Skip to content

สู่วิถีอสุรา 217

ตอนที่ 217 แม่ทัพเทพเซ่นไหว้กระดูก

“ทะ…ท่านคือ…” เฉินลั่วปิ่งรีบหันกลับไปมอง ขณะกำลังจะคารวะ เห็นชายวัยกลางคนแล้วกลับตะลึงงัน

“อาจารย์อาปะ…ไป๋?” เกิดเสียงโครมในจิตใจของเฉินลั่วปิ่ง สีหน้าเปลี่ยนไป เขารู้ดีว่าอยู่ในเขตสำนักเหมันต์สวรรค์ กองรักษาการณ์ทั้งหมดคือคนจากสำนักเหมันต์สวรรค์ และก็รู้แต่แรกแล้วว่ากองรักษาการณ์กำแพงที่นี่จะต้องเป็นเช่นนี้แน่นอน

กลับไม่คิดเลยว่าผู้รักษาการณ์จะเป็นชายตรงหน้า

บุคคลนี้เขาเคยเห็นหน้าเพียงครั้งเดียว แต่กลับจำฝังใจ แท้จริงแล้วอย่าว่าแต่เขาเลย ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์ส่วนใหญ่ก็รู้จักเขา

‘มิน่าเขาถึงได้อนุญาตให้พวกเรายืนบนกำแพง…’ เฉินลั่วปิ่งตึงเครียดยิ่งนัก คารวะชายวัยกลางคนด้วยสีหน้านอบน้อมอย่างยิ่ง

“เฉินลั่วปิ่งศิษย์เหมันต์สวรรค์ คารวะอาจารย์อาไป๋”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อย ก่อนไม่สนใจเฉินลั่วปิ่งอีก แต่มองซูหมิง เมื่อพิจารณาสักครู่แล้วจึงกล่าวเรียบๆ

“เจ้าชื่ออะไร”

ช่วงที่ซูหมิงเป็นที่จับตามองของชายวัยกลางคน เขารู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมเข้ามาอย่างชัดเจน ทว่าที่แปลกคือแรงกดดันไม่ได้ทำให้กลัว แต่เป็นความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันโดยไม่ทราบสาเหตุ

“ผู้เยาว์ซูหมิง คารวะอาจารย์อาไป๋” ซูหมิงประสานมือคารวะ กล่าวราบเรียบ

“เจ้าคงเพิ่งถึงชำระล้าง” ชายวัยกลางคนกล่าวเนิบช้า

“ขอรับ” ซูหมิงพยักหน้า

“เจ้าไม่น่าใช่ศิษย์สำนักเหมันต์สวรรค์ มิเช่นนั้นแล้ว ด้วยฐานะแม่ทัพเทพของเจ้า ตาแก่พวกนั้นไม่มีทางส่งแค่ศิษย์ภายนอกไปรับอย่างแน่นอน” น้ำเสียงชายวัยกลางคนยังคงเย็นชา

“ขอรับ…” ซูหมิงพยักหน้าอีกครั้ง

“ไม่ต้องไปสำนักเหมันต์สวรรค์แล้ว เจ้าอยู่รักษาการณ์กับข้าที่นี่เถอะ มาเป็นศิษย์ของข้า ทั้งสำนักเหมันต์สวรรค์นอกจากข้าแล้วมีไม่กี่คนที่ถ่ายทอดวิชาที่เหมาะสมกับเจ้าได้” ในคำพูดของชายวัยกลางคนแฝงไว้ด้วยความหมายยากจะปฏิเสธ

ซูหมิงตะลึงงัน

คนที่ตะลึงเช่นเดียวกันยังมีเฉินลั่วปิ่ง นัยน์ตาเขาฉายแววอิจฉาอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหานเฟยจื่อด้านข้างก้มหน้าลงยังคงเงียบ

“คือ…ผู้เยาว์มีอาจารย์แล้ว” ซูหมิงลังเลครู่หนึ่ง ในความรู้สึกเขา ความรู้สึกใกล้ชิดผูกพันจากชายวัยกลางคนเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะสนทนา

“อ้อ? เป็นใคร แซ่ไป๋จะไปบอกให้เขาสละสิทธิ์เอง” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างสงบนิ่ง ทว่าแฝงไว้ด้วยการบอกให้ทุกคนรู้

