ตอนที่ 200 เทียนเสียจื่อ
กล่าวจบ ชายหญิงสองคนบนท้องฟ้าพลันเปลี่ยนสีหน้า เผยอาการเหลือเชื่อ
“ไม่ใช่เจ้า?! หรือว่ายังมีนักรบรวมโลหิตมหาสมบูรณ์คนอื่นอีกรึ!”
“กล่าวเช่นนี้แสดงว่าทุกอย่างที่ข้าเห็นก่อนหน้านี้ รวมถึงเทวรูปชำระล้างแท้จริง ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะอีกคนอย่างนั้นรึ นี่…นี่…” ทั้งสองคนสูดลมหายใจเข้าลึก เข้าใจทันทีว่าเหตุใดพอกล่าวจบทุกคนโดยรอบจึงเงียบ
“ไม่ใช่เจ้าแล้วเป็นใคร?”
“ใครที่ทะลวงถึงขั้นรวมโลหิตมหาสมบูรณ์ อัญเชิญเทวรูปชำระล้างแท้จริง และได้รับแต่งตั้งยศแม่ทัพเทพชำระล้าง!”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามตื่นตกใจของชายหญิงบนท้องฟ้า หานเฟยจื่อเงียบไปชั่วครู่ก่อนกล่าวเบาๆ
“เป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง เขาทะลวงขั้นชำระล้างด้วยขั้นรวมโลหิตมหาสมบูรณ์ หลอมสายฟ้าเป็นสมบัติประจำตัว และยังเอาระฆังเขาหานไปแล้ว…
ซือหม่าซิ่นเคยยืมร่างมาที่นี่ ทว่าก็หยุดมิได้…”
คำพูดของนางนุ่มนวล ทว่าเมื่อชายหญิงสองคนได้ยินกลับเหมือนถูกฟ้าผ่า พวกเขาหายใจกระชั้นถี่ราวไม่อยากเชื่อว่าจะเกิดเหตุการณ์ขัดวิถีฟ้าเช่นนี้
“ศิษย์พี่ซือหม่าก็มาด้วยรึ? แถมยังหยุดไม่ได้…บุคคลนี้เป็นชายหรือหญิง? ถึงชำระล้างด้วยเส้นเลือดเท่าไร?” ชายหนุ่มแซ่เฉินพลันกล่าว
หญิงสาวข้างกาย พอได้ยินคำว่าซือหม่าซิ่นก็พลันสูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าดูเคารพนับถือ เพียงแต่ในความเคารพมีความหวาดกลัวอยู่ด้วย
“เป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง…ส่วนเส้นเลือด ข้าไม่รู้” หานเฟยจื่อกล่าวอย่างสงบนิ่ง
“เก้าร้อยเก้าสิบห้าเส้นขึ้นไป!” น้ำเสียงแหบพร่าดังมาจากปากชายชราแซ่หลิว เวลานี้เขาละสายตาจากท้องฟ้า มองไปทางตำแหน่งเดิมของระฆังเขาหาน
“โอรสแห่งสวรรรค์สามัญชน!” ชายชราหัวเราะเสียงดัง สีหน้ายินดียิ่งนัก สายตามองทอดไปไกล ทิศทางที่เขามองมีแค่จ้าวหมานผู่เชียงเท่านั้นที่ทราบ ตรงนั้นคือจุดที่ซูหมิงจากไป
ขณะหัวเราะ บนใบหน้าชายชราปรากฏแสงสว่าง เขาเอียงศีรษะมองจ้าวหมานบนยอดเขาเหยียนฉือแวบหนึ่ง ทั้งสองประสานสายตากัน ก่อนหญิงชราจะหลับตาลง
ชายชราไม่กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ห้อเหยียดไปตามทางของซูหมิง ด้วยความเร็วของเขาจึงหายไปในชั่วพริบตา ตั้งแต่เขามาถึงที่นี่จนกระทั่งจากไป นอกจากมองหญิงชราแห่งเหยียนฉือแวบหนึ่งแล้ว ทุกอย่างที่เขามองล้วนเป็นตำแหน่งที่ซูหมิงเคยผ่าน
จนกระทั่งชายชราจากไป ชายหญิงสองคนถึงเพิ่งได้สติกลับมา ก่อนบินไปทางยอดเขาเหยียนฉือเงียบๆ
นัยน์ตาหานชางจื่อฉายแววประหลาดใจ ในดวงตามีความหวังและความฮึกเหิม นางมองจุดที่ชายชราบินจากไปเหมือนคาดเดาอะไรบางอย่างได้
เรื่องของเมืองเขาหานจบลงแล้ว ตอนมาซูหมิงอยู่ขั้นรวมโลหิต ตอนจากไปเขาอยู่ขั้นชำระล้าง!
