้ยิน เขายืนอยู่บนโซ่เขาหานตรงเสาหินต้นแรกทั้งใบหน้าสงบนิ่ง ไม่เร่งรีบเดินต่อ แต่พักหายใจเล็กน้อย

ผ่านไปหนึ่งก้านธูป สายฟ้าผ่าลงมาส่งเสียงดังสนั่นต่อเนื่อง ฝนตกหนักมากขึ้น สายฝนในยามนี้เหมือนกับเทลงมาใส่ตัวซูหมิง ทำให้เสื้อผ้าติดกับผิวหนังของเขา ลมพายุก็รุนแรงมากขึ้น ทว่าเขาเตรียมตัวมาอย่างดี เขาไม่อยากให้ผู้อื่นเห็นรูปร่างหน้าตาของตน เสื้อคลุมยาวจึงปิดใบหน้าเอาไว้แน่นและมั่นคง

ซูหมิงเคลื่อนไหวท่ามกลางสายฝน ก้าวเดินต่อไป ในครั้งนี้เขาไม่หยุดชะงักแม้แต่น้อย ต่อให้ความหนาวใต้ฝ่าเท้าจะรุนแรงมากแค่ไหน เขาก็ยังคงก้าวเดินอย่างมั่นคง และเข้าใกล้ปลายโซ่ส่วนที่สองอย่างรวดเร็ว

เวลาผ่านไป ในช่วงที่ซูหมิงเข้าใกล้เสาหินต้นสอง สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องเขา กระทั่งยังมีคนคาดเดาว่าซูหมิงจะทำลายเสาหินต้นที่สองหรือไม่

ทันใดนั้น มีน้ำเสียงชะล่าใจดังมาจากยอดเขาผู่เชียง

“รบกวนท่านช่วยข้าทำลายเสาหินเขาหานที่เหลืออยู่ที ต้องรบกวนท่านแล้ว อีกอย่างหากท่านยังมีที่พลังแข็งแกร่งกว่านี้ก็ช่วยตัดโซ่เขาหานให้ด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครมารบกวนเผ่าของเรานับตั้งแต่บัดนี้”

คำพูดอ่อนนุ่มเหมือนไม่มีพลังอะไร พอได้ฟังกลับทำให้เกิดความรู้สึกตรงกันข้าม เหมือนถูกอสรพิษจ้องมอง

กล่าวจบ ผู้คนในเมืองเขาหานพลันเงียบลง ต่างพากันมองซูหมิง ยามนี้พวกหนานเทียนก็มองเช่นกัน

แววตาหนานเทียนสั่นไหว เขาคิดว่าการบุกโซ่เขาหานครั้งนี้ต่างจากที่เขาเคยเห็นโดยสิ้นเชิง

‘เผ่าผู่เชียงกล่าวเช่นนี้ก็เท่ากับบีบเขาจนถึงทางตัน หากข้าเป็นเขาจะทำอย่างไรดี…’ เสวียนหลุนยิ้มเยาะมุมปากพลางมองซูหมิงบนโซ่เขาหาน รอยยิ้มหนาวเยือก ราวกับเขาจินตนาการได้ว่าซูหมิงในยามนี้จะต้องเกิดความลังเลอย่างแน่นอน การกระทำกับการตอบโต้ก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องขบขัน

ซูหมิงมองยอดเขาผู่เชียงด้วยความเย็นชา เขาเหยียบไปบนเสาหินต้นสอง นั่งขัดสมาธิลงหลับตาพักผ่อน ประหนึ่งมิได้ยินเสียงดังกล่าว

ยามนี้ผู้คนในเมืองเขาหานเงียบสงัด ทุกคนล้วนมองซูหมิง กระทั่งชาวเผ่าเหยียนฉือและบูรพาสงบก็เป็นเช่นนั้น รอคอยคำตอบของซูหมิง