“คือ…เทียนเสียจื่อ” อยู่ๆ มีสองคนจะรับเขาเป็นศิษย์ เรื่องแบบนี้ซูหมิงเพิ่งเคยเจอเป็นครั้งแรก

เมื่อเขากล่าวชื่อของเทียนเสียจื่อ ชายวัยกลางคนพลันมีสีหน้าประหลาด ราวกับจำใจยอมรับ ราวกับไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เหมือนไม่พอใจ จนท้ายที่สุดกลายเป็นเสียงหึเย็นชา

“นับเขาเป็นอาจารย์ หากวันหนึ่งเจ้านึกเสียใจภายหลัง ก็มาหาข้าได้”

เฉินลั่วปิ่งข้างกาย เมื่อได้ยินชื่อนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนอีกครั้ง ก่อนมองซูหมิงด้วยความประหลาดใจ ขณะกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่าง ท้ายที่สุดกลับเงียบ เพียงถอยไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว เว้นระยะห่างจากซูหมิงเล็กน้อย

ซูหมิงเริ่มเกิดความรู้สึกไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของชายวัยกลางคน และยังมีการกระทำโดยไม่ตั้งใจของเฉินลั่วปิ่ง คล้ายจะสื่อความหมายแฝงที่ไม่ดีสักเท่าไร…

“เลิกพูดเรื่องนี้ดีกว่า พวกเจ้าสามคนบอกข้ามา ยืนอยู่ตรงนี้เห็นอะไร!” น้ำเสียงชายวัยกลางคนยังคงเย็นชา เขามิได้มองซูหมิง แต่มองดินแดนกว้างใหญ่นอกกำแพง

ซูหมิงเงียบ มองแผ่นดินตรงหน้า ได้ยินเสียงคำรามดังแว่วมาอีกครั้ง มวลอากาศนอกกำแพงปกคลุมด้วยกลิ่นคาวเลือดและความอ้างว้าง มองดูเหมือนเงียบสงบ แต่กลับมอบความรู้สึกอึดอัดให้แก่เขา ความอึดอัดเช่นนี้มาจากความเงียบสงัด มาจากดินสีดำบนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงกำแพงยาวเหยียดไร้พรมแดนที่เขาเหยียบอยู่

“ความแค้น ข้าเห็นความแค้น” เฉินลั่วปิ่งกล่าวเป็นคนแรก นัยน์ตาเขาเป็นประกายยามมองผืนแผ่นดิน

“ความแค้นที่พวกเชมันมีต่อพวกเรา รวมถึงความแค้นของพวกเราที่มีต่อพวกเขา” เฉินลั่วปิ่งตอบอย่างมั่นใจ ราวเชื่อมั่นในคำตอบนี้มาก

“พูดได้ไม่เลว นี่เป็นความคิดที่ตาแก่สำนักเหมันต์สวรรค์ถ่ายทอดความรู้ให้ ทว่ามันไม่ได้เรื่อง!” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเฉยชา

เฉินลั่วปิ่งหัวเราะแห้งๆ ก้มหน้าลงขานรับ คำตอบนี้เป็นที่รู้กันของคนส่วนใหญ่ในสำนักเหมันต์สวรรค์

“เจ้าล่ะสาวน้อย บอกสิ่งที่เจ้าเห็นมา” ชายวัยกลางคนไม่มองหานเฟยจื่อ แต่ยังคงมองแผ่นดินกว้างใหญ่

“ข้าไม่เห็นอะไรเลย” หานเฟยจื่อหน้าซีดเล็กน้อย ขบคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนกล่าวเบาๆ

ช่วงที่นางตอบ ชายวัยกลางคนหันหน้ามามองนางอย่างลึกล้ำแวบหนึ่ง

“เจ้าชื่ออะไร”

“ผู้เยาว์นามเหยียนเฟย” หานเฟยจื่อโค้งคำนับ กล่าวด้วยความนอบน้อม

“ซูหมิง เจ้าเห็นอะไร” ชายวัยกลางคนเงียบไปชั่วครู่ ก่อนถามซูหมิง

“ข้าเห็นความปรารถนา” ผ่านไปนาน ซูหมิงจึงกล่าวอย่างช้าๆ

“อาจารย์ใหญ่ฝ่ายซ้ายได้ศิษย์ดี ตาแก่เทียนเสียจื่อก็ได้ศิษย์ดีเช่นกัน” ชายวัยกลางคนถอนหายใจยาว ชี้มือขวาไปยังนอกกำแพง