เงาของเขาห้อเหยียดบนท้องฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้พลังของตัวเองในการเดินอากาศ ทว่าซูหมิงในเวลานี้กลับไม่ตื่นเต้น สีหน้าดูเคร่งขรึม
สาเหตุที่เขาจากไปอย่างรวดเร็ว นอกจากอยากหาที่ลับตาเพื่อวาดลวดลายหมานแล้ว ยังมีความตื่นตะลึงเกี่ยวกับสมบัติประจำตัวที่หลอมรวมอยู่ในร่างกายเขา
นอกจากนี้ เขายังสัมผัสได้ว่ามีกลิ่นอายพลังสองอย่างกำลังตรงเข้ามายังเมืองเขาหาน
สภาพของเขาในตอนนี้ยังไม่สมบูรณ์ ฉะนั้นหลังจากไตร่ตรองแล้วจึงเลือกหลบหนีมาก่อน
เขาใช้ความเร็วสูงสุดตลอดทาง หลายวันต่อมา ตรงหน้าเขาปรากฏเป็นแดนภูเขาลึกสุดลูกหูลูกตา ที่นี่เงียบสงบพบเห็นเงาคนได้ยาก เขายืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้าลงกวาดสายตามอง ก่อนทะยานลงสู่แผ่นดินประดุจดาวตก แล้วหายเข้าไปในภูเขาลึก
ภายในเทือกเขาไร้ที่สิ้นสุดแห่งหนึ่ง แสงดำแผ่กว้าง ซูหมิงยืนสงบนิ่งมองกระบี่เล็กพุ่งทะยานอยู่ตรงหน้า เมื่อขุดเป็นโพรงแล้วจึงเดินเข้าไปด้านใน
จากนั้นนำแผ่นหินยักษ์ที่ขุดเตรียมเอาไว้ก่อนหน้ามาทำเป็นประตูปิดปากถ้ำ
ภายในถ้ำมืดทึบ ซูหมิงมองไปรอบๆ ใช้มือขวาตบตรงหน้าอก ฝ่ามือพลันขยับแสงสีแดงวิบวับ ปรากฏหนังสัตว์ผืนหนึ่งวางแผ่ลงบนพื้น กลายเป็นทุ่งหญ้าสีแดงปกคลุมพื้นถ้ำทันใด
เคล็ดวิชาตราประทับแผ่ขยาย กระบี่เล็กแสงดำลอยอยู่ข้างประตูถ้ำคอยระวังตลอดเวลา
เหอเฟิงถูกซูหมิงบีบออกมาจากร่างกาย เขายืนคำนับซูหมิงด้วยความนอบน้อม สีหน้าซาบซึ้ง
หลายวันก่อนเขาตื่นมาตอนซูหมิงเก็บระฆังเขาหาน และเห็นกับตาว่าซูหมิงสังหารเสวียนหลุนในหนึ่งกระบี่ เมื่อความแค้นถูกชำระล้าง ในขณะเดียวกันเขาก็เกิดความรู้สึกเคารพยำเกรงต่อซูหมิงมากขึ้น ความยำเกรงนี้ฝังลึกเข้าไปในวิญญาณของเขา เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่าต้องมีขั้นพลังระดับใดถึงจะสังหารนักรบขั้นชำระล้างได้ในหนึ่งกระบี่!
“ช่วยกระบี่ดำคุ้มกันข้า!” ซูหมิงนั่งขัดสมาธิลง มองเหอเฟิงแวบหนึ่ง
เหอเฟิงพยักหน้าทันที สีหน้านอบน้อมมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งแอบมีความคิดประจบเล็กน้อย รีบกล่าวขานรับไม่หยุด
ซูหมิงไม่สนใจเหอเฟิงอีก สูดลมหายใจเข้าลึก สีหน้าดูเหมือนสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับเคร่งขรึมยิ่งนัก เขาหลับตาลง รู้สึกว่าในร่างกายยามนี้ไม่มีสายฟ้า เพราะจำเป็นต้องให้กระแสไฟจากแผ่นดินที่หลอมรวมในอวัยวะกับกระแสไฟจากอากาศในศีรษะกระทบกันก่อน ถึงจะปรากฏเป็นสายฟ้าได้
นี่เป็นแค่เรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือในช่วงที่สายฟ้าปรากฏในร่างกาย ซูหมิงจะมองเห็นสิ่งที่ทำให้เขาตื่นตะลึงก่อนหน้านี้!