ผ่านไปชั่วครู่ ซูหมิงลืมตา ยืนขึ้นแล้วเดินไปบนโซ่ส่วนที่สาม ในช่วงที่เขาเหยียบลง แรงกดดันพลันส่งมาจากโซ่เหล็ก ภายในเต็มไปด้วยความรู้สึกโชกโชนตามกาลเวลาราวกับอยู่มานานหลายปี ทุกครั้งที่มีคนมามันก็จะปรากฏ

แรงกดดันถาโถม ทำให้ซูหมิงพลันชะงักเล็กน้อย โคจรพลังโลหิตในร่างกาย ทำให้ต้านทานเอาไว้ได้ไม่น้อย ก่อนยกเท้าและก้าวเดินต่อไปบนโซ่เหล็ก

ยิ่งเดินไกลเท่าไหร่ แรงกดดันยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น เดินไปเพียงห้าก้าว ซูหมิงก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายเขาภายใต้แรงกดดันรู้สึกเหมือนโรยราเล็กน้อย เหมือนกับว่าเขากำลังชราลงเรื่อยๆ

‘นี่คือพลังที่แท้จริงของโซ่เขาหานอย่างนั้นหรือ…มิน่าแม้แต่ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างยังไม่กล้าเดิน…ต่อหน้ากาลเวลา ขั้นพลังก็จะด้อยลงด้วย’

‘โซ่เหล็กส่วนที่สามเป็นเรื่องยากสำหรับนักรบขั้นพลังประมาณลำดับแปดรวมโลหิต ทว่าข้ายังทนไหว’ ซูหมิงเดินอย่างสุขุมทีละก้าว ในช่วงที่เขาเดินถึงก้าวที่สิบห้า มีเสียงอ่อนนุ่มดังมาจากยอดเขาผู่เชียงอีกครั้ง

“เรื่องที่รบกวนท่าน ท่าน….”

ในขณะที่เสียงดังกังวาน เสาหินต้นสองด้านหลังซูหมิงพลันสั่นสะท้าน ก่อนพังลงกลายเป็นเศษหินจำนวนมาก ส่งเสียงโครมดังสนั่น ขัดคำพูดดังกล่าวทันทีเหมือนถูกกลืนหายไป

ตั้งแต่ต้นซูหมิงไม่ยอมตอบ แม้ยามนี้เสาหินต้นสองด้านหลังพังทลายลงแล้ว เขาก็ยังไม่ยอมตอบ ขณะโซ่หย่อนลงเขายังคงก้าวเดินไปทางเสาหินต้นที่สามทีละก้าว พร้อมกับทนรับแรงกดดันของกาลเวลา

ความเงียบของเขาทำให้ผู้คนที่เห็นเสาหินพังทลายลงตื่นตะลึง นอกจากเรื่องเสาหินพังทลายแล้ว สิ่งที่มากกว่าคือการคาดเดาเกี่ยวกับซูหมิงคนนี้

“เขามีนามว่าอะไร…เขาจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน”

“นิสัยของเขา…ดูน่ากลัว!”

“ไม่รู้ว่าครั้งนี้เผ่าผู่เชียงจะทำอย่างไร…….”

ท่ามกลางเสียงสนทนาของผู้คน ซูหมิงเดินไปถึงเสาต้นที่สาม หลังจากยืนครู่หนึ่งแล้วก็ก้าวเดินต่อไป ด้านหลังเขามีเสียงโครมดังสนั่น พร้อมกับที่เสาหินต้นสามพังทลายลง

เขาเงียบสงบโดยตลอด เดินผ่านเสาหินต้นที่สี่และห้า

หลังจากเสาหินต้นที่ห้าพังทลายลง ซูหมิงยืนอยู่บนโซ่เหล็ก จังหวะก้าวช้าลงเล็กน้อย หายใจค่อนข้างกระชั้นถี่ ความรู้สึกของกาลเวลาปกคลุมร่างกายเขา ทำให้เขาเกิดภาพหลอนคิดว่าตนกลายเป็นคนชรา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!