“จะเห็นได้ว่าแดนอรุณใต้มีลักษณะกลม” ขณะกล่าว เขาสะบัดมือขวาไปด้านหน้า ปรากฏแสงดำกลางอากาศ แล้วกลายเป็นวงกลมสีดำต่อหน้าทุกคน

“นี่คือกำแพง” ยามกล่าว เขาวาดวงกลมเล็กลงในวงกลมอีกครั้ง

“ในนี้คือโลกภายใน ด้านนอกนี่คือจุดที่พวกเจ้ามองอยู่”

“กำแพงมีไว้เพื่อกันสัตว์ร้ายและเผ่าเชมันรุกราน ส่วนเชมัน พวกเขาเป็นชนเผ่าที่ต่างกับพวกเราโดยสิ้นเชิง ในเผ่าเชมันมีระบบที่คล้ายกับพวกเรา พวกเขามีจ้าวหมานของแต่ละเผ่า เพียงแต่เรียกว่าจ้าวเชมัน…เรื่องพวกนี้ อีกหน่อยพวกเจ้าจะได้รู้มากขึ้นเอง”

ซูหมิงได้ยินชายวัยกลางคนกล่าวก็พลันเกิดอาการชั่ววูบ หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาลังเลสักครู่และกล่าวถาม “ผู้อาวุโส แดนอรุณใต้มีกำแพง เช่นนั้นนอกกำแพงคืออะไร? แผ่นดินอื่นๆ ของเผ่าหมานเราตอนนี้เป็นอย่างไร?”

“ไม่รู้” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างสงบ

“ข้ารู้เพียงว่าราชวงศ์ต้าอวี๋ยังอยู่…รู้แค่นี้ และเมื่อเทวรูปปรากฎก็จะมีคนได้รับแต่งตั้งยศแม่ทัพเทพ ส่วนแผ่นดินของราชวงศ์ต้าอวี๋ ข้าไม่เคยไป จริงๆ แล้วผู้คนในแดนอรุณใต้สามารถเดินทางผ่านชนเผ่าเชมันได้ แต่คนที่ออกจากแดนแห่งนี้หายากยิ่งนัก

ใช่แล้ว อาจารย์ของเจ้าเทียนเสียจื่อ…เขาเคยออกจากแดนอรุณใต้ เขาเคยเล่าว่าไปราชวงศ์ต้าอวี๋ แล้วผูกมิตรกับสหายที่นั่นเอาไว้ไม่น้อย ส่วนใครจะเชื่อเขาหรือไม่ข้าไม่รู้ ทว่าข้าไม่เชื่อ”

“นอกจากแดนอรุณใต้และดินแดนของราชวงศ์ต้าอวี๋ ยังมีชาวเผ่าหมานของเราอยู่หรือไม่ ข้าเองก็ไม่รู้”

“เผ่าหมานตกต่ำลงแล้ว…มิได้รุ่งโรจน์เหมือนยุคสมัยเทพหมานรุ่นหนึ่ง” ชายวัยกลางคนถอนหายใจเบา สีหน้ามัวหมองเล็กน้อย

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก เรื่องราวความลับแบบนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ยามนี้ภายใต้อาการตื่นตะลึง เขามองดินแดนกว้างใหญ่นอกกำแพง เกิดความรู้สึกห่างไกลไร้ที่พักพิงเกาะกุมในจิตใจ

‘ข้ารู้ว่ามีแดนพันธมิตรตะวันตก เพราะข้ามาจากที่นั่น…’ ซูหมิงกล่าวเบาๆ ในใจ

“เอาละ ตรงนี้นอกจากกองรักษาการณ์แล้ว คนนอกจะอยู่นานมิได้ พวกเจ้า…” ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อ ขณะกำลังจะส่งพวกซูหมิงออกไป พลันมีเสียงคำรามดังมาจากนอกกำแพง เสียงลากยาวเข้ามาและเด่นชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

ช่วงที่เสียงดังขึ้น กำแพงใต้เท้าซูหมิงพลันสั่นสะเทือน แรงกดดันมหาศาลเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ความรุนแรงของมันทะยานถึงขีดสุดในชั่วพริบตา ทำให้หานเฟยจื่อและเฉินลั่วปิ่งสีหน้าเปลี่ยน กระอักโลหิต