สิ่งนี้เป็นของจริง ทว่าจะเป็นรูปธรรมในช่วงที่สายฟ้าปรากฏเท่านั้น จากนั้นก็จะกลายเป็นอานุภาพสายฟ้ามายาออกจากร่างกาย
‘เห็นๆ กันอยู่ว่าที่ข้าหลอมคือสายฟ้าจากธรรมชาติ เป็นอานุภาพที่เกิดจากกระแสไฟในแผ่นดินและในอากาศกระทบกัน…ทว่า…เหตุใดถึงมีสิ่งนี้!’
เวลานี้ซูหมิงแทบไม่อาจยับยั้งความตื่นตะลึงในจิตใจ สังเกตในร่างกายของตัวเองด้วยความสับสน
ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงลืมตาและตรึกตรอง ผ่านไปอีกครู่หนึ่งเขาหลับตาลงอีกครั้ง อวัยวะในร่างกายปลดปล่อยกระแสไฟจากผืนดินที่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเดียวกันกระแสไฟจากอากาศบริเวณศีรษะไหลลงมา
เมื่อสองพลังงานกระทบกันจึงเกิดเป็นเสียงครืน สายฟ้าจำนวนมากพลันแผ่กระจายรอบตัวซูหมิง ทำให้เหอเฟิงด้านข้างร้องออกมาด้วยความตกใจ รีบถอยหลบพลางมองซูหมิงด้วยความหวาดกลัว
ช่วงที่สองพลังงานกระทบกัน ซูหมิงมองเห็นสมบัติประจำตัวอย่างชัดเจน!
มันเป็นลักษณะหม้อสามขาเล็กๆ ใบหนึ่ง ด้านในมีแผ่นสีดำเก้าช่อง!
นี่ต่างหากคือสมบัติประจำตัวที่แท้จริงของเขา ส่วนสายฟ้าเป็นการปรากฏหลังสลายตัว มีแต่แผ่นสีดำลักษณะหม้อเก้าช่องเท่านั้นถึงจะเป็นสมบัติแห่งการชำระล้างที่แท้จริงของเขา!
‘นี่มันคืออะไร…’ ซูหมิงมีสีหน้าสับสน วัตถุสิ่งนี้อยู่ในร่างกายของเขา เพียงแต่มันจะหายไปในชั่วพริบตา ไม่อาจสัมผัสได้
เขาคลำเศษหินสีแบบเดียวกันที่แขวนตรงหน้าอก นึกถึงภูเขาแหล่งที่มาของเศษหินชิ้นนี้ ในความทรงจำของเขาราวกับว่าเคยเห็นสายฟ้าครามที่นั่นมาก่อน…
“หรือว่า…แต่…มันไม่ค่อยเหมือนกันเท่าไร” ซูหมิงกล่าวพึมพำ
ขณะที่เขากำลังขบคิดอย่างสับสน ซูหมิงไม่รู้เลยว่าบนน่านฟ้านอกถ้ำมีชายชราคนหนึ่งกำลังเดินมาอย่างช้าๆ เขาคือคนแซ่หลิวจากสำนักเหมันต์สวรรค์ ใบหน้าเขาเฝ้ารอคอย ยืนนิ่งมองผืนแผ่นดินใหญ่
“ทั้งชีวิตข้ารับศิษย์เพียงสองคน ทว่ากลับไม่มีใครสืบทอดวิชาของข้าได้…ข้าเคยสนใจซือหม่าซิ่น ทว่าจิตใจของเด็กคนนี้…ไม่มีความชั่วร้ายเหมือนปีศาจ ไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดของข้า ผู้ที่ข้าต้องการคือปีศาจทำลายล้าง!” ชายชรากล่าวพึมพำ มองจุดหนึ่งในเทือกเขาลึกจำนวนมาก สีหน้าเฝ้ารอคอยเด่นชัดมากขึ้น
“เจ้าจะได้เป็นศิษย์ของข้าหรือไม่…ก็ต้องดูที่วาสนา” ชายชรานั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ยกมือขวาชี้ไปทางแผ่นดินเบื้องล่าง!
“อักขระหมานเก่าแก่ พันบรรพกาลสร้างหนึ่ง! เขอ (คาง) ซาน (วัว) เต้า (ไม้)!”