หากมิใช่เพราะชายวัยกลางคนพลันสะบัดมือขวาให้พายุคลั่งม้วนตัวหานเฟยจื่อและเฉินลั่วปิ่งออกไปจากที่นี่ได้ทันท่วงที เกรงว่าพวกเขาสองคนต้องบาดเจ็บสาหัสเป็นแน่

ซูหมิงไม่ถอย เพราะเมื่อได้ยินเสียงคำราม ในร่างกายเขาพลันหลั่งทะลักพลังขั้นชำระล้าง กลิ่นอายพลังแผ่กระจายออกนอกร่างกาย ก่อตัวเป็นหมอกดำโอบล้อมตัวเขา ก่อนกลายเป็นเกราะสีดำ

เกราะมายาแม่ทัพเทพ!

การปรากฏตัวของเกราะทำให้เขาพอทนรับแรงกดดันบนกำแพงเทือกเขานี้ได้ ดวงตาเขาเป็นประกายวาววับ มองดินแดนกว้างไกล ภาพที่เห็นต่อมาทำให้เขาตัวสั่นสะท้าน สูดลมหายใจเข้าลึก

ภาพที่เขาเห็น หานเฟยจื่อและเฉินลั่วปิ่งไม่เห็น พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่บนกำแพง ยามนี้เห็นเพียงฟ้าดินบิดเบี้ยวบดบังการมองเห็นทุกอย่าง

ตรงนี้มีแค่ซูหมิงกับชายวัยกลางคนแซ่ไป๋ผู้มีสีหน้าจริงจัง มีแค่พวกเขาสองคนที่เห็นภาพนั้น!

ดินแดนกว้างไกลนอกกำแพง ทะเลเมฆเคลื่อนตัว เมฆนั้นกลายเป็นเมฆดำ ม้วนตัวเหมือนหมอกดำที่หมุนวนเป็นเกลียว ปกคลุมขอบเขตหลายพันลี้ ภายในทะเลหมอกดำ ซูหมิงเห็นสัตว์ร้ายตัวยักษ์น่าเหลือเชื่อตัวหนึ่ง

มันเป็นปลาน้ำจืดร่างใหญ่ยักษ์ไร้ที่เปรียบ ใช้ฟ้าดินเป็นทะเล กระโดดตัวอยู่ไกลๆ เสียงร้องก้องก่อนหน้านี้ก็มาจากมัน บนหลังของมัน ซูหมิงเห็นคนยืนอยู่หนึ่งคน!

บุคคลนี้เป็นสตรี มองไม่เห็นใบหน้า เห็นเพียงเสื้อคลุมยาวสีม่วง เส้นผมดำขลับปลิวไสว คล้ายแฝงไว้ด้วยความงดงามเป็นหนึ่ง

“นางเป็นคนของเผ่าเชมัน” เสียงเย็นชาดังมากจากข้างกายซูหมิง ชายวัยกลางคนแซ่ไป๋เดินอากาศออกไปนอกกำแพง

ช่วงที่เขาเดินออกไป ในร่างกายเขาพลันพรั่งพรูหมอกขาวออกมาจำนวนมาก หมอกขาวเหล่านี้หมุนวนรอบตัวเขา กลายเป็นเกราะสีขาวที่ต่างกับของซูหมิงโดยสิ้นเชิง!

เกราะนี้ปลดปล่อยกลิ่นอายพลังแกร่งกล้า ทำให้ชายวัยกลางคนดูเหมือนนักรบไร้พ่าย

“แม่ทัพเทพ!” ซูหมิงตื่นตะลึง ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดถึงเกิดความผูกพันกับชายวัยกลางคน เหตุใดเฉินลั่วปิ่งถึงได้ดูตึงเครียดและเคารพยิ่งนักตอนเห็นบุคคลนี้ เหตุใดบุคคลนี้ถึงอนุญาตให้พวกซูหมิงมายืนบนกำแพง และเหตุใดถึงอยากจะรับเขาเป็นศิษย์ เพราะอีกฝ่ายเป็นแม่ทัพเทพเหมือนกับเขา!

อีกทั้งน่าจะมิใช่แม่ทัพเทพขั้นชำระล้าง แต่เป็น…แม่ทัพเทพขั้นเซ่นไหว้กระดูก!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!