ขณะกล่าวดวงตาพลันเบิกกว้าง เห็นเส้นเลือดฝอยอยู่จำนวนมาก ทำให้เขาดูต่างจากตอนปกติราวกับฟ้าและดิน เส้นผมขาวปลิวไสวเองแม้ไร้ลม ก่อนพลันเปลี่ยนสีเหมือนกับมีทะเลสาบแดงแผ่ขยาย พริบตาเดียวก็กลายเป็นเส้นผมแดงทั้งศีรษะ
เส้นผมแดงปลิวไสว ทำให้ชายชราเหมือนหมานชั่วร้าย บนใบหน้าเขามีเส้นเลือดดำปูดโปน ลักษณะดูน่ากลัวยิ่งนัก ด้านหลังเขายามนี้ราวกับปรากฏเงารางเป็นทะเลโลหิตผืนหนึ่ง ในส่วนลึกของทะเลโลหิตมีรูปปั้นหินมองเห็นลักษณะไม่ชัด ทว่ากลับมีกลิ่นอายของหมานชั่วร้ายที่น่าสะพรึงแผ่กระจาย
ขั้นพลังของชายชราเดิมทีอยู่เพียงเซ่นไหว้กระดูกตอนต้น และตอนนี้ก็เป็นเช่นนั้น ทว่าพลังความชั่วร้ายกลับทำให้คนที่มีขั้นพลังสูงกว่าเขาต้องสั่นสะท้าน
“เจ้าจะเป็นศิษย์ของข้าเทียนเสียจื่อหรือไม่ ก็ต้องดูวันนี้!”
ชายชรายกมือขวาวาดเป็นลักษณะโค้งกลางอากาศ ก่อนพลันกดลงบนแผ่นดินหนึ่งครั้ง แม้แผ่นดินไม่เคลื่อนไหว กลับเกิดความรู้สึกเหมือนแผ่นดินสั่นสะเทือน ราวกับความสงบและสั่นไหวซ้อนทับกันจนยากจะแยกออก
ต่อให้เป็นซูหมิงในถ้ำลึกเวลานี้ก็ยังไม่สังเกตเห็นแม้แต่น้อย สมาธิของเขาจดจ่ออยู่เพียงในร่างกาย มองสมบัติประจำตัวของเขาเปลี่ยนจากของจริงกลายเป็นมายา ไหลสู่นอกร่างกายเป็นกระแสไฟไหลเวียน
‘ช่างเถอะ เรื่องนี้คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี……’ ซูหมิงลืมตา สีหน้าค่อยๆ กลับมาสงบนิ่ง
“ตอนนี้ต้องวาดลายหมานของข้า…จะเป็นอะไรดี……” ซูหมิงกล่าวพึมพำ ผู้แข็งแกร่งขั้นชำระล้างส่วนใหญ่จะเตรียมลายหมานมายาเอาไว้ก่อนข้ามผ่านขั้น หลังจากชำระล้างแล้วจะได้สร้างของจริงขึ้นมา
ทว่ายังมีคนอีกจำพวกหนึ่งที่ไม่รู้ว่าลายหมานของตัวเองคืออะไร จึงต้องใช้ความรู้สึกวาดออกมาตามธรรมชาติ
ซูหมิงอยู่ในกลุ่มคนชนิดนี้
เขานั่งขัดสมาธิโคจรพลังโลหิตในร่างกาย พลังโลหิตนี้มิได้เกิดจากเส้นเลือด ภายในแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายพลังขั้นชำระล้าง ภายใต้การโคจร ซูหมิงค่อยๆ ตกอยู่ในภวังค์เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น มือทั้งสองข้างวางบนหัวเข่า เงยหน้าขึ้นหลับตา เส้นผมสยายอยู่บนบ่า รอยแผลเป็นใต้ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงโลหิต
“ลายหมานของข้า…” ซูหมิงพึมพำคล้ายกำลังร้องเรียก นักรบขั้นชำระล้างคนหนึ่ง นอกจากสมบัติประจำตัวแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือลวดลายหมาน
ความต่างของลายหมานจะเป็นตัวตัดสินอนาคตของนักรบชำระล้าง แต่ละคนจะแตกต่างกันไป
เวลานี้นอกถ้ำภูเขา ชายชราในท่านั่งขัดสมาธิชี้นิ้วมือขวาลงบนแผ่นดิน หลับตาลงเช่นกัน ทว่าพลันลืมตาขึ้น
“ที่แท้ก็เป็นดวงจันทร์…หืม? ไม่ถูกต้อง